ในครั้งนั้นซึ่งได้เสวยพระชาติแป็นมโหสถบัณฑิต
(มโหสถชาดกรวมปัญหา ๑๙ ข้อ) ในที่นี้ยกมาเฉพาะข้อที่ 18.
บรรดาหัวข้อเหล่านั้น หัวข้อว่า ฬา มีความว่า ......
แล้วมีพระดำริว่า มโหสถบัณฑิตแก้ปัญหาแห่งทารกทั้ง ๗ ข้อถูกใจเรา. การพยากรณ์ในการ
ทดลองปัญหาลึกลับ และในการย้อนปัญหาเห็นปานนี้ของมโหสถนั้น อาจารย์เสนกะไม่ให้นำบัณฑิตเห็นปานนี้มาในที่นี้ เราจะต้องการอะไร ด้วยเสนกะคัดค้าน. เราจักนำมโหสถบัณฑิตนั้นมา. พระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จไป สู่บ้านนั้นด้วยบริวารใหญ่. เมื่อพระราชาทรงม้ามงคลเสด็จไป กีบของม้ากระทบพื้นระแหงก็แตก. พระราชาก็เสด็จกลับแต่ที่นั้นเข้าพระนคร. ลำดับนั้น อาจารย์เสนกะเข้าเฝ้าพระราชาทูลถามว่า พระองค์เสด็จไปบ้านปาจีนยวมัชฌคาม เพื่อนำมโหสถบัณฑิตมาหรือ พระเจ้าข้า. ครั้นได้ฟังกระแสรับสั่งว่าเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทึกทักเอาข้าพระองค์ว่า เป็นผู้ใคร่ความพินาศ ก็ทรงพิจารณ์เห็นหรือยัง. ในเมื่อข้าพระองค์ทัดทานให้ทรงรอไว้ก่อน ก็บังเอิญกีบม้ามงคลรีบด่วนออกไปแตก ด้วยไปครั้งแรกทีเดียว. พระเจ้าวิเทหราช ได้ทรงฟังคำของเสนกะ ก็ทรงดุษณีภาพ.
อีกวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงปรึกษากับเสนกะว่า เราจะนำมโหสถมา. เสนกะทูลว่า พระองค์อย่าเสด็จไปเอง ส่งทูตไปยังมโหสถว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปสู่สำนักเธอ กีบม้าที่นั่งแตก เธอจงส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมา. ถ้าเธอจักส่งม้าอัสดรมา เธอจงมาเอง. แต่เมื่อจะส่งแต่ม้าประเสริฐมา จงส่งบิดาของเธอมาด้วย. ปัญหาของเรานี้แหละจักถึงที่สุด. พระราชาทรงเห็นชอบด้วย จึงส่งราชทูตไปดังว่านั้น. มโหสถบัณฑิตได้ฟังคำราชทูต จึงคิดว่าพระราชาทรงใคร่จะพบเราและบิดาของเรา จึงไปหาบิดา. ไหว้แล้วกล่าวว่า พระราชาทรงใคร่จะพบบิดาและข้าพเจ้า. ขอบิดาจงพร้อมด้วยอนุเศรษฐีพันหนึ่ง เป็นบริวารไปเฝ้าก่อน. เมื่อไปอย่าไปมือเปล่า จงเอาผอบไม้จันทน์ เต็มด้วยเนยใสใหม่ไปด้วย. พระราชาจักตรัสปฏิสันถารกับบิดา ตรัสเรียกให้นั่งว่า จงนั่งที่อาสน์อันสมควร. บิดาจงรู้อาสน์อันสมควรแล้วนั่ง เมื่อบิดานั่งแล้ว ข้าพเจ้าจักไป. พระราชาจักตรัสทักทายข้าพเจ้า ตรัสสั่งให้นั่งว่า จงนั่งที่อาสนะอันสมควร. แต่นั้นข้าพเจ้าจักแลดูบิดา บิดาจงลุกจากอาสน์ด้วยสัญญานั้น กล่าวว่า แน่ะพ่อมโหสถ พ่อจงนั่ง ณ อาสน์นี้. ปัญหาอย่างหนึ่งจักถึงที่สุดในวันนี้. สิริวัฒกเศรษฐีรับจะทำตามนั้น แล้วก็ไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว ให้ทูลความที่ตนมายืนรออยู่ ที่พระทวารแด่พระราชา. ครั้นได้พระราชานุญาตแล้วจึงเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. พระราชาทรงทักทายปราศรัยตรัสถามว่า ดูก่อนคฤหบดี มโหสถบุตรของท่านอยู่ไหน. เศรษฐีทูลตอบว่า มาภายหลัง. พระราชาทรงทราบดังนี้ ก็ดีพระหฤทัย. ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านจงดูอาสน์ควรแก่ตนนั่ง เศรษฐีนั้นก็นั่ง ณอาสน์ที่ควรแก่ตน ในที่ส่วนหนึ่ง.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประดับตกแต่งตัวแล้ว มีเด็กพันหนึ่งห้อมล้อมนั่งรถที่ประดับแล้ว. เมื่อเข้าสู่พระนคร เห็นฬาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคู บังคับบริวารที่มีกำลังว่า เจ้าจงผูกฬาตัวหนึ่งที่ปาก อย่าให้ร้องได้. แล้วห่อด้วยเสื่อลำแพน ให้นอนในเครื่องลาดแบกมา บริวารเหล่านั้นก็ทำตามสั่ง. พระโพธิสัตว์เข้าสู่พระนครด้วยบริวารมาก. มหาชนเห็นพระโพธิสัตว์มาดังนั้น ก็พากันชมเชยดูพระโพธิสัตว์ไม่รู้อิ่มว่า บุตรแห่งสิริวัฒกเศรษฐีนี้ชื่อว่า มโหสถบัณฑิต. เมื่อเธอเกิดมาก็ถือแท่งโอสถมาด้วย เธอรู้เปรียบเทียบปัญหาที่ทดลอง มีประมาณเท่านี้ได้. มโหสถไปถึงทวารพระราชฐาน ให้กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาทรงสดับว่ามโหสถมา ก็ทรงโสมนัสตรัสว่า มโหสถบุตรเรา จงรีบมาเถิด. มโหสถพร้อมด้วยเด็กพันหนึ่งเป็นบริวาร ขึ้นสู่ปราสาทถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่ง. พระราชาทอดพระเนตร เห็นมโหสถก็ทรงพระปราโมทย์. ตรัสปฏิสันถารอย่างอ่อนหวานว่า แน่ะบัณฑิต เจ้าจงรู้อาสน์ที่สมควรนั่งเถิด.
กาลนั้น พระโพธิสัตว์แลดูเศรษฐีผู้บิดา. ลำดับนั้น บิดาของมโหสถก็ลุกจากอาสน์ ด้วยสัญญาที่บุตรแลดูแล้ว. กล่าวว่า แน่ะบัณฑิต เจ้าจงนั่งที่อาสน์นี้. มโหสถก็นั่งที่อาสน์นั้น เสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะ และชนเหล่าอื่นผู้โฉดเขลา ก็พากันตบมือสรวลเสเฮฮาเยาะเย้ยว่า คนทั้งหลายพากันเรียกคนโฉดเขลาผู้นี้ว่า บัณฑิต การเรียกผู้ที่ให้บิดาลุกจากอาสน์ แล้วตนนั่งเสียเองนี้ว่า บัณฑิต ไม่สมควร. พระราชามีพระพักตร์เศร้าหมอง ทรงเสียพระหฤทัย. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลถามพระราชาว่า พระองค์เสียพระราชหฤทัยหรือ พระเจ้าข้า. พระราชามีพระราชดำรัสตอบว่า เออ ข้าเสียใจ เพราะได้ฟังความเป็นไปของเจ้า ก็เป็นที่ยินดี แต่พอได้เห็นความเป็นไปของเจ้าก็เกิดเสียใจ เพราะว่าเจ้าให้บิดาของเจ้าลุกจากอาสน์ แล้วเจ้านั่งเสียเอง. มโหสถจึงทูลถามว่า ก็พระองค์ทรงสำคัญว่า บิดาอุดมกว่าบุตรในที่ทั่วไปหรือ. ครั้นตรัสตอบว่า เข้าใจอย่างนั้น. จึงกราบทูลว่า พระองค์พระราชทานข่าวไปว่า ให้ข้าพระบาทส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่า ม้าสามัญมาถวายไม่ใช่หรือ พระเจ้าข้า. กราบทูลดังนี้แล้ว ลุกจากอาสน์ให้ทีแก่บริวารให้นำฬาที่นำมานั้น มาให้นอนแทบพระบาทยุคลแห่งพระเจ้าวิเทหราช แล้วกราบทูล ถามว่า ฬานี้ราคาเท่าไร พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสตอบว่า ถ้ามันมีอุปการะราคามัน ๘ กหาปณะ. มโหสถทูลถามต่อไปว่า ก็ม้าอัสดรอาศัยฬานี้ เกิดในท้องนางม้าสามัญ หรือนางฬาอันเป็นแม่ม้าอาชาไนย ราคาเล่าไรเล่า พระเจ้าข้า. ครั้นพระราชาตรัสตอบว่า หาค่ามิได้ซิ เจ้าบัณฑิต. ดังนี้ จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เหตุไรตรัสดังนั้น. ก็พระองค์ตรัสเมื่อกี้นี้ว่า บิดาอุดมกว่าบุตร ในที่ทุกสถานมิใช่หรือ. ถ้าพระราชดำรัสนั้นจริง ฬาก็อุดมกว่าม้าอัสดรของพระองค์. พระองค์จงทรงรับฬานั้นไว้. ถ้าว่าม้าอัสดรอุดมกว่าฬาทั้งหลาย พระองค์จงทรงรับม้าอัสดรนั้นไว้. ก็เป็นอย่างไร บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์ จึงไม่สามารถจะรู้เหตุเท่านี้ พากันตบมือหัวเราะเฮฮา โอ บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์บริบูรณ์ด้วยปัญญา พวกนั้นพระองค์ได้มาแต่ไหน. ทูลฉะนี้ กล่าวเยาะเย้ยบัณฑิต ๔ คน แล้วทูลพระราชาด้วยคาถาในเอกนิบาตว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ทรงสำคัญอย่างนี้ว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตร ฬาของพระองค์นี้ก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดร เพราะว่าฬาเป็นพ่อของม้าอัสดร.
คาถานั้นมีความว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ทรงสำคัญว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรในที่ทั้งปวง. ฬาตัวนี้ก็ประเสริฐกว่าแม้ม้าอัสดรของพระองค์ เพราะเหตุไร เพราะฬาเป็นพ่อของม้าอัสดร. ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้วพระมหาสัตว์ก็กราบทูลว่า ถ้าบิดาประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย ขอได้ทรงรับบิดาของข้าพระองค์ไว้. ถ้าบุตรประเสริฐกว่าบิดา ขอได้ทรงรับข้าพระองค์ไว้ เพื่อประโยชน์แก่พระองค์. พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำนั้น ก็ทรงโสมนัส. ราชบริษัททั้งปวงก็แซ่ซ้องสาธุการว่า มโหสถบัณฑิตกล่าวปัญหาดีแล้ว เสียงปรบมือและการยกแผ่นผ้าเป็นพันๆ ได้เป็นไปแล้ว. บัณฑิต ๔ คนต่างมีหน้าเศร้าหมองซบเซาไปตามๆ กัน.
ปุจฉาว่า บุคคลผู้รู้คุณแห่งบิดามารดา เช่นกับพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มีมิใช่หรือ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรพระโพธิสัตว์จึงทำอย่างนี้.
วิสัชนาว่า พระโพธิสัตว์นั้นได้ทำอย่างนั้น เพื่อประสงค์จะดูหมิ่นบิดาก็หาไม่. ก็แต่พระราชาส่งข่าวไปว่า ให้ส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมาถวาย. เพราะฉะนั้น จึงทำอย่างนี้ เพื่อจะทำปัญหานั้นให้แจ่มแจ้ง เพื่อจะประกาศความที่ตนเป็นบัณฑิต และเพื่อจะทำอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกะเป็นต้น ให้หมดรัศมี.
จบ ปัญหาฬา
คำว่า ฬา หมายถึง รูปที่เลิกใช้ของ ลา (“ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายม้า”)
คำว่าอัสดร หมายถึง สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ
http://www.facebook.com/notes/panu-wongpanuvut/อัสดร-สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ/812956392166838/?_rdc=1&_rdr
https://m.facebook.com/notes/panu-wongpanuvut/อัสดร-สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ/812956392166838/
อ่าน อรรถกถา.......
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=600&p=2
ว่าด้วย มโหสถบัณฑิต.
(มโหสถชาดกรวมปัญหา ๑๙ ข้อ) ในที่นี้ยกมาเฉพาะข้อที่ 18.
บรรดาหัวข้อเหล่านั้น หัวข้อว่า ฬา มีความว่า ......
แล้วมีพระดำริว่า มโหสถบัณฑิตแก้ปัญหาแห่งทารกทั้ง ๗ ข้อถูกใจเรา. การพยากรณ์ในการ
ทดลองปัญหาลึกลับ และในการย้อนปัญหาเห็นปานนี้ของมโหสถนั้น อาจารย์เสนกะไม่ให้นำบัณฑิตเห็นปานนี้มาในที่นี้ เราจะต้องการอะไร ด้วยเสนกะคัดค้าน. เราจักนำมโหสถบัณฑิตนั้นมา. พระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จไป สู่บ้านนั้นด้วยบริวารใหญ่. เมื่อพระราชาทรงม้ามงคลเสด็จไป กีบของม้ากระทบพื้นระแหงก็แตก. พระราชาก็เสด็จกลับแต่ที่นั้นเข้าพระนคร. ลำดับนั้น อาจารย์เสนกะเข้าเฝ้าพระราชาทูลถามว่า พระองค์เสด็จไปบ้านปาจีนยวมัชฌคาม เพื่อนำมโหสถบัณฑิตมาหรือ พระเจ้าข้า. ครั้นได้ฟังกระแสรับสั่งว่าเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทึกทักเอาข้าพระองค์ว่า เป็นผู้ใคร่ความพินาศ ก็ทรงพิจารณ์เห็นหรือยัง. ในเมื่อข้าพระองค์ทัดทานให้ทรงรอไว้ก่อน ก็บังเอิญกีบม้ามงคลรีบด่วนออกไปแตก ด้วยไปครั้งแรกทีเดียว. พระเจ้าวิเทหราช ได้ทรงฟังคำของเสนกะ ก็ทรงดุษณีภาพ.
อีกวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงปรึกษากับเสนกะว่า เราจะนำมโหสถมา. เสนกะทูลว่า พระองค์อย่าเสด็จไปเอง ส่งทูตไปยังมโหสถว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปสู่สำนักเธอ กีบม้าที่นั่งแตก เธอจงส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมา. ถ้าเธอจักส่งม้าอัสดรมา เธอจงมาเอง. แต่เมื่อจะส่งแต่ม้าประเสริฐมา จงส่งบิดาของเธอมาด้วย. ปัญหาของเรานี้แหละจักถึงที่สุด. พระราชาทรงเห็นชอบด้วย จึงส่งราชทูตไปดังว่านั้น. มโหสถบัณฑิตได้ฟังคำราชทูต จึงคิดว่าพระราชาทรงใคร่จะพบเราและบิดาของเรา จึงไปหาบิดา. ไหว้แล้วกล่าวว่า พระราชาทรงใคร่จะพบบิดาและข้าพเจ้า. ขอบิดาจงพร้อมด้วยอนุเศรษฐีพันหนึ่ง เป็นบริวารไปเฝ้าก่อน. เมื่อไปอย่าไปมือเปล่า จงเอาผอบไม้จันทน์ เต็มด้วยเนยใสใหม่ไปด้วย. พระราชาจักตรัสปฏิสันถารกับบิดา ตรัสเรียกให้นั่งว่า จงนั่งที่อาสน์อันสมควร. บิดาจงรู้อาสน์อันสมควรแล้วนั่ง เมื่อบิดานั่งแล้ว ข้าพเจ้าจักไป. พระราชาจักตรัสทักทายข้าพเจ้า ตรัสสั่งให้นั่งว่า จงนั่งที่อาสนะอันสมควร. แต่นั้นข้าพเจ้าจักแลดูบิดา บิดาจงลุกจากอาสน์ด้วยสัญญานั้น กล่าวว่า แน่ะพ่อมโหสถ พ่อจงนั่ง ณ อาสน์นี้. ปัญหาอย่างหนึ่งจักถึงที่สุดในวันนี้. สิริวัฒกเศรษฐีรับจะทำตามนั้น แล้วก็ไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว ให้ทูลความที่ตนมายืนรออยู่ ที่พระทวารแด่พระราชา. ครั้นได้พระราชานุญาตแล้วจึงเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. พระราชาทรงทักทายปราศรัยตรัสถามว่า ดูก่อนคฤหบดี มโหสถบุตรของท่านอยู่ไหน. เศรษฐีทูลตอบว่า มาภายหลัง. พระราชาทรงทราบดังนี้ ก็ดีพระหฤทัย. ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านจงดูอาสน์ควรแก่ตนนั่ง เศรษฐีนั้นก็นั่ง ณอาสน์ที่ควรแก่ตน ในที่ส่วนหนึ่ง.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประดับตกแต่งตัวแล้ว มีเด็กพันหนึ่งห้อมล้อมนั่งรถที่ประดับแล้ว. เมื่อเข้าสู่พระนคร เห็นฬาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคู บังคับบริวารที่มีกำลังว่า เจ้าจงผูกฬาตัวหนึ่งที่ปาก อย่าให้ร้องได้. แล้วห่อด้วยเสื่อลำแพน ให้นอนในเครื่องลาดแบกมา บริวารเหล่านั้นก็ทำตามสั่ง. พระโพธิสัตว์เข้าสู่พระนครด้วยบริวารมาก. มหาชนเห็นพระโพธิสัตว์มาดังนั้น ก็พากันชมเชยดูพระโพธิสัตว์ไม่รู้อิ่มว่า บุตรแห่งสิริวัฒกเศรษฐีนี้ชื่อว่า มโหสถบัณฑิต. เมื่อเธอเกิดมาก็ถือแท่งโอสถมาด้วย เธอรู้เปรียบเทียบปัญหาที่ทดลอง มีประมาณเท่านี้ได้. มโหสถไปถึงทวารพระราชฐาน ให้กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาทรงสดับว่ามโหสถมา ก็ทรงโสมนัสตรัสว่า มโหสถบุตรเรา จงรีบมาเถิด. มโหสถพร้อมด้วยเด็กพันหนึ่งเป็นบริวาร ขึ้นสู่ปราสาทถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่ง. พระราชาทอดพระเนตร เห็นมโหสถก็ทรงพระปราโมทย์. ตรัสปฏิสันถารอย่างอ่อนหวานว่า แน่ะบัณฑิต เจ้าจงรู้อาสน์ที่สมควรนั่งเถิด.
กาลนั้น พระโพธิสัตว์แลดูเศรษฐีผู้บิดา. ลำดับนั้น บิดาของมโหสถก็ลุกจากอาสน์ ด้วยสัญญาที่บุตรแลดูแล้ว. กล่าวว่า แน่ะบัณฑิต เจ้าจงนั่งที่อาสน์นี้. มโหสถก็นั่งที่อาสน์นั้น เสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะ และชนเหล่าอื่นผู้โฉดเขลา ก็พากันตบมือสรวลเสเฮฮาเยาะเย้ยว่า คนทั้งหลายพากันเรียกคนโฉดเขลาผู้นี้ว่า บัณฑิต การเรียกผู้ที่ให้บิดาลุกจากอาสน์ แล้วตนนั่งเสียเองนี้ว่า บัณฑิต ไม่สมควร. พระราชามีพระพักตร์เศร้าหมอง ทรงเสียพระหฤทัย. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลถามพระราชาว่า พระองค์เสียพระราชหฤทัยหรือ พระเจ้าข้า. พระราชามีพระราชดำรัสตอบว่า เออ ข้าเสียใจ เพราะได้ฟังความเป็นไปของเจ้า ก็เป็นที่ยินดี แต่พอได้เห็นความเป็นไปของเจ้าก็เกิดเสียใจ เพราะว่าเจ้าให้บิดาของเจ้าลุกจากอาสน์ แล้วเจ้านั่งเสียเอง. มโหสถจึงทูลถามว่า ก็พระองค์ทรงสำคัญว่า บิดาอุดมกว่าบุตรในที่ทั่วไปหรือ. ครั้นตรัสตอบว่า เข้าใจอย่างนั้น. จึงกราบทูลว่า พระองค์พระราชทานข่าวไปว่า ให้ข้าพระบาทส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่า ม้าสามัญมาถวายไม่ใช่หรือ พระเจ้าข้า. กราบทูลดังนี้แล้ว ลุกจากอาสน์ให้ทีแก่บริวารให้นำฬาที่นำมานั้น มาให้นอนแทบพระบาทยุคลแห่งพระเจ้าวิเทหราช แล้วกราบทูล ถามว่า ฬานี้ราคาเท่าไร พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสตอบว่า ถ้ามันมีอุปการะราคามัน ๘ กหาปณะ. มโหสถทูลถามต่อไปว่า ก็ม้าอัสดรอาศัยฬานี้ เกิดในท้องนางม้าสามัญ หรือนางฬาอันเป็นแม่ม้าอาชาไนย ราคาเล่าไรเล่า พระเจ้าข้า. ครั้นพระราชาตรัสตอบว่า หาค่ามิได้ซิ เจ้าบัณฑิต. ดังนี้ จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เหตุไรตรัสดังนั้น. ก็พระองค์ตรัสเมื่อกี้นี้ว่า บิดาอุดมกว่าบุตร ในที่ทุกสถานมิใช่หรือ. ถ้าพระราชดำรัสนั้นจริง ฬาก็อุดมกว่าม้าอัสดรของพระองค์. พระองค์จงทรงรับฬานั้นไว้. ถ้าว่าม้าอัสดรอุดมกว่าฬาทั้งหลาย พระองค์จงทรงรับม้าอัสดรนั้นไว้. ก็เป็นอย่างไร บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์ จึงไม่สามารถจะรู้เหตุเท่านี้ พากันตบมือหัวเราะเฮฮา โอ บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์บริบูรณ์ด้วยปัญญา พวกนั้นพระองค์ได้มาแต่ไหน. ทูลฉะนี้ กล่าวเยาะเย้ยบัณฑิต ๔ คน แล้วทูลพระราชาด้วยคาถาในเอกนิบาตว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ทรงสำคัญอย่างนี้ว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตร ฬาของพระองค์นี้ก็ประเสริฐกว่าม้าอัสดร เพราะว่าฬาเป็นพ่อของม้าอัสดร.
คาถานั้นมีความว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ทรงสำคัญว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตรในที่ทั้งปวง. ฬาตัวนี้ก็ประเสริฐกว่าแม้ม้าอัสดรของพระองค์ เพราะเหตุไร เพราะฬาเป็นพ่อของม้าอัสดร. ก็แลครั้นทูลอย่างนี้แล้วพระมหาสัตว์ก็กราบทูลว่า ถ้าบิดาประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย ขอได้ทรงรับบิดาของข้าพระองค์ไว้. ถ้าบุตรประเสริฐกว่าบิดา ขอได้ทรงรับข้าพระองค์ไว้ เพื่อประโยชน์แก่พระองค์. พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำนั้น ก็ทรงโสมนัส. ราชบริษัททั้งปวงก็แซ่ซ้องสาธุการว่า มโหสถบัณฑิตกล่าวปัญหาดีแล้ว เสียงปรบมือและการยกแผ่นผ้าเป็นพันๆ ได้เป็นไปแล้ว. บัณฑิต ๔ คนต่างมีหน้าเศร้าหมองซบเซาไปตามๆ กัน.
ปุจฉาว่า บุคคลผู้รู้คุณแห่งบิดามารดา เช่นกับพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มีมิใช่หรือ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรพระโพธิสัตว์จึงทำอย่างนี้.
วิสัชนาว่า พระโพธิสัตว์นั้นได้ทำอย่างนั้น เพื่อประสงค์จะดูหมิ่นบิดาก็หาไม่. ก็แต่พระราชาส่งข่าวไปว่า ให้ส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมาถวาย. เพราะฉะนั้น จึงทำอย่างนี้ เพื่อจะทำปัญหานั้นให้แจ่มแจ้ง เพื่อจะประกาศความที่ตนเป็นบัณฑิต และเพื่อจะทำอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกะเป็นต้น ให้หมดรัศมี.
จบ ปัญหาฬา
คำว่า ฬา หมายถึง รูปที่เลิกใช้ของ ลา (“ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายม้า”)
คำว่าอัสดร หมายถึง สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ
http://www.facebook.com/notes/panu-wongpanuvut/อัสดร-สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ/812956392166838/?_rdc=1&_rdr
https://m.facebook.com/notes/panu-wongpanuvut/อัสดร-สายพันธุ์ม้าชั้นเลิศในตำนานโบราณ/812956392166838/
อ่าน อรรถกถา.......
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=600&p=2