Then The Winged Hussar Arrived!!
คาดว่าหลายๆท่านน่าที่สนใจประวัติศาสตร์จะรู้จักหน่วยรบอันสุดแข็งแกร่งของโปล ที่เคยทะลวงกองทัพออตโตมัน กันมาบ้างแล้วซึ่งวันนี้ผมก็จะมานำประวัติของพวกเขาตีแผ่ให้ชาวพันทิปได้รับรู้ครับ
จะว่าไปแล้วการจัดกำลังของหน่วยรบ วิหคฮุสซาร์ นั้น คล้ายๆกับยุโรปยุคกลางไม่มีผิด โดยการจัดกำลังที่ย่อยสุดของบรรดาวิหคฮุสซาร์จะเป็นกองร้อยที่เรียกว่า "Rota" ซึ่งมาจากชนชั้นสูงโปล สำหรับผู้บังคับกองร้อยในแต่ละกองนั้นจะเรียกว่า "Rotmistrz" พวกเขาคือชนชั้นสูงชาวโปลที่ครอบครองที่ดินและมีบริวารอยู่บ้าง ซึ่งความรวยของพวกเขาทำให้ สภา Sejm ไม่ต้องลงแรงมากนักในการใช้เงินดูแลเหล่าทหารม้า นอกจากนี้บรรดานายพลหรือ "เฮทมาน (Hetman)" ของ โปล ก็จ่ายเงินให้เหล่า Rotmistrz เวลาจะรวบรวมพลเพื่อทำการรบ Rotmistrz จะส่งจดหมายเรียกเกณฑ์ทหาร (List Przypowiedni) ซึ่งจดหมายดังกล่าวถูกรับรองโดยกษัตริย์และ Rotmistrz นำมาใช้ต่อโดยการตั้ง กองร้อยทหารม้าที่มีจำนวนตั้งแต่ 100 - 150 นาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของ Rotmistrz รายนั้นๆถ้ารวยก็อาจจะมากถึง 300 นายก็ได้
โดยบรรดาคนที่มาเข้านั้นจะเรียกว่า "towarzysze" หรือแปลว่า "สหาย (Companion)" ชื่อเรียกคล้ายๆกองทหารม้าของอเล็กซานเดอร์เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเด็กรับใช้หรือ "pacholiks" แบบอัศวินในยุคกลางเลยด้วย ซึ่งบางคนอาจจะมีมากถึงเจ็ดคน สำหรับ "towarzysze" นั้นก็ดูจะเป็น สหายของ ผู้กองสมชื่อจริงๆเพราะพวกเขาจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการดูแลกองทหารเช่นกัน จะว่าไปพวกเขาก็คือชนชั้นสูงของโปลนั้นเอง แต่ชนชั้นสูงของโปลก็ยังแบ่งได้หลายระดับอีก สำหรับชนชั้นสูงที่ จนๆ ก็ไม่มีปัญหาหาม้าดีๆ แต่ ชนชั้นสูงรวยๆแน่นอนว่าพวกหามาดีๆได้ และพวกชนชั้นสูงส่วนใหญ่ที่มารบก็ไม่ใช่เพราะรักชาติแต่อย่างใด แต่หวังจะอาศัยการรบสร้างชื่อเสียงของตนให้โด่งดังจะได้ไปเล่นการเมือง หรือ กระเทิบไปยังยศและบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่า ส่วนใหญ่ระยะเวลาอยู่ในราชการของ บรรดาฮุสซาร์ก็จะอยู่ราวๆ 3 - 5 ปี และถึงแม้หากไม่ใช่ชนชั้นสูงแต่ถ้ามีเงินพอก็เป็น "สหาย" ได้อยู่ดี
โดยปกติ บรรดาฮุสซาร์ทั้งหลาย จะได้รับเกียรติและมีคำนำหน้าชื่อว่า pan หรือ ท่านเซอร์ แบบอังกฤษอยู่แล้ว แต่ บรรดา ผู้กอง สหาย หรือ เฮทมาน จะเรียกกันเองว่า pan brat หรือ "my lord brother" (คงจะอารมณ์ประมาณพี่น้องกัน) ซึ่งความเส้นใหญ่ของฮุสซาร์ก็มีคำบรรยายถึงอยู่ว่า
"เมื่อ ประตูงานเลี้ยงหรือโอเปร่าถูกปิดไม่ให้มีคนเข้า แต่เมื่อ สหาย มาถึง พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปเสมอ"
สำหรับผู้บังคับกองร้อยฮุสซาร์ หรือ "Rotmistrz" จะทำการคัดเลือกผู้หมวด "Porucznik" หรือนายทหารที่จะรับคำสั่งของเขาต่อจาก "สหาย" ฮุสซาร์ ทั้งหลายนั้นเอง จะว่ากันตรงๆคำว่า "Porucznik" หมายถึงผู้บังคับบัญชาระดับรอง หรือ "Lieutenant Commander" ซึ่งในบางครั้ง ถ้าเกิดเป็น "Porucznik" ของ เฮทมาน นั้นหมายความว่า "Porucznik" นายนั้นจะคุมทหารระดับกองพลเลยทีเดียว จนกระทั่ง ค.ศ.1775 เมื่อ โปล มีการปรับยศทหารให้เท่ากับชาติยุโรปตะวันตก "Porucznik" จะมียศเทียบเท่า พันเอก
การขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับรองนั้น ถือเป็นบันไดก้าวหนึ่งซึ่งจะเป็นใบเบิกทางแห่งความสำเร็จทางการทหารของเหล่าฮุสซาร์ แน่นอนว่าเหล่าสหายหลายนายต่างแย่งกันเพื่อที่จะได้เป็นตำแหน่งนี้ จนบางครั้งถึงขั้นดวลกัน เพื่อแย่งตำแหน่ง อย่างไรก้ตามแม้จะเป็นผู้บังคับบัญชระดับรอง "Porucznik" ก็ถูกเรียกตัวจาก ผบ. บ่อยจนต้องทิ้ง การบังคับบัญชาให้กับ ผู้บังคับบัญชาชั่วคราว "Namiestink" ซึ่งจะถูกเลือกจากเหล่า "สหาย" หนุ่มที่ไว้ใจได้ และแน่นอนว่าใครถูกเรียกบ่อยๆ "สหาย" นายนั้นก็เตรียมตัวเลื่อนขั้นได้เลย สำหรับพลกลองและพลแตรของฮุสซาร์นั้นดูจะไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไหร่และส่วนใหญ่ก็อยู่ใน กองร้อยขององค์กษัตริย์ จนกระทั่งมีการปฎิรูปฮุสซาร์ในช่วง 1670s ทำให้ทุกกองร้อยของฮุสซาร์ มีดุริยางค์ แพทย์ และ ช่าง (ตีเหล็กกับซ่อมปืน) แน่นอนว่าพวกนี้ไม่ใช่ทหารและชื่อก็ไม่ได้ถูกบันทึกลงในรายนามกองร้อย นอกจากนี้ยังมีระบบ "Kolo" ซึ่งคือการรวมตัวกันของ สหาย หลายๆคนมาเป็นที่ปรึกษาของ ผู้กอง คล้ายๆกับ เสธ.
เครื่องแบบและเครื่องแต่งกาย
การแต่งกายชายชาวโปลส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจาก ฮังกาเรียน ตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 มันเข้ามาพร้อมกับ ทหารม้าฮุสซาร์ จนเรียกได้ว่าในยุคนั้น คำว่า ฮังกาเรียน และ ฮุสซาร์ อาจถูกใช้สลับกันบ่อยๆ โดยใสกระโปรงที่ขาบานๆและยาวๆ และผ้าหนาๆตามภูมิอากาศแบบโปแลนด์ เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แฟชั่น แบบรัสเซีย เติร์ก และ ตาต้าร์ ก็เข้ามามีอิทธิพลแทน นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าบรรดา "สหาย" ฮุสซาร์ นั้นไม่มีเครื่องแบบตายตัวแต่หาใส่อะไรก็ได้ตามที่มีเงินจ่าย สีส่วนใหญ่จะเป็นโทนแดง ซึ่งเป็นสีของชนชั้นสูงโปล พวกเขายังสวมเสื้อคลุมสีแดงราคาแพงที่เรียกว่า "karmazyni" สีแดงของมันถูกสกัดมาจากแมลงในท้องถิ่นชื่อว่า คอชินีลของโปล สำหรับสีฟ้านั้นจะเป็นสีที่ราคาถูกกว่า และถูกใส่โดยชนชั้นสูงที่มีฐานะปานกลาง ส่วนสีอื่นๆไม่ว่าจะ เหลือง เขียว ดำ จะเป็นของชนชั้นสูงที่ไม่ค่อยมีฐานะ แต่เอาเขาจริงๆพวกเสื่อผ้าแพงๆนั้นเหล่าฮุสซาร์สวมใส่เฉพาะตอน สวนสนาม หรือ ตอนออกไปมาหาสู่กันเท่านั้น เพราะตอนรบพวกเขาจะใส่เสื้อถูกๆอยู่ดี
ในบางครั้งตามรูปวาดเราจะเห็นผ้าคลุมหนังเสือดาวสุดเท่ของฮุสซาร์ แต่บอกไว้ก่อนว่าส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่เสือดาวจริงๆเพราะหาเสือดาวไม่ได้ในยุโรปตะวันออก แท้จริงแล้วมันคือ หนังของแมวลายจุด หรือถ้าไม่มีจุดมันก็จะถูกเพิ่มลงไปทีหลัง ในบางครั้งผ้าคลุมลายเสือดาวมาจาก เสือดาวหิมมะทางเหนือ และมาจากในเอเชียกลางและคอเคซัส แน่นอนว่าไอเทมหายากขนาดนี้ ผ้าคลุมลายเสือดาวเลยตกเป็นของ ผู้กอง และ บรรดาเชื้อพระวงศ์ สำหรับผู้บังคับบัญชาระดับรอง (Porucznik) จะสวมผ้าคลุมหนังหมาป่า และในตามรูปวาดอีกเช่นกัน เราจะได้เห็นผ้าคลุมที่ลวดลายขนาดใหญ่เรียกว่า "welens" อันได้อิทธิพลมาจากเติร์ก
อาวุธยุทธโธปกรณ์ และ ชุดเกราะ
ด้วยความรวยของเหล่าบรรดาฮุสซาร์ รัฐไม่ต้องเงินซื้ออาวุธให้พวกเขา โดยหัวเรือที่เป็นคนของออกค่าอาวุธส่วนใหญ่จะเป็น ผู้กอง"Rotmistrz" ซึ่งก็จะซื้อตั้งแต่ ทวน เสื้อคลุม มาแจกจ่าย บรรดาสหาย และสำหรับสหายคนไหนที่ช่วยออกตังค์ช่วยแชร์กับผู้กองในการซื้ออาวุธ พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ยึดได้ในสงครามมาเป็นค่าทดแทน คราวนี้เราจะมาพูดถึง อาวุธแต่ละชิ้นของ ฮุสซาร์ กันครับ
ชุดเกราะ และ หมวกเหล็ก
สำหรับชุดเกราะตั้งแต่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาของทหารม้าโปลนั้นจะลอกเลียนแบบ ชุดเกราะสไตล์ฮังกาเรียน ขึ้นมาซึ่งเกราะเหล็กเป็นปล้องๆคล้าย "ลอบสเตอร์' และเกราะอกนั้นเป้นสไตล์แบบอิตาเลียน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก เกราะ ลอริกา แซกเมนทาทา แบบทหารโรมันในอดีต ต่อมาก็ดัดแปลงทำเป็นแผ่นๆประมาณ 3 - 4 แผ่น พอมาถึงช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 17 ชุดเกราะแบบเติร์ก ก็เป็นที่นิยมแทน
หมวกเหล็ก (Szyszak) ในช่วงแรกจะเป็นหมวกก็อปสไตล์ฮังการีมาเช่นกัน ก่อนค่อยๆปรับรูปแบบมาเป็นของตัวเองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีข้อต่อหมวกเป็นทองเหลือง และมีแผ่นเหล็กป้องกันจมูกที่เป็นรูปกุหลาบ สัญลักษณ์ของพระแม่มารีย์
เกราะแขนนั้นในตอนแรกจะเป็นเกราะโซ่ถักก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกราะแบบตะวันออกซึ่งเป็นชิ้นๆ
ทวน "Kopia"
แล้วก็มาถึงอาวุธหลักของบรรดาฮุสซาร์นั้นคือทวน ทวนชนิดนี้เป็นทวน สไตล์ตะวันออก มีที่ป้องกันมือเป็นรูปทรง กลมๆคล้าย แอปเปิ้ล ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Pomme สำหรับตัวทวนนั้นจะทำมาจากไม้สนหรือเฟอร์ที่ราคาถูกและเบา และดาบจับของมันยังกลวงส่งผลทำให้น้ำหนักของทวนลดลงอีก ซึ่งทวนของทหารม้าฮุสซาร์นั้นยาวถึง 13 - 16 ฟุต!! หรือราวๆ 3.9 - 4.6 เมตร แต่มีน้ำหนักแค่ 4 ปอนด์ครึ่ง 1.8 กิโลกรัมเท่านั้น สำหรับธประจำกองร้อยนั้นแต่ละกองร้อยก็จะต่างกันออกไป อย่างไรก้ตามปัญหาที่มักพบคือ การขาดแคลนทวนสำหรับทหารม้า
ดาบ และ อาวุธสั้น
กระบี่ (Szabla)
ของฮุสซาร์นั้นก็รับ สไตล์ของฮังการี และ เติร์ก มาเช่นกัน โดยจะเป็นดาบทรงใบมีดยาว ต่อมาเริ่มมีการดัดแปลงให้มันเบาขึ้น และรวมถึงทำเป็นด้ามจับที่มีรูดไว้สอดนิ้วทำให้กระชับมากขึ้นในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีดาบแบบเยอรมันซึ่งเรียกว่า "koncerz" ซึ่งเป็นดาบตรงยาวกว่า 1.3 เมตร ออกแบบมาเพื่อแทงทะลุเกราะอ่อนโดยเฉพาะ และยังมีตะบองเอาไว้ทุบทหารที่ใส่เกราะเรียกว่า "nadziak" รวมดึงดาบใบมีดกว้างอย่าง "palasz"
ปืน และ ธนู
ถึงแม้จะขึ้นชื่อเรื่องการชาร์จทหารม้าฮุสซาร์ยังคงพกอาวุธยิงระยะไกลอย่างปืนและธนู ชนชั้นสูงโปลส่วนใหญ่นั้นจะพกธนูไปไหนต่อไหนตลอดเวลา แต่สกิลการยิงธนูของพวกเขานั้นเข้าขั้นห่วยแตกเลยทีเดียว จนมีคนกล่าวไว้ว่า "ควรเก็บมันไว้ที่บ้านเสียดีกว่า" ฮุสซาร์นั้นเริ่มรับอาวุธปืนมาช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดย ปืนพก "rusznica" และ ปืนยาว ตอนแรกอาวุธปืนถูกใช้โดยเด็กรับใช้และเด็กเฝ้าเต้นท์เพื่อป้องกันค่าย ฮุสซาร์เริ่มรับมันมาใช้ในเวลาต่อมาแต่ก็ถือว่าน้อยมาก ในช่วง 1560s ประมาณการณ์ว่ามี ฮุสซาร์ 30% ที่พกอาวุธปืน จนถึงยุคของพระเจ้า สเตฟาน บาธอรี่ (Stephen Báthory) พระองค์ได้ปฎิรูปกองทัพหลายอย่างรวมถึง การให้ทหารม้าฮุสซาร์ทุกนายต้องพกปืนอย่างน้อย 1 - 2 กระบอก อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ชอบใช้ทวนมากกว่า และมักพกมันไว้หลังอานม้า
การฝึกฝนและซ้อมรบ
บรรดา ฮุสซาร์ ทั้งหลายนั้นก็คล้ายๆกับอัศวินในยุคกลาง ฝึกขี่ม้า และ การต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กที่บ้านของพวกเขา จากบันทึกของฮุสซาร์นายหนึ่ง ซิมอน สตราโรโวสกี้ (Szymon Starowolski) ได้กล่าวไว้ถึงชีวิตวัยเยาว์ของเขา
"ในทุกๆวันศักดิ์สิทธิ์ (วันอาทิตย์) พวกเราจะมาเล่นเป็น "อัศวิน" โดยเกมส์ที่เราชอบคือกันวิ่งเข้าไปในวงแหวน ซึ่งคือการฝึกใช้ทวนแทงลอดวงแหวนที่แขวนอยู่ สำหรับนักขี่ม้าที่เชี่ยวชาญพวกเขาสามารถหยิบกระดาษหรือหมวกที่อยู่บนพื้นขณะควบม้าไปด้วยได้เลยทีเดียว หรืออีกวิธีที่ช่วยฝึกการควบม้าได้ดีนั้นคือการควบม้าโดยไม่ใช่บังเหียน"
วิหคฮุสซาร์ อัศวินหลงยุค
โดยบรรดาคนที่มาเข้านั้นจะเรียกว่า "towarzysze" หรือแปลว่า "สหาย (Companion)" ชื่อเรียกคล้ายๆกองทหารม้าของอเล็กซานเดอร์เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเด็กรับใช้หรือ "pacholiks" แบบอัศวินในยุคกลางเลยด้วย ซึ่งบางคนอาจจะมีมากถึงเจ็ดคน สำหรับ "towarzysze" นั้นก็ดูจะเป็น สหายของ ผู้กองสมชื่อจริงๆเพราะพวกเขาจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการดูแลกองทหารเช่นกัน จะว่าไปพวกเขาก็คือชนชั้นสูงของโปลนั้นเอง แต่ชนชั้นสูงของโปลก็ยังแบ่งได้หลายระดับอีก สำหรับชนชั้นสูงที่ จนๆ ก็ไม่มีปัญหาหาม้าดีๆ แต่ ชนชั้นสูงรวยๆแน่นอนว่าพวกหามาดีๆได้ และพวกชนชั้นสูงส่วนใหญ่ที่มารบก็ไม่ใช่เพราะรักชาติแต่อย่างใด แต่หวังจะอาศัยการรบสร้างชื่อเสียงของตนให้โด่งดังจะได้ไปเล่นการเมือง หรือ กระเทิบไปยังยศและบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่า ส่วนใหญ่ระยะเวลาอยู่ในราชการของ บรรดาฮุสซาร์ก็จะอยู่ราวๆ 3 - 5 ปี และถึงแม้หากไม่ใช่ชนชั้นสูงแต่ถ้ามีเงินพอก็เป็น "สหาย" ได้อยู่ดี
โดยปกติ บรรดาฮุสซาร์ทั้งหลาย จะได้รับเกียรติและมีคำนำหน้าชื่อว่า pan หรือ ท่านเซอร์ แบบอังกฤษอยู่แล้ว แต่ บรรดา ผู้กอง สหาย หรือ เฮทมาน จะเรียกกันเองว่า pan brat หรือ "my lord brother" (คงจะอารมณ์ประมาณพี่น้องกัน) ซึ่งความเส้นใหญ่ของฮุสซาร์ก็มีคำบรรยายถึงอยู่ว่า
"เมื่อ ประตูงานเลี้ยงหรือโอเปร่าถูกปิดไม่ให้มีคนเข้า แต่เมื่อ สหาย มาถึง พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปเสมอ"
สำหรับผู้บังคับกองร้อยฮุสซาร์ หรือ "Rotmistrz" จะทำการคัดเลือกผู้หมวด "Porucznik" หรือนายทหารที่จะรับคำสั่งของเขาต่อจาก "สหาย" ฮุสซาร์ ทั้งหลายนั้นเอง จะว่ากันตรงๆคำว่า "Porucznik" หมายถึงผู้บังคับบัญชาระดับรอง หรือ "Lieutenant Commander" ซึ่งในบางครั้ง ถ้าเกิดเป็น "Porucznik" ของ เฮทมาน นั้นหมายความว่า "Porucznik" นายนั้นจะคุมทหารระดับกองพลเลยทีเดียว จนกระทั่ง ค.ศ.1775 เมื่อ โปล มีการปรับยศทหารให้เท่ากับชาติยุโรปตะวันตก "Porucznik" จะมียศเทียบเท่า พันเอก
การขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับรองนั้น ถือเป็นบันไดก้าวหนึ่งซึ่งจะเป็นใบเบิกทางแห่งความสำเร็จทางการทหารของเหล่าฮุสซาร์ แน่นอนว่าเหล่าสหายหลายนายต่างแย่งกันเพื่อที่จะได้เป็นตำแหน่งนี้ จนบางครั้งถึงขั้นดวลกัน เพื่อแย่งตำแหน่ง อย่างไรก้ตามแม้จะเป็นผู้บังคับบัญชระดับรอง "Porucznik" ก็ถูกเรียกตัวจาก ผบ. บ่อยจนต้องทิ้ง การบังคับบัญชาให้กับ ผู้บังคับบัญชาชั่วคราว "Namiestink" ซึ่งจะถูกเลือกจากเหล่า "สหาย" หนุ่มที่ไว้ใจได้ และแน่นอนว่าใครถูกเรียกบ่อยๆ "สหาย" นายนั้นก็เตรียมตัวเลื่อนขั้นได้เลย สำหรับพลกลองและพลแตรของฮุสซาร์นั้นดูจะไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไหร่และส่วนใหญ่ก็อยู่ใน กองร้อยขององค์กษัตริย์ จนกระทั่งมีการปฎิรูปฮุสซาร์ในช่วง 1670s ทำให้ทุกกองร้อยของฮุสซาร์ มีดุริยางค์ แพทย์ และ ช่าง (ตีเหล็กกับซ่อมปืน) แน่นอนว่าพวกนี้ไม่ใช่ทหารและชื่อก็ไม่ได้ถูกบันทึกลงในรายนามกองร้อย นอกจากนี้ยังมีระบบ "Kolo" ซึ่งคือการรวมตัวกันของ สหาย หลายๆคนมาเป็นที่ปรึกษาของ ผู้กอง คล้ายๆกับ เสธ.
ในบางครั้งตามรูปวาดเราจะเห็นผ้าคลุมหนังเสือดาวสุดเท่ของฮุสซาร์ แต่บอกไว้ก่อนว่าส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่เสือดาวจริงๆเพราะหาเสือดาวไม่ได้ในยุโรปตะวันออก แท้จริงแล้วมันคือ หนังของแมวลายจุด หรือถ้าไม่มีจุดมันก็จะถูกเพิ่มลงไปทีหลัง ในบางครั้งผ้าคลุมลายเสือดาวมาจาก เสือดาวหิมมะทางเหนือ และมาจากในเอเชียกลางและคอเคซัส แน่นอนว่าไอเทมหายากขนาดนี้ ผ้าคลุมลายเสือดาวเลยตกเป็นของ ผู้กอง และ บรรดาเชื้อพระวงศ์ สำหรับผู้บังคับบัญชาระดับรอง (Porucznik) จะสวมผ้าคลุมหนังหมาป่า และในตามรูปวาดอีกเช่นกัน เราจะได้เห็นผ้าคลุมที่ลวดลายขนาดใหญ่เรียกว่า "welens" อันได้อิทธิพลมาจากเติร์ก
ชุดเกราะ และ หมวกเหล็ก
สำหรับชุดเกราะตั้งแต่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาของทหารม้าโปลนั้นจะลอกเลียนแบบ ชุดเกราะสไตล์ฮังกาเรียน ขึ้นมาซึ่งเกราะเหล็กเป็นปล้องๆคล้าย "ลอบสเตอร์' และเกราะอกนั้นเป้นสไตล์แบบอิตาเลียน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก เกราะ ลอริกา แซกเมนทาทา แบบทหารโรมันในอดีต ต่อมาก็ดัดแปลงทำเป็นแผ่นๆประมาณ 3 - 4 แผ่น พอมาถึงช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 17 ชุดเกราะแบบเติร์ก ก็เป็นที่นิยมแทน
หมวกเหล็ก (Szyszak) ในช่วงแรกจะเป็นหมวกก็อปสไตล์ฮังการีมาเช่นกัน ก่อนค่อยๆปรับรูปแบบมาเป็นของตัวเองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีข้อต่อหมวกเป็นทองเหลือง และมีแผ่นเหล็กป้องกันจมูกที่เป็นรูปกุหลาบ สัญลักษณ์ของพระแม่มารีย์
เกราะแขนนั้นในตอนแรกจะเป็นเกราะโซ่ถักก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกราะแบบตะวันออกซึ่งเป็นชิ้นๆ
ทวน "Kopia"
แล้วก็มาถึงอาวุธหลักของบรรดาฮุสซาร์นั้นคือทวน ทวนชนิดนี้เป็นทวน สไตล์ตะวันออก มีที่ป้องกันมือเป็นรูปทรง กลมๆคล้าย แอปเปิ้ล ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Pomme สำหรับตัวทวนนั้นจะทำมาจากไม้สนหรือเฟอร์ที่ราคาถูกและเบา และดาบจับของมันยังกลวงส่งผลทำให้น้ำหนักของทวนลดลงอีก ซึ่งทวนของทหารม้าฮุสซาร์นั้นยาวถึง 13 - 16 ฟุต!! หรือราวๆ 3.9 - 4.6 เมตร แต่มีน้ำหนักแค่ 4 ปอนด์ครึ่ง 1.8 กิโลกรัมเท่านั้น สำหรับธประจำกองร้อยนั้นแต่ละกองร้อยก็จะต่างกันออกไป อย่างไรก้ตามปัญหาที่มักพบคือ การขาดแคลนทวนสำหรับทหารม้า
ดาบ และ อาวุธสั้น
กระบี่ (Szabla)
ของฮุสซาร์นั้นก็รับ สไตล์ของฮังการี และ เติร์ก มาเช่นกัน โดยจะเป็นดาบทรงใบมีดยาว ต่อมาเริ่มมีการดัดแปลงให้มันเบาขึ้น และรวมถึงทำเป็นด้ามจับที่มีรูดไว้สอดนิ้วทำให้กระชับมากขึ้นในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีดาบแบบเยอรมันซึ่งเรียกว่า "koncerz" ซึ่งเป็นดาบตรงยาวกว่า 1.3 เมตร ออกแบบมาเพื่อแทงทะลุเกราะอ่อนโดยเฉพาะ และยังมีตะบองเอาไว้ทุบทหารที่ใส่เกราะเรียกว่า "nadziak" รวมดึงดาบใบมีดกว้างอย่าง "palasz"
ปืน และ ธนู
ถึงแม้จะขึ้นชื่อเรื่องการชาร์จทหารม้าฮุสซาร์ยังคงพกอาวุธยิงระยะไกลอย่างปืนและธนู ชนชั้นสูงโปลส่วนใหญ่นั้นจะพกธนูไปไหนต่อไหนตลอดเวลา แต่สกิลการยิงธนูของพวกเขานั้นเข้าขั้นห่วยแตกเลยทีเดียว จนมีคนกล่าวไว้ว่า "ควรเก็บมันไว้ที่บ้านเสียดีกว่า" ฮุสซาร์นั้นเริ่มรับอาวุธปืนมาช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดย ปืนพก "rusznica" และ ปืนยาว ตอนแรกอาวุธปืนถูกใช้โดยเด็กรับใช้และเด็กเฝ้าเต้นท์เพื่อป้องกันค่าย ฮุสซาร์เริ่มรับมันมาใช้ในเวลาต่อมาแต่ก็ถือว่าน้อยมาก ในช่วง 1560s ประมาณการณ์ว่ามี ฮุสซาร์ 30% ที่พกอาวุธปืน จนถึงยุคของพระเจ้า สเตฟาน บาธอรี่ (Stephen Báthory) พระองค์ได้ปฎิรูปกองทัพหลายอย่างรวมถึง การให้ทหารม้าฮุสซาร์ทุกนายต้องพกปืนอย่างน้อย 1 - 2 กระบอก อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ชอบใช้ทวนมากกว่า และมักพกมันไว้หลังอานม้า
"ในทุกๆวันศักดิ์สิทธิ์ (วันอาทิตย์) พวกเราจะมาเล่นเป็น "อัศวิน" โดยเกมส์ที่เราชอบคือกันวิ่งเข้าไปในวงแหวน ซึ่งคือการฝึกใช้ทวนแทงลอดวงแหวนที่แขวนอยู่ สำหรับนักขี่ม้าที่เชี่ยวชาญพวกเขาสามารถหยิบกระดาษหรือหมวกที่อยู่บนพื้นขณะควบม้าไปด้วยได้เลยทีเดียว หรืออีกวิธีที่ช่วยฝึกการควบม้าได้ดีนั้นคือการควบม้าโดยไม่ใช่บังเหียน"