เลิกใช้เด็กเป็นเครื่องมือปั่นกระแสโลกร้อนของผู้ใหญ่เถอะครับ มันเข้าข่าย Child Abuse ชัดๆ



เธอเป็นแค่เหยื่อของผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังครับ ไม่ได้เป็นฮีโร่หรือความหวังใดๆ 
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ก่อนอื่นก็ขอเริ่มจากพื้นฐานว่า "เราไม่มีข้อมูลของตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคทุกตัว" ครับ
ดังนั้นแล้ว การคำนวณทุกอย่างล้วนเป็นการประมาณค่าทั่งสิ้น ไม่มีงานวิจัยที่ถูกต้อง
บางกรณีที่ประมาณค่าผิดไปเล็กน้อยก็สามารถทำให้ได้ผลออกมาผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมาก //แต่ก็บอกไม่ได้อีกอยู่ดีว่าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร

รู้สึกว่าสื่อส่วนใหญ่จะนำเสนองานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า climate change มันเกิดจาก "มนุษย์" กันไปแล้ว
ผมจะลองหยิบ paper ที่บอกว่า ไม่มีหลักฐานที่บอกว่า climate change เป็นผลมากจาก "มนุษย์" บ้างแล้วกัน
ของวันที่ 29 Jun 2019
https://arxiv.org/pdf/1907.00165.pdf

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change)
ในรายงาน AR5 เขามี Headline Statements ว่า Human influence on climate system is clear
ซึ่งในรายงานนั้นก็ชี้ให้เห็นว่ามันเกี่ยวข้องจริงๆ
https://www.ipcc.ch/report/ar5/syr/

ทีนี้ใน paper นี้พยายามพิสูจน์ว่า GCM-models ที่ IPCC ใช้ใน AR5 เนี่ย มันล้มเหลวในการอธิบาย influence ของ low cloud
ต่อการเปลี่ยนแปลงของ global temperature ทำให้โมเดลนี้แสดงผลการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของธรรมชาติน้อยมาก
และโยนผลการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ไปที่ green house gases
ทำให้ในการคำนวณ เมื่อปริมาณ CO2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เลยผลที่ได้ออกมาว่า
CO2 เนี่ยเป็นตัวที่ทำให้เกิด climate change
โดยใน paper นี้ชี้ว่า low cloud ตางหากที่เป็นสาเหตุหลักของ climate change

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ว่าใครถูก ใครผิด หรือทั้งคู่ ต้องถกเถียงกันต่อไป นั่นแหละครับวิทยาศาสตร์
หรืออย่างเช่น paper อันนี้ ของเมื่อ February 1997
แสดงให้เห็นว่าที่ท้องฟ้าโปร่ง(clear sky) ไอน้ำ(water vapor) คือตัวการที่ทำให้เกิด greenhouse effect
โดยส่งผลถึง 60% ของในบรรดา greenhouse gas ทั้งหมด โดยมี CO2 รองลงมาที่ 26% และ O3 8%
http://climateknowledge.org/figures/Rood_Climate_Change_AOSS480_Documents/Kiehl_Trenberth_Radiative_Balance_BAMS_1997.pdf

หรือ paper มากมายที่พยายามทำมาถกเถียงกันเรื่องนี้ เผื่อท่านใดสนใจอ่าน เช่น
https://www.researchgate.net/publication/264822758_An_appropriate_general_circulation_model_GCM_to_investigate_climate_change_impact
http://solberg.snr.missouri.edu/gcc/_09-09-13_%20Chapter%201%20Models.pdf
https://skepticalscience.com/climate-models-intermediate.htm
https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1748-9326/8/2/024024/pdf
https://arxiv.org/pdf/1909.08693.pdf

ดังนั้นแล้วยังสรุปไม่ได้ครับ ว่ามันเป็นผลจากมนุษย์จริงหรือเปล่า ต้องถกเถียงกันต่อไป
ถ้าจะมีคนสรุปให้ก็คือ"สื่อ"บางสำนักนี่แหละ ที่จะนำเสนอข้อมูลอยู่ฝั่งเดียวและไม่มีการถกเถียงใดๆทั้งสิ้น

แต่เรื่องที่สรุปได้และเป็นที่ยอมรับกันในงานวิจัยทั้งหลายคือ
"greenhouse effect", "global warming", "climate change" ไม่ว่าจะโดยมนุษย์หรือธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้นั้นผลเกิดขึ้นจริงครับ

เรื่องเด็กต่อ มันก็ไม่เชิงปั่นกระแสแหละครับ
คือ ถ้าเรามองแค่ภาพรวมอย่างเช่น "สังคมมนุษย์-เศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อม"

แต่ตามความคิดของเด็ก เด็กเขาไม่เข้าใจในส่วนตรงนี้ สิ่งที่เขาพูดออกมาคือตามความเข้าใจของเขา
ถ้าลองไปหาข้อมูลที่เกี่ยวกับด้าน environmental policy ก็จะพบข้อมูลจำนวนมากไม่แพ้เรื่อง climate change
แต่ที่สำคัญคือมีการพยายามทำให้สำเร็จจริงๆอย่าง Kyoto Protocol ที่มีมาก่อนผมเกิดอีก
ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินหรือเศรษฐกิจแต่อย่างใด จะให้หน่วยงานๆเดียวหรือคนๆเดียวพูดทุกเรื่องมันก็ไม่ใช่
เหมือนจะให้กระทรวงศึกษาธิการไปพูดเรื่องจัดซื้ออาวุธก็ดูจะคุยไม่รู้เรื่อง

ในเมื่อจำนวนประชากรมนุษย์ของโลกมันเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้ทรัพยากรมันก็เพิ่มขึ้น
ทีนี้พอความต้องการเพิ่มขึ้น ก็ต้องเอาทรัพยากรมาลงตลาดมากขึ้นจนกว่าปริมาณdemandกับsupplyจะใกล้เคียงกัน
ยกตัวอย่างใกล้ๆเลย เสื้อผ้าที่เด็กคนนั้นใส่อยู่ กว่าจะได้เสื้อผ้าชุดนั้นมา
ต้อง contribute ทรัพยากรอะไร จากไหนเท่าไหร่ เกิดมลพิษเท่าไหร่ //ผมก็ไม่ทราบ
แต่จากกระบวนการผลิตแล้วมันต้องมีปัจจัยเหล่านี้แน่ๆ ยังไม่นับปัญหาและขีดจำกัดยิบย่อยต่างๆอีก

ทีนี้ถ้าจะลดdemandเหล่านี้ได้ ก็เห็นจะต้องลดจำนวนประชากรมนุษย์
แต่จะอยู่ดีๆไปฆ่าทุกคนก็ไม่ได้ จะให้เด็กฆ่าตัวตายก็ไม่ถูกหรือให้เริ่มจากฆ่าคนในครอบครัวตัวเองก่อนก็ไม่ใช่เรื่อง จะห้ามคนมีลูกก็ไม่ได้
เพราะต่างคนต่างต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเราจะต้องมาถกเถียงกันเพื่อหาทางออกกันต่อไปครับ

ทีนี้ในบทกลับกัน ก็ไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะลดปัญหาภาวะโลกร้อนเหล่านั้นได้
ซึ่งการที่จะให้รัฐบาลหรือหน่วยงานใดๆก็ตามมันต้องเป็นในสเกลใหญ่ๆ ทำให้เลี่ยงในการไม่พูดถึง"เงิน"ไม่ได้เช่นกัน
แต่ว่าใน paper ทั้งหลายบอกได้แค่ความน่าจะเป็น
ลองพิจารณาการทอยลูกเต๋า 6 หน้า แต่ละหน้ามีความน่าจะเป็นในการออกอยู่ 1/6
ทีนี้เรามีงบประมาณพอที่จะลงเงินได้ 1 ครั้งเพื่อเดาหน้าที่จะออก
สมมุติว่าลงเงินไปที่เลข 1 แต่เมื่อทอยแล้วผลออกมาคือ เลข 6
ท่านจะเห็นว่าการลงทุนนี้มีความเสี่ยงที่จะสูญเงินไป 1/5
ทีนี้ใน paper มันมีจำนวนวิธีที่มากกว่านี้ที่อ้างว่าส่งผลต่อภาวะโลกร้อน
งบประมาณก็มีจำกัด ความไม่แน่นอนก็มีอยู่สูง ถ้ามันไม่ใช่ตัวสร้างปัญหาภาวะโลกร้อนจริง ก็เหมือนเอาเงินไปผลาญเล่น
ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมเช่นกัน
แต่จะเอามาลงกับเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างเดียวก็ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
สุดท้ายแล้วคนที่นั่งอ่านข่าวแบบเราๆก็ได้แต่ถกเถียงกันไปมา ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังช่วยกัน(หรือไม่)หาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่