สวัสดีค่ะ
เราเป็นคนตจว.มาทำงานที่กทม.ได้เกือบ4ปีแล้ว เราไม่มีญาติหรือเพื่อนอยู่ที่นี่ พ่อแม่พี่น้องของเราได้แยกย้ายหนีหายกันไปหมด เรียกว่าไม่มีบ้านให้กลับ และอยู่ตัวคนคนเดียวอย่างแท้จริง
เมื่อประมาณ2ปีก่อน เราพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ของรพ.รัฐแห่งหนึ่ง (แต่เป็นคลินิกนอกเวลา) ตอนนั้นเราคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น สลับกับอยากตายบ่อยๆ คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า เราจึงรับการรักษาและเริ่มกินยามาตั้งแต่บัดนั้น
อาจเพราะอาการเราไม่ได้มากมาย เราจึงเจอกับคุณหมอเฉลี่ยสองเดือนครั้ง และเรารู้สึกว่าคุณหมอจะสนใจเรื่องการตอบสนองต่อยาของเรามากกว่าความรู้สึกจริงๆของเรา
เราจึงไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้คุณหมอฟัง ส่วนใหญ่คุณหมอจะถามถึงเรื่องยา เรื่องการนอน เรื่องการกิน
หลังเปลี่ยนยามาเรื่อยๆ อาการเราดีขึ้น อารมณ์นิ่งขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง ไม่ค่อยคิดมาก ไม่ค่อยอยากตาย แต่ต้องแลกกับอาการหนักหัว ความคิดไม่แล่น เฉื่อยชาลง เหมือนตัวเองกลายร่างเป็นซอมบี้ดีๆนี่เอง
แต่เรามีการตอบสนองต่อยาในทางที่ดี คุณหมอจึงไม่ค่อยนัดเราเข้ามาคุย ได้แต่สั่งยาให้กินต่อเนื่องไปนานๆ
จนช่วงหลังที่ไม่ได้พบคุณหมอ อาการเฉื่อยชาของเรานั้นกลายมาเป็นการไม่ทำอะไรเลย เราถึงขั้นทิ้งการทิ้งงาน ออกมานอนนิ่งๆในห้องอย่างเดียวไม่ออกไปไหน
เราไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายนะ แต่อยากหลับตาแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก ความคิดวนเวียนแค่นั้น
ครั้งสุดท้ายที่ไปพบคุณหมอ ได้เล่าอาการให้ฟัง จึงมีการเปลี่ยนยาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรารู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
เราในตอนนี้แย่กว่าตอนที่เดินเข้าไปพบคุณหมอครั้งแรกอีก ตอนนั้นเราเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความหวังว่าจะดีขึ้น แต่ตอนนี้เราปราศจากความรู้สึกด้านบวกเลย
อีกเรื่องนึงที่เราแคลงใจก็คือ คุณหมอไม่ค่อยสนใจเรื่องความรู้สึกของเรา เค้าสนใจแต่เรื่องยา เค้าบอกว่าถ้ายาตัวนี้ไม่ได้ผลก็ยังมีอีกเป็นร้อยตัว ซึ่งต้องมีสักตัวที่เหมาะกับเรา
ล่าสุดเราไม่ไปหาคุณหมอตามนัด ปล่อยให้ยาหมด และกลับไปทำงาน
เราคิดว่าคงอยู่ได้ แต่ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนและความคิดอยากตายของเราได้กลับมาอีก
เรานอนไม่หลับ ถึงหลับก็ได้แค่ระยะสั้นๆ และความคิดฟุ้งซ่านเริ่มครอบงำในหัว
ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี? หรือควรจบที่เราเองจริงๆ?
รักษาโรคซึมเศร้าเกิน2ปีแล้วยังไม่ดีขึ้น
เราเป็นคนตจว.มาทำงานที่กทม.ได้เกือบ4ปีแล้ว เราไม่มีญาติหรือเพื่อนอยู่ที่นี่ พ่อแม่พี่น้องของเราได้แยกย้ายหนีหายกันไปหมด เรียกว่าไม่มีบ้านให้กลับ และอยู่ตัวคนคนเดียวอย่างแท้จริง
เมื่อประมาณ2ปีก่อน เราพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ของรพ.รัฐแห่งหนึ่ง (แต่เป็นคลินิกนอกเวลา) ตอนนั้นเราคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น สลับกับอยากตายบ่อยๆ คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า เราจึงรับการรักษาและเริ่มกินยามาตั้งแต่บัดนั้น
อาจเพราะอาการเราไม่ได้มากมาย เราจึงเจอกับคุณหมอเฉลี่ยสองเดือนครั้ง และเรารู้สึกว่าคุณหมอจะสนใจเรื่องการตอบสนองต่อยาของเรามากกว่าความรู้สึกจริงๆของเรา
เราจึงไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้คุณหมอฟัง ส่วนใหญ่คุณหมอจะถามถึงเรื่องยา เรื่องการนอน เรื่องการกิน
หลังเปลี่ยนยามาเรื่อยๆ อาการเราดีขึ้น อารมณ์นิ่งขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง ไม่ค่อยคิดมาก ไม่ค่อยอยากตาย แต่ต้องแลกกับอาการหนักหัว ความคิดไม่แล่น เฉื่อยชาลง เหมือนตัวเองกลายร่างเป็นซอมบี้ดีๆนี่เอง
แต่เรามีการตอบสนองต่อยาในทางที่ดี คุณหมอจึงไม่ค่อยนัดเราเข้ามาคุย ได้แต่สั่งยาให้กินต่อเนื่องไปนานๆ
จนช่วงหลังที่ไม่ได้พบคุณหมอ อาการเฉื่อยชาของเรานั้นกลายมาเป็นการไม่ทำอะไรเลย เราถึงขั้นทิ้งการทิ้งงาน ออกมานอนนิ่งๆในห้องอย่างเดียวไม่ออกไปไหน
เราไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายนะ แต่อยากหลับตาแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก ความคิดวนเวียนแค่นั้น
ครั้งสุดท้ายที่ไปพบคุณหมอ ได้เล่าอาการให้ฟัง จึงมีการเปลี่ยนยาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรารู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
เราในตอนนี้แย่กว่าตอนที่เดินเข้าไปพบคุณหมอครั้งแรกอีก ตอนนั้นเราเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความหวังว่าจะดีขึ้น แต่ตอนนี้เราปราศจากความรู้สึกด้านบวกเลย
อีกเรื่องนึงที่เราแคลงใจก็คือ คุณหมอไม่ค่อยสนใจเรื่องความรู้สึกของเรา เค้าสนใจแต่เรื่องยา เค้าบอกว่าถ้ายาตัวนี้ไม่ได้ผลก็ยังมีอีกเป็นร้อยตัว ซึ่งต้องมีสักตัวที่เหมาะกับเรา
ล่าสุดเราไม่ไปหาคุณหมอตามนัด ปล่อยให้ยาหมด และกลับไปทำงาน
เราคิดว่าคงอยู่ได้ แต่ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนและความคิดอยากตายของเราได้กลับมาอีก
เรานอนไม่หลับ ถึงหลับก็ได้แค่ระยะสั้นๆ และความคิดฟุ้งซ่านเริ่มครอบงำในหัว
ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี? หรือควรจบที่เราเองจริงๆ?