เราส่งของกลับจากอังกฤษหลังจากไปเรียนมา 1 ปีค่ะ เป็นของใช้ส่วนตัวที่ใช้แล้วทั้งหมด ราคารวมไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทแน่นอน เราเลือกใช้บริการของบริษัทลูกของ DHL เพราะคิดว่าดูน่าเชื่อถือกว่าบริษัท local อื่นๆ ในราคาที่ใกล้เคียงกันค่ะ นัดรับกล่องวันที่ 11 กันยายน ตัวเราบินกลับ 12 ถึงไทย 13
วันที่ 14: ทาง DHL โทรหาเราแต่เช้า บอกว่าจะมาส่งของ โดยมีภาษี 10000 กว่าบาท แบ่งเป็นภาษีอากร 8000, VAT ประมาณ 2500 และค่าบริการ 200 กว่าบาท เราเองก็ตกใจมากว่าของเราเป็นของใช้แล้วนะ เกิดอะไรขึ้น เลยติดต่อไปทาง call center ได้รับคำตอบกลับมาว่า เราไม่ได้แจ้งว่าเป็น personal effect
ตอนแรกเราก็ยังงงๆ อยู่นิดหน่อย แต่พอลองเข้าไปเช็คในเว็บที่เราสั่งซื้อบริการนี้ปรากฏว่า เราได้
แจ้งไปแล้วผ่านเว็บไซต์ค่ะว่าเป็นการส่งของส่วนตัว ไม่รู้ว่าเอกสารหรือการเดินเรื่องตกหล่นอะไรรึเปล่า ข้อมูลส่วนนี้ถึงหายไป
วันที่ 15-16: มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ ว่าทาง DHL จะ absorb ค่าภาษีเฉพาะส่วนภาษีอากรให้ครึ่งนึง สรุปแล้วเราก็จ่ายเงินประมาณ 6000 กว่าบาทให้ DHL เราเลยพยายามต่อรองอยู่นานเหมือนกันค่ะ ผลสรุปออกมาว่า เค้าลดให้ครึ่งนึงเหลือให้เราจ่ายเป็นจำนวน 5300 บาท
แต่ยังไงเราคิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องอยู่ดี เราแจ้งเรื่องแล้ว คุณติดต่อกับทางอังกฤษพลาดเองแล้วมาให้เราจ่ายเงินครึ่งนึงมันก็แปลกๆอ่ะค่ะ เราเลยถามว่า process นี้ย้อนกลับไปที่กรมศุลกากรได้มั้ย เพราะความจริงแล้วเราไม่ต้องเสียภาษีค่ะ ทาง DHL ตอบกลับมาว่าส่งได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่ม 1600 บาท ซึ่งเป็นแค่ค่าประมาณการ และเราเองยังไงก็ต้องเสีย VAT ซึ่งรวมแล้วเท่าเงินที่เราต้องเสีย 5000 กว่าบาทให้ DHL เลยนะ เค้าพยายามโน้มน้าวเราต่างๆ นานา ว่าของเราจะถูกเช็ค 100% ของอาจจะถูกเก็บไว้เป็นเดือน และถ้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออาหารจะเป็นปัญหานะเพราะต้องขอ license จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งทางเราก็แจ้งไปว่าไม่มี มีแต่เสื้อผ้ากับหนังสือเท่านั้น
เราก็งงกับการโน้มน้ามของ DHL แต่เริ่มคิดละว่ามันไม่ปกติ เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต ปรากฏไปเจอประกาศของกรมกรรพากรว่า ของที่ได้รับยกเว้นอากร ก็รวมอยู่ในของที่ได้รับยกเว้น VAT ด้วย
วันที่ 17: DHL ติดต่อเรากลับมาทางอีเมลเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ได้คุยกันในโทรศัพท์ เราเลย cap หน้าจอเรื่องประกาศกรมสรรพากรเรื่องยกเว้น VAT กลับไปถาม ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนี้ เหมือน DHL เปลี่ยนประเด็นเรื่องนี้ไปดื้อๆ เลยโดยการติดต่อขอเอกสารเพื่อเดินเรื่องกับกรมศุลกากรจากเราแทน
ไม่มีการแก้ความเข้าใจผิดหรือขอโทษใดๆ
ตอนนี้เราเลยเริ่มรู้สึกเหมือนโดนหลอกให้จ่ายเงินอยู่ตลอดเวลา รู้สึกขาดความเชื่อใจและเชื่อถือ DHL ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ
ในวันเดียวกันนี้ เราเมลติดต่อกับบริษัททางอังกฤษ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เค้าตอบเรากลับมาแค่ว่าทางประเทศไทยไม่ยกเว้นภาษี personal effect และยืนยันให้เราจ่ายภาษี ส่วนนี้เราคิดว่าเค้าไม่รู้กฏหมายบ้านเราค่ะ
วันที่ 18: DHL ติดต่อมาขอเอกสารโดยชี้แจงว่าค่า 1600 เป็นค่าทำ paperless กับทางกรมศุล ขอสำเนาพาสปอร์ตกับบัตรประชาชนไปค่ะ ซึ่งเราส่งไปให้ในวันที่ 19 ค่ะ
จากนั้นเราก็มีไปต่างจังหวัดเพื่อไปเยี่ยมคุณยายค่ะ เลยไม่ได้ติดต่อกับทางบริษัท และเห็นว่าติดเสาร์อาทิตย์ด้วย
เลยอยากปรึกษาหน่อยค่ะ ว่า
1. เนื่องจากเราไม่ค่อยเชื่อถือใน DHL แล้ว ไม่อยากปรึกษา DHL เลยอยากถามว่า process การเดินเรื่องตามปกติในการส่งของผ่าน courier นี่เราต้องทำอย่างไรบ้างหรอคะ ส่งแล้วรอของอย่างเดียวหรือต้องไปเดินเรื่องเอง มีต้องจ่ายค่า paperless นี้จริงมั้ยคะ หรือเค้าจะแค่เอาเงินเพื่ม
2. กับเหตุการณ์นี้ เราคววรทำอย่างไรต่อคะ ถ้าเค้ายืนยันจะให้เราจ่ายเงินภาษี 5300 บาทอยู่
รู้สึกเหมือนโดน DHL หลอกเลยค่ะ ขอความช่วยเหลือหน่อยค่ะ
วันที่ 14: ทาง DHL โทรหาเราแต่เช้า บอกว่าจะมาส่งของ โดยมีภาษี 10000 กว่าบาท แบ่งเป็นภาษีอากร 8000, VAT ประมาณ 2500 และค่าบริการ 200 กว่าบาท เราเองก็ตกใจมากว่าของเราเป็นของใช้แล้วนะ เกิดอะไรขึ้น เลยติดต่อไปทาง call center ได้รับคำตอบกลับมาว่า เราไม่ได้แจ้งว่าเป็น personal effect
ตอนแรกเราก็ยังงงๆ อยู่นิดหน่อย แต่พอลองเข้าไปเช็คในเว็บที่เราสั่งซื้อบริการนี้ปรากฏว่า เราได้แจ้งไปแล้วผ่านเว็บไซต์ค่ะว่าเป็นการส่งของส่วนตัว ไม่รู้ว่าเอกสารหรือการเดินเรื่องตกหล่นอะไรรึเปล่า ข้อมูลส่วนนี้ถึงหายไป
วันที่ 15-16: มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ ว่าทาง DHL จะ absorb ค่าภาษีเฉพาะส่วนภาษีอากรให้ครึ่งนึง สรุปแล้วเราก็จ่ายเงินประมาณ 6000 กว่าบาทให้ DHL เราเลยพยายามต่อรองอยู่นานเหมือนกันค่ะ ผลสรุปออกมาว่า เค้าลดให้ครึ่งนึงเหลือให้เราจ่ายเป็นจำนวน 5300 บาท
แต่ยังไงเราคิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องอยู่ดี เราแจ้งเรื่องแล้ว คุณติดต่อกับทางอังกฤษพลาดเองแล้วมาให้เราจ่ายเงินครึ่งนึงมันก็แปลกๆอ่ะค่ะ เราเลยถามว่า process นี้ย้อนกลับไปที่กรมศุลกากรได้มั้ย เพราะความจริงแล้วเราไม่ต้องเสียภาษีค่ะ ทาง DHL ตอบกลับมาว่าส่งได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่ม 1600 บาท ซึ่งเป็นแค่ค่าประมาณการ และเราเองยังไงก็ต้องเสีย VAT ซึ่งรวมแล้วเท่าเงินที่เราต้องเสีย 5000 กว่าบาทให้ DHL เลยนะ เค้าพยายามโน้มน้าวเราต่างๆ นานา ว่าของเราจะถูกเช็ค 100% ของอาจจะถูกเก็บไว้เป็นเดือน และถ้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออาหารจะเป็นปัญหานะเพราะต้องขอ license จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งทางเราก็แจ้งไปว่าไม่มี มีแต่เสื้อผ้ากับหนังสือเท่านั้น
เราก็งงกับการโน้มน้ามของ DHL แต่เริ่มคิดละว่ามันไม่ปกติ เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต ปรากฏไปเจอประกาศของกรมกรรพากรว่า ของที่ได้รับยกเว้นอากร ก็รวมอยู่ในของที่ได้รับยกเว้น VAT ด้วย
วันที่ 17: DHL ติดต่อเรากลับมาทางอีเมลเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่ได้คุยกันในโทรศัพท์ เราเลย cap หน้าจอเรื่องประกาศกรมสรรพากรเรื่องยกเว้น VAT กลับไปถาม ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนี้ เหมือน DHL เปลี่ยนประเด็นเรื่องนี้ไปดื้อๆ เลยโดยการติดต่อขอเอกสารเพื่อเดินเรื่องกับกรมศุลกากรจากเราแทน ไม่มีการแก้ความเข้าใจผิดหรือขอโทษใดๆ
ตอนนี้เราเลยเริ่มรู้สึกเหมือนโดนหลอกให้จ่ายเงินอยู่ตลอดเวลา รู้สึกขาดความเชื่อใจและเชื่อถือ DHL ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ
ในวันเดียวกันนี้ เราเมลติดต่อกับบริษัททางอังกฤษ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เค้าตอบเรากลับมาแค่ว่าทางประเทศไทยไม่ยกเว้นภาษี personal effect และยืนยันให้เราจ่ายภาษี ส่วนนี้เราคิดว่าเค้าไม่รู้กฏหมายบ้านเราค่ะ
วันที่ 18: DHL ติดต่อมาขอเอกสารโดยชี้แจงว่าค่า 1600 เป็นค่าทำ paperless กับทางกรมศุล ขอสำเนาพาสปอร์ตกับบัตรประชาชนไปค่ะ ซึ่งเราส่งไปให้ในวันที่ 19 ค่ะ
จากนั้นเราก็มีไปต่างจังหวัดเพื่อไปเยี่ยมคุณยายค่ะ เลยไม่ได้ติดต่อกับทางบริษัท และเห็นว่าติดเสาร์อาทิตย์ด้วย
เลยอยากปรึกษาหน่อยค่ะ ว่า
1. เนื่องจากเราไม่ค่อยเชื่อถือใน DHL แล้ว ไม่อยากปรึกษา DHL เลยอยากถามว่า process การเดินเรื่องตามปกติในการส่งของผ่าน courier นี่เราต้องทำอย่างไรบ้างหรอคะ ส่งแล้วรอของอย่างเดียวหรือต้องไปเดินเรื่องเอง มีต้องจ่ายค่า paperless นี้จริงมั้ยคะ หรือเค้าจะแค่เอาเงินเพื่ม
2. กับเหตุการณ์นี้ เราคววรทำอย่างไรต่อคะ ถ้าเค้ายืนยันจะให้เราจ่ายเงินภาษี 5300 บาทอยู่