กว่าจะเดินฝ่ามรสุม (ชีวิต) นี้ไปได้ เราต้องแข็งแกร่งแค่ไหน ใครบอกที
ที่มาตั้งกระทู้เขียนเล่าชีวิตตัวเองนี้ ก็เพราะช่วงนี้ได้เห็นข่าวที่บริษัทต่างๆ ธนาคาร ทีวี โรงงาน เลิกจ้าง ปลดพนักงาน จากพิษเศรษฐกิจ ก็เลยอยากมาเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งก็คือ “การตกงาน” นั่นเอง ขอเป็นกำลังใจให้สู้สู้ ให้ฝ่ามรสุมลูกนี้ไปให้ได้ด้วยกันนะคะ
เราตกงานมาร่วม 2 ปี แล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาตกงานตอนอายุ 40 กว่าปาไปจะ 50 แถมมีหนี้บ้านต้องผ่อน ลูกยังเล็ก ต้องเรียนอีกนานด้วย พอบริษัทแจ้งว่าจะปิดบริษัท ตอนนั้นก็ตกใจ ไม่คิดไม่ฝัน เศร้าอยู่เป็นอาทิตย์ แล้วพยายามเรียกสติคืนกลับมา ถามตัวเองว่า เราจะเดินไปทางไหน จากนั้นก็ ท่องคำว่า “สู้ๆๆๆๆๆๆ” อยู่ในใจตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
การตกงานตอนแก่ มันแย่กว่าที่คิดจริงๆ ค่ะ แต่อาจเป็นเพราะว่า เงินเก็บเราไม่มี เงินชดเชยที่ได้จากบริษัทก็เพียงน้อยนิดแค่ 10 เดือน กระดิกตัวนิดเดียวก็หมดแล้ว แต่ชีวิตของเรายังอีกยาวไกลนัก สิ่งที่ทำควบคู่กับการหาแนวทางชีวิตคือ การประหยัดทุกสิ่งอย่างในชีวิต พร้อมๆ ไปกับการคิดบวกเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองไปในตัว
อาชีพที่คนอายุ 40 กว่าจะทำได้ หนีไม่พ้น อาชีพค้าขาย หรอกค่ะ เพราะอยู่เมืองไทย แม้คุณจะทำงานเก่ง จบปริญญาตรี มีประสบการณ์ในอาชีพมากมายหลายสิบปี แต่อายุ 40 ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่เอาเราค่ะ แม้แต่งานแม่บ้าน เขาก็ยังบอกว่า อายุเกินไป ไม่รับ บางทีโทรไปถามงาน แรกๆ ที่ฟังแค่เสียงเรา เขาก็พูดถามดี แต่พอเราบอกอายุไป เขาก็กระแทกเสียงใส่ว่า ไม่รับ อายุเกินไปแล้ว ตลกไหมล่ะคะ
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงหันเหมาเป็นแม่ค้า เริ่มขายตั้งแต่ของที่ลงทุนน้อยไปจนลงทุนสูง ขายขนม ขายกระเป๋า เสื้อผ้ามือสอง ขายอาหาร ไข่ น้ำดื่ม ลอตเตอรี่ ขายทั้งในตลาดนัด ริมฟุตบาท ทำส่งตามบ้าน และทั้งเดินขาย เกือบ 2 ปีที่ทำมาก็ยังยืนไม่ได้เลยค่ะ ยังโซซัดโซเซอยู่ ล้มบ้างลุก บางอย่างที่ขาย ถ้าดูแล้วไปได้ไม่ดี เริ่มขาดทุน เราก็หยุด ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจทั้งไทยและทั้งโลกทรุด ก็พาลทำให้เราทรุดหนักไปด้วย
ในขณะเดียวกันนั้น เราก็ยึดหลัก ประหยัดให้หนักกว่าเดิม แม้ว่าตอนทำงานบริษัท เราก็ใช้ชีวิตแบบประหยัด ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอยู่แล้วเพื่อให้มีเงินเดือนใช้เดือนชนเดือน แต่เมื่อตกงาน เงินน้อย ภาระเท่าเดิม เราต้องเพิ่มเติมความประหยัดให้หนักกว่าเดิมอีก เช่น
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่ซื้อเลย ขุดค้นเอาของเก่ามาใช้ แต่จะเอาเสื้อเก่าไปขายก็ขายไม่ได้เพราะเสื้อที่ใช้ก็ไม่มีแบรนด์ แถมยังเก่าเก็บ เฮ้อ
อาหารการกิน จากเมื่อก่อน เดือนนึงจะพาลูกไปกินอาหารตามร้านในห้างสักครั้ง แต่ตอนนี้ หยุด เลยค่ะ อย่าว่าแต่ห้างเลย อาหารในเซเว่น ก็ไม่ซื้อค่ะ เราจะซื้อผักหญ้า ปลาไก่ มาทำกินเอง ซื้อครั้งนึง ทำกินไป 2 วัน 6 มื้อ ประหยัด สะอาดกว่าซื้อแกงถุง เพราะเราพอจะมีเวลาที่ทำได้เราก็หุงหาทำกับข้าวกินเอง ไม่รีบไม่ร้อนไปทำงานเหมือนเมื่อก่อน
ร้านเสริมสวย ต้องบ้ายบาย จากที่เมื่อก่อนตอนทำงานต้องใช้บริการบ่อย
เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ใช้เท่าที่มี หมดไม่ซื้อใหม่ ถือคติ หน้าตาไม่สำคัญเท่าการศึกษาของลูก เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนจะดีกว่า
ของอะไรที่ไม่สำคัญกับชีวิต ก็ตัดออกไปจากชีวิต ไม่ซื้อ ไม่หา ไม่แตะต้อง ไม่ว่าจะท่องเที่ยว ดูหนัง ลาขาด
ถามว่าทุกวันนี้ ท้อไม่ บอกเลยว่า บางทีก็ท้อ แอบร้องไห้ ไม่ได้สงสารตัวเองนะคะ แต่สงสารลูก เพราะตัวเราเองก็เป็นคนสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ต้องส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญา ต่อสู้ทำงานในองค์กรมาเริ่มตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงาน จนสามารถทำได้ทุกหน้าที่ในบริษัท แถมในระหว่าที่ทำงานก็ค้าขาย หารายได้พิเศษมาตลอด ที่เราสงสารคือ อนาคตของลูก เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีแรงส่งเสียเขาไปได้แค่ไหน แต่มองอีกด้านก็ดี นี่เป็นการฝึกให้ลูกอดทนต่อความยากลำบากเขาจะได้มีภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแกร่ง
แต่บางทีเราก็นึกน้อยใจเจ้านาย น้อยใจองค์กรว่าทำไมต้องมาทอดทิ้งให้เราเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ตอนทำงานเราก็ทุ่มเทสุดพลัง ทำงานประนึ่งเหมือนบริษัทเป็นของเรา งานไม่เสร็จบางทีก็กินนอนที่ทำงาน ชีวิตครึ่งชีวิตมอบให้กับงาน บางทีญาติตายก็ไม่ได้ไปเผา แต่ ณ วันนี้ ทั้งๆ ที่ บริษัทก็ไม่ได้เจ๊ง แล้วทำไมเจ้านายกลับมาทิ้งเรา เราไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ทั้งที่ถ้าย้อนไปถ้าตอนเรียนจบ แล้วเราตัดสินใจไปทำงานราชการ เราคงไม่มีวันนี้
แต่ก็นั่นแหละ ความคิดนี้มันจะแว้บมาให้เราช้ำใจเสมอๆ เราจึงต้องรีบสะบัดมันทิ้งไป แล้วเดินหน้าต่อ ท่องไว้ในใจ เราต้องสู้ ดิ้นไปให้สุด แล้วหยุดที่ความตายค่ะ. ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ตกงานให้ผ่านวิกฤติไปให้ได้นะคะ.
กว่าจะข้ามคืนวันอันโหดร้าย
ที่มาตั้งกระทู้เขียนเล่าชีวิตตัวเองนี้ ก็เพราะช่วงนี้ได้เห็นข่าวที่บริษัทต่างๆ ธนาคาร ทีวี โรงงาน เลิกจ้าง ปลดพนักงาน จากพิษเศรษฐกิจ ก็เลยอยากมาเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งก็คือ “การตกงาน” นั่นเอง ขอเป็นกำลังใจให้สู้สู้ ให้ฝ่ามรสุมลูกนี้ไปให้ได้ด้วยกันนะคะ
เราตกงานมาร่วม 2 ปี แล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาตกงานตอนอายุ 40 กว่าปาไปจะ 50 แถมมีหนี้บ้านต้องผ่อน ลูกยังเล็ก ต้องเรียนอีกนานด้วย พอบริษัทแจ้งว่าจะปิดบริษัท ตอนนั้นก็ตกใจ ไม่คิดไม่ฝัน เศร้าอยู่เป็นอาทิตย์ แล้วพยายามเรียกสติคืนกลับมา ถามตัวเองว่า เราจะเดินไปทางไหน จากนั้นก็ ท่องคำว่า “สู้ๆๆๆๆๆๆ” อยู่ในใจตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
การตกงานตอนแก่ มันแย่กว่าที่คิดจริงๆ ค่ะ แต่อาจเป็นเพราะว่า เงินเก็บเราไม่มี เงินชดเชยที่ได้จากบริษัทก็เพียงน้อยนิดแค่ 10 เดือน กระดิกตัวนิดเดียวก็หมดแล้ว แต่ชีวิตของเรายังอีกยาวไกลนัก สิ่งที่ทำควบคู่กับการหาแนวทางชีวิตคือ การประหยัดทุกสิ่งอย่างในชีวิต พร้อมๆ ไปกับการคิดบวกเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองไปในตัว
อาชีพที่คนอายุ 40 กว่าจะทำได้ หนีไม่พ้น อาชีพค้าขาย หรอกค่ะ เพราะอยู่เมืองไทย แม้คุณจะทำงานเก่ง จบปริญญาตรี มีประสบการณ์ในอาชีพมากมายหลายสิบปี แต่อายุ 40 ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่เอาเราค่ะ แม้แต่งานแม่บ้าน เขาก็ยังบอกว่า อายุเกินไป ไม่รับ บางทีโทรไปถามงาน แรกๆ ที่ฟังแค่เสียงเรา เขาก็พูดถามดี แต่พอเราบอกอายุไป เขาก็กระแทกเสียงใส่ว่า ไม่รับ อายุเกินไปแล้ว ตลกไหมล่ะคะ
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงหันเหมาเป็นแม่ค้า เริ่มขายตั้งแต่ของที่ลงทุนน้อยไปจนลงทุนสูง ขายขนม ขายกระเป๋า เสื้อผ้ามือสอง ขายอาหาร ไข่ น้ำดื่ม ลอตเตอรี่ ขายทั้งในตลาดนัด ริมฟุตบาท ทำส่งตามบ้าน และทั้งเดินขาย เกือบ 2 ปีที่ทำมาก็ยังยืนไม่ได้เลยค่ะ ยังโซซัดโซเซอยู่ ล้มบ้างลุก บางอย่างที่ขาย ถ้าดูแล้วไปได้ไม่ดี เริ่มขาดทุน เราก็หยุด ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจทั้งไทยและทั้งโลกทรุด ก็พาลทำให้เราทรุดหนักไปด้วย
ในขณะเดียวกันนั้น เราก็ยึดหลัก ประหยัดให้หนักกว่าเดิม แม้ว่าตอนทำงานบริษัท เราก็ใช้ชีวิตแบบประหยัด ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอยู่แล้วเพื่อให้มีเงินเดือนใช้เดือนชนเดือน แต่เมื่อตกงาน เงินน้อย ภาระเท่าเดิม เราต้องเพิ่มเติมความประหยัดให้หนักกว่าเดิมอีก เช่น
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่ซื้อเลย ขุดค้นเอาของเก่ามาใช้ แต่จะเอาเสื้อเก่าไปขายก็ขายไม่ได้เพราะเสื้อที่ใช้ก็ไม่มีแบรนด์ แถมยังเก่าเก็บ เฮ้อ
อาหารการกิน จากเมื่อก่อน เดือนนึงจะพาลูกไปกินอาหารตามร้านในห้างสักครั้ง แต่ตอนนี้ หยุด เลยค่ะ อย่าว่าแต่ห้างเลย อาหารในเซเว่น ก็ไม่ซื้อค่ะ เราจะซื้อผักหญ้า ปลาไก่ มาทำกินเอง ซื้อครั้งนึง ทำกินไป 2 วัน 6 มื้อ ประหยัด สะอาดกว่าซื้อแกงถุง เพราะเราพอจะมีเวลาที่ทำได้เราก็หุงหาทำกับข้าวกินเอง ไม่รีบไม่ร้อนไปทำงานเหมือนเมื่อก่อน
ร้านเสริมสวย ต้องบ้ายบาย จากที่เมื่อก่อนตอนทำงานต้องใช้บริการบ่อย
เครื่องสำอาง เครื่องประดับ ใช้เท่าที่มี หมดไม่ซื้อใหม่ ถือคติ หน้าตาไม่สำคัญเท่าการศึกษาของลูก เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนจะดีกว่า
ของอะไรที่ไม่สำคัญกับชีวิต ก็ตัดออกไปจากชีวิต ไม่ซื้อ ไม่หา ไม่แตะต้อง ไม่ว่าจะท่องเที่ยว ดูหนัง ลาขาด
ถามว่าทุกวันนี้ ท้อไม่ บอกเลยว่า บางทีก็ท้อ แอบร้องไห้ ไม่ได้สงสารตัวเองนะคะ แต่สงสารลูก เพราะตัวเราเองก็เป็นคนสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ต้องส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญา ต่อสู้ทำงานในองค์กรมาเริ่มตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงาน จนสามารถทำได้ทุกหน้าที่ในบริษัท แถมในระหว่าที่ทำงานก็ค้าขาย หารายได้พิเศษมาตลอด ที่เราสงสารคือ อนาคตของลูก เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีแรงส่งเสียเขาไปได้แค่ไหน แต่มองอีกด้านก็ดี นี่เป็นการฝึกให้ลูกอดทนต่อความยากลำบากเขาจะได้มีภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแกร่ง
แต่บางทีเราก็นึกน้อยใจเจ้านาย น้อยใจองค์กรว่าทำไมต้องมาทอดทิ้งให้เราเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ตอนทำงานเราก็ทุ่มเทสุดพลัง ทำงานประนึ่งเหมือนบริษัทเป็นของเรา งานไม่เสร็จบางทีก็กินนอนที่ทำงาน ชีวิตครึ่งชีวิตมอบให้กับงาน บางทีญาติตายก็ไม่ได้ไปเผา แต่ ณ วันนี้ ทั้งๆ ที่ บริษัทก็ไม่ได้เจ๊ง แล้วทำไมเจ้านายกลับมาทิ้งเรา เราไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ทั้งที่ถ้าย้อนไปถ้าตอนเรียนจบ แล้วเราตัดสินใจไปทำงานราชการ เราคงไม่มีวันนี้
แต่ก็นั่นแหละ ความคิดนี้มันจะแว้บมาให้เราช้ำใจเสมอๆ เราจึงต้องรีบสะบัดมันทิ้งไป แล้วเดินหน้าต่อ ท่องไว้ในใจ เราต้องสู้ ดิ้นไปให้สุด แล้วหยุดที่ความตายค่ะ. ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ตกงานให้ผ่านวิกฤติไปให้ได้นะคะ.