อิสลามไม่ดียังไง?

กระทู้คำถาม
.
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ทุกๆชาติ  ทุกๆศาสนา  ทุกๆลัทธิ  ...ถ้าพูดถึงบุคคลในศาสนาหรือลัทธิหรือในชาตินั้นๆ  ..ย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว  ปะปนคละเคล้ากันไป  ...ดังนั้นเราจะดูที่บุคคลไม่ได้ ....ให้ดูที่หลักการ หลักคำสอน  แล้วมาเทียบกันดู...

คุณ จขกท. ลองอ่านดูหลักการบางอย่างของศาสนาอิสลามข้างล่าง ซึ่งก๊อปปี้ตรงๆมาจากคัมภีร์ของเขา ... แล้วคุณพิจารณาดูเอง

............................................................................

4. และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ (จงฆ่าเสีย) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ (*1*) เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮ.ทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา (*2*) แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ. พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด (*3*)

89. พวกเขาชอบหากว่า พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธา ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ พวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน(*1*) ดังนั้นจงอย่าได้ยึดเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตร จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทางของอัลลอฮฺ(*2*) แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงเอาพวกเขาไว้(*3*) และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ(*4*)

23. “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ถือเอาบิดาของพวกเจ้า และพี่น้องของพวกเจ้าเป็นมิตร หากพวกเขาชอบการปฏิเสธศรัทธา(*1*)เหนือการอีมาน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าให้พวกเขาเป็นมิตรแล้ว ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้อธรรม”

51. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน(*1*) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม

45. และเราได้บัญญัติแก่พวกเขาไว้ในคัมภีร์นั้นว่า ชีวิตด้วยชีวิต และตาด้วยตา และจมูกด้วยจมูก และหูด้วยหู และฟันด้วยฟัน(*1*) และบรรดาบาดแผลก็ให้มีการชดเชยเยี่ยงเดียวกัน(*2*) และผู้ใดให้การชดเชยนั้นเป็นทาน มันก็เป็นสิ่งลบล้างบาปของเขา(*3*) และผู้ใดมิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้อธรรม

38. และขโมยชายและขโมยหญิงนั้นจงตัดมือของเขา (*1*) ทั้งสองคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ (และ) เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษ(*2*) จากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ

191. และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา(*1*) และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และการก่อความวุ่นวาย(*2*)นั้น ร้ายแรงยิงกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย(*3*) พวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา
------------------------------------------
"และจงฆ่าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตาม
ที่สูเจ้าพบพวกเขา" (กุรอาน 2:191)

และโองการที่สองอัลลอฮฺได้ตรัสความว่า

"แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ ก็จงจับพวกเขา
และฆ่าพวกเขา ณ ที่สูเจ้าจับพวกเขาได้
และ (ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม)
จงอย่าเอาพวกเขามาเป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือ"
(กุรอาน 4:89)
---------------------------------------------
ซูเราะ (บท) อายะ (โองการ) ที่ 3:28 กล่าว ว่า "ศรัทธาชนจะต้อง "ไม่ยึดเอา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร" อื่นจากศรัทธาชน ..และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮฺ นอกจากว่าพวกเธอ(ทำเพื่อ)ป้องกันตัวจากพวกเขา...และอัลลอฮฺทรงเตือนพวกเธอให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮฺคือที่กลับคืน

----------------------------------------------

..ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ  อ่านดูข้างล่าง....
----------------------------------------------

อัตราส่วนจำนวนของมุสลิมที่มีผลกระทบต่อความสงบของแต่ละประเทศที่ต่างกัน
กระทู้สนทนา
ศาสนาอิสลามศาสนาหน้าต่างโลก
มุสลิม ที่อยู่ในประเทศไหนก็ตาม ถ้ามีจำนวนไม่เกิน 2% จะเป็นชนกลุ่มน้อยที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ก่อปัญหายุ่งยาก ตัวอย่างเช่น ในประเทศต่อไปนี้
United States -- Muslim 0.6%
Australia -- Muslim 1.5%
Italy -- Muslim 1.5%
Canada -- Muslim 1.9%
China -- Muslim 1.8%
Norway -- Muslim 1.8%
เมื่อ ไหร่ที่จำนวนของพวกนี้อยู่ระหว่าง 2% - 5% จะเริ่มเสี้ยมสอนให้ก่อหวอด โดยใช้องค์การที่มีอยู่เป็นตัวขับเคลื่อน เช่น สุเหร่า โรงเรียน และอาจมีการใช้แก๊งค์เถื่อนก่อกวนสร้างความรุนแรง ตัวอย่างเช่น ในประเทศต่อไปนี้
Denmark -- Muslim 2%
United Kingdom -- Muslim 2.7%
Germany -- Muslim 3.7%
Spain -- Muslim 4%
Thailand -- Muslim 4.6%
เมื่อ ไหร่ที่จำนวนของพวกนี้เกิน 5% จะแสดงอิทธิพลมากขึ้น ด้วยการยัดเยียดหลักการศาสนาเข้ามาให้ประเทศนั้นๆ ต้องยอมรับ เช่น ต้องมีการรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาล วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ที่ขัดกับหลักการของมันก็จะถูกเสนอให้ยกเลิก หรือข่มขู่ใช้ความรุนแรง ทั้งยังต้องการให้มีกฎหมายพิเศษของมันเอง เช่น กฎหมายอิสลาม ที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศต่อไปนี้
France -- Muslim 8%
Philippines -- 5%
Sweden -- Muslim 5%
Switzerland -- Muslim 4.3%
The Netherlands -- Muslim 5.5%
Trinidad & Tobago -- Muslim 5.8%
เมื่อไรที่มุสลิมมีเกิน 10% ความรุนแรงจะปรากฏมากขึ้น การก่อการร้ายกลายเป็นปัญหาคุกคามคนในประเทศ ปรากฏการณ์นี้พบในประเทศเหล่านี้
Guyana -- Muslim 10%
India -- Muslim 13.4%
Israel -- Muslim 16%
Kenya -- Muslim 10%
Russia -- Muslim 15%
เมื่อ ไรที่มุสลิมมีเกิน 20% มักมีเหตุการณ์ดังต่อไปนี้เกิดขึ้น คือ การจลาจล การตั้งกองกำลังจิฮัด การฆาตกรรมที่ปรากฏอย่างกว้างขวาง การเผาศาสนาสถานอื่น เหตุการณ์ทำนองนี้ปรากฏในประเทศ
Ethiopia -- Muslim 32.8%
เมื่อ ไรที่มุสลิมมีเกิน 40% การสังหารหมู่ การโจมตีในวันฉลองความสำคัญของปีโดยกองกำลังติดอาวุธจะปรากฏ อย่างเช่น ในพื้นที่ของประเทศเหล่านี้
Bosnia -- Muslim 40%
Chad -- Muslim 53.1%
Lebanon -- Muslim 59.7%
เมื่อไรที่มุสลิมมีเกิน 60% ประเทศนั้นจะมีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามเป็นหลักของประเทศ ใช้ระบบภาษีแบบอิสลาม เช่น ในประเทศต่อไปนี้
Albania -- Muslim 70%
Malaysia -- Muslim 60.4%
Qatar -- Muslim 77.5%
Sudan -- Muslim 70%
เมื่อ ไรที่มุสลิมมีเกิน 80% จะมีความรุนแรงอย่างดาดดื่น เช่น รุนแรงแบบจิฮัด การสังหารหมู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดังที่เกิดในประเทศต่อไปนี้
Bangladesh -- Muslim 83%
Egypt -- Muslim 90%
Gaza -- Muslim 98.7%
Indonesia -- Muslim 86.1%
Iran -- Muslim 98%
Iraq -- Muslim 97%
Jordan -- Muslim 92%
Morocco -- Muslim 98.7%
Pakistan -- Muslim 97%
Palestine -- Muslim 99%
Syria -- Muslim 90%
Tajikistan -- Muslim 90%
Turkey -- Muslim 99.8%
United Arab Emirates -- Muslim 96%
กรณีที่มีมุสลิม 100% เหตุการณ์ความรุนแรงจะกลับสู่ความสงบ โดยมีหลายประเทศประกาศตัวเองเป็นรัฐแห่งความสงบตามหลักอิสลาม เช่น
Afghanistan -- Muslim 100%
Saudi Arabia -- Muslim 100%
Somalia -- Muslim 100%
Yemen -- Muslim 100%
แต่ก็ไม่เสมอไปว่าถ้ามีจำนวนมุสลิม 100% สันติสุขอาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ (เพราะบางประเทศมุสลิมกับมุสลิมรบกันเองอย่างเช่นนิกายสุหนี่กับชีอะห์ก็มี)
ปัจจุบันโลกนี้มีประชากรมุสลิม 1,500 ล้านคน คิดเป็น 22% ของประชากรทั้งโลก อัตราการเกิดของประชากรพุ่งสูงกว่าคนในศาสนาอื่นๆ ทั้งหมด

โดยสรุปแปลอย่างรีบเร่งมาจากงานวิจัยของ Dr. Peter Hammond เรื่อง Slavery, Terrorism and Islam: The Historical Roots and Contemporary Threat
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   ตัวอย่าง  การทำสงครามของศาสดานบี มูฮัมหมัด

- ค.ศ.624 สงครามบัดร์ มูฮัมมัดเข้าโจมตีคาราวานของพวกกุรอยซ์ พวกกุร็อยซ์ของกำลังจากเมกกะห์มาช่วย เกิดประทะกันที่บ่อน้ำบัดร์ และจบด้วยชัยชนะของมูฮัมมัด

- ค.ศ.625 สงครามอุฮุด ฝ่ายมูฮัมมัดราว 700 คน ประทะกับพวกกุร็อยซ์ราว 3,000 ที่เชิงเขาอุฮุดทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะห์ ฝ่ายมูฮัมมัดแพ้ ตัวมูฮัมมัดถูกพวกกุร็อยซ์ขว้างก้อนหินใส่จนล้มลงกระแทกพื้นพื้น ปากแตก ฟันหักไปหลายซีก ต้องหนีไปซ่อนตัวในถ้ำในภูเขาอุฮุด

- ค.ศ.626 สงครามกับยิวเผ่านาฎีรเพื่อยึดเมืองมะดีนะห์ และจบด้วยชัยชนะของมุสลิม และเนรเทศพวกนาฎีรออกจากมะดีนะห์ ใช้มะดีนะห์เป็นที่มั่น

- ค.ศ.627 สงครามคูเมือง (ค็อนดัก) เผ่าเบดูอินส่วนใหญ่และยิวไม่พอใจการที่ฝ่ายมุสลิมมูฮัมมัดเข้ายึดเมืองมะดีนะห์ จึงรวมกันเป็นพันธมิตรได้ทหาร 10,000 ม้า 600 เข้าตีมะดีนะห์คืนจากมูฮัมมัด แต่พวกเผ่าเบดูอินแตกคอกันเอง ล้อมมะดีนะห์ได้ไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องเลิกทัพไป

- ค.ศ.629 สงครามค็อยบัร มูฮัมมัดนำทหารราว 1,600 คน ม้า 200 เข้ากวาดล้างพวกยิวที่หมู่บ้านค็อยบัร ทางตอนเหนือของมะดีนะห์

- ค.ศ.630 สงครามมุห์ตะห์ กองทัพมุสลิมจำนวน 3,000 คน มีแม่ทัพ คือ ชัยด์ อิบนุ ฮะรีสะห์ เข้าโจมตีเมืองบุศรอ ซึ่งเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิไบเซนไทน์ จักรพรรดิเฮราคลิอุส (Heraclius) ของไบเซนไทน์สั่งเคลื่อนพลราว 100,000 คน เพื่อตอบโต้ ผลของสงครามคงไม่ต้องบอก แม่ทัพมุสลิมตายคาที่ ส่วนกองทัพมุสลิมก็ละลายไปตามระเบียบ

- ค.ศ.631 สงครามยึดนครเมกกะห์ มูฮัมมัดนำกำลัง 10,000 เข้ายึดนครเมกกะห์ได้

- ค.ศ.632 สงครามตะบูค กองทัพไบเซนไทน์ราว 40,000 คน เข้าตีมะดีนะห์เพื่อลดอิทธิพลของมูฮัมมัดเหนือคาบสมุทรอาระเบีย มูฮัมมัดจัดทัพไปรับราว 30,000 คน แต่กองทัพไบเซนไทน์มีปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร จึงต้องถอนทัพกลับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตามหลักการ คือ ใครออกจากศาสนาอิสลามแล้วต้องตาย ตามหลักการที่ใช้ในประเทศซาอุฯ หรือประเทศที่ปกครองตามหลักรัฐอิสลาม

     หลังจากการตายของนบีมูฮัมมัด ศาสดาศาสนาอิสลาม ก็มีคนจำนวนมากออกจากศาสนาอิสลาม ส่งผลทำให้ทายาทของนบีมูฮัมมัด คือ อบูบักร ซึ่งเป็นคอลิฟะห์ คนแรกนั้นต้องออกแรงส่งทหารไปปราบปรามคนเหล่านี้ แทบจะหมดในยุคสมัยของ อบูบักร

ในยุคก่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น ศัตรู สำคัญของอิสลามซึ่งเป็นศาสนาที่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวนั้น มี 2 กลุ่มคือ

1) มุชริก หรือ แปลเป็นไทยว่า ผู้ตั้งภาคี อธิบายขยายไปให้ชัดเจนว่า คือ ผู้ที่ไม่นับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เท่านั้น จะนับถือพระเจ้าองค์อื่นใดก็ช่างถือเป็นมุชริกหมด หรือแม้แต่นับถืออัลเลาะห์ด้วย นับถือเทพเจ้าองค์อื่นด้วย ก็เป็นมุชริกเหมือนกัน ทั้งนี้ชาวเมืองเมกกะสมัยก่อตั้งอิสลามที่เรียกว่าชนเผ่ากุเรซ (ซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกันกับศาสดาศาสนาอิสลาม) นั้นเป็นพวกมุชริก หรือ นับถือเทพเจ้าหลายองค์

2) ยิว เป็นศาสนาที่มีรากเหง้าเดียวกันกับศาสนาอิสลาม นับถือยะโฮวาห์ เป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวตามอับราฮัมที่เป็นบรรพบุรุษของยิว ส่วนอิสลามก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม เหมือนกันแต่คนละสาย นับถือเทพเจ้าที่อับราฮัมนับถือเหมือนกัน แต่อิสลาม เรียกเทพองค์นี้ว่า "อัลเลาะห์" ศาสดาพยากรณ์ ของยิว หลายคน ก็เป็น "นบี" ของศาสนาอิสลาม เนื่องจากว่ายิวนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกับอิสลาม ดังนั้นมุสลิมจะไม่เรียกว่าพวกยิวว่า "มุชริก" แต่เรียกว่า "ชาวคัมภีร์" เพราะได้รับคัมภีร์จากพระเจ้าผ่าน "นบี" คนก่อน ๆ มาแล้ว แต่ว่ามันไม่ถูกต้องที่สุด ที่ถูกต้องที่สุดต้องเป็นอัลกรุอ่าน

ประวัติการก่อตั้งศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่าง มุสลิม กับ สองกลุ่มข้างบนนี้แหละ

ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ มักกียะฮฺ และ มะดะนียะฮฺ โดยที่แบ่งตามสถานที่ของโองการที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา ซึ่งก็คื
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่