Credit : ชยันธร ใจมูล
https://mainstand.co.th/catalog/3-Stories/1013-ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่โง่+%3A+ย้อนรอย+2+ปีแห่งการล่าตัว+%27ฟาน+ไดจ์ค%27+ที่+%27ลิเวอร์พูล%27+แทบขาดสติ
เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เอาชนะทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2018-19 จากการได้รับการยอมรับโดยดุษฎี และทุกคนรู้ว่าเขาคือ 1 ในผู้เปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ยุคใหม่อย่างแท้จริง
เราไม่มีทางเดาตัวเลขถูกเลยว่าตอนนี้ ฟาน ไดจ์ค จะมีค่าตัวมากแค่ไหนหากเขาย้ายทีมอีกหนเพราะมันคือเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆ คือในวันที่เขาย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในต้นปี 2018 เขามีราคา 75 ล้านปอนด์ เป็นสถิติโลกของตำแหน่งกองหลังในตอนนั้น ภายใต้เสียงวิจารณ์และการไล่ล่าอันเข้มข้นที่กินเวลาเกือบ 2 ปี
กว่าจะมาถึงวันที่ทุกคนชื่นชมว่าการคว้าตัว ฟาน ไดจ์ค คือสุดยอดดีลในปัจจุบัน เขาคือนักเตะคนเดียวกับที่ทำให้ลิเวอร์พูลขาดสติ จนยอมทำในสิ่งที่เสื่อมเสียเกียรติและโดนวิจารณ์ไปทั่วสารทิศมาแล้ว นี่คือเบื้องหลังความบ้าของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล กับรักเดียวต่อ ฟาน ไดจ์ค ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้พวดเขาจะต้องเจ็บตัวกับคำพูดของตัวเองก็ตาม
เพื่อเข้าใกล้คำว่า 100%
ลิเวอร์พูล เหนื่อยล้ากับการไล่ล่าความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของ ภายใต้การเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ในตำแหน่งกุนซือครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากเข้ายุค '90s มีเพียง ราฟาเอล เบนิเตซ เพียงคนเดียวที่พอจะใช้คำว่า
"ประสบความสำเร็จ" ได้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยั่งยืนอะไรนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไป วลีอมตะที่เรียกพวกเขาว่า
"เครื่องจักรสีแดง" ยิ่งกลายเป็นเพียงคำพูดที่น้อยคนจะเคยเห็นว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร?
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ท้ายที่สุดแล้วในช่วงปลายปี 2015 พวกเขาเลือกจะปลด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ คนว่างงานที่โปรไฟล์ดีที่สุดจากการผลงานสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เยอรมัน
คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล ในช่วงเดือน ตุลาคม โดยตลาดซื้อขายเดือนมกราคมของฤดูกาลนั้นเขาไม่ซื้อใครเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงการยืมตัว สตีเว่น คอลเกอร์ กองหลังจาก คิวพีอาร์ รายเดียวเท่านั้นซึ่งนั่นไม่ใช่หลักใหญ่ใจความอะไร
หลังจาก คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมจนกระทั่งจบฤดูกาลแห่งการสังเกตการณ์ เขาได้เห็นว่าคุณภาพนักเตะนั้นยังไม่ได้ แนวรุกถือว่ายังพอไปวัดไปวา ยิงประตูได้เยอะ แต่แนวรับนี่สิที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด พวกเขาแพ้ พาเลซ คาบ้าน 1-2 โดน นิวคาสเซิล (ทั้งเกมเหย้าและเยือน), เวสต์บรอมวิช, เวสต์แฮม, เลสเตอร์, ซันเดอร์แลนด์ ยิง 2 ประตูในเกมเดียว และที่แย่ไปกว่านั้นคือการโดนทีมอย่าง สวอนซี, เซาธ์แฮมป์ตัน และ วัตฟอร์ด ยิง 3 ประตูในเกมเดียวมาแล้ว
ช่วงเวลาการหาผู้นำในแนวรับสำหรับยุคของ คล็อปป์ ได้เริ่มขึ้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเขาต้องแก้ไขส่วนอื่นด้วยทั้งกองกลาง, ตัวริมเส้น และกองหน้า ดังนั้นในฤดูกาล 2016-17 จึงมีเพียงกองหลัง 2 คนเท่านั้นที่ย้ายเข้ามานั่นคือ รักนาร์ คลาวาน และ โจเอล มาติป ส่วนปัญหาด้านอื่นๆ ถูกเติมเข้ามาด้วย ซาดิโอ มาเน่ (แนวรุก), จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (กองกลาง) และ ลอริส คาริอุส (ผู้รักษาประตู)
ด้วยการที่ต้องเกลี่ยเงินออกเป็นส่วนๆ สำหรับหลายปัญหาจึงทำให้แนวรับของ หงส์แดง
"ดีขึ้นในระดับหนึ่ง" ครึ่งซีซั่นแรกพวกเขาแพ้แค่ 2 นัดให้กับ เบิร์นลี่ย์ และ บอร์นมัธ ก็จริง แต่การโดนสองทีมนี้ยิงรวมกันไปถึง 6 ลูก ดูเหมือนเป็นการบอกนัยๆ ว่าความนิ่งยังไม่มี หากคิดจะยิ่งใหญ่และคว้าโทรฟี่ การเจอเกมที่ศัพท์ชาวบ้านเรียกว่า
"ตบเด็ก" ต้องห้ามพลาดง่ายๆ แบบนี้ แม้แต่ คล็อปป์ เองยังยอมรับสำหรับเรื่องนี้
"มันไม่ใช่การปั่นจักรยานที่คุณสามารถปั่นพลาดและล้มได้ แต่สำหรับฟุตบอลคุณต้องอยู่กับการแข่งขันและมีสมาธิให้มากๆ เลย ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ใกล้คำว่า 100% สำหรับเรา ไม่มีเลยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือขอแค่พยายามเข้าใกล้คำว่า 100% ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก"
"เราสามารถเล่นเกมรับให้ดีกว่านี้ เกมรุกก็เหมือนกัน เราต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ให้ดีกว่าที่เคยและรักษาสมดุลของทีมไว้ให้ได้ ทีมๆ นี้ยังมีอีกหลายอย่างให้ต้องแก้ไข" นี่คือสิ่งที่คล็อปป์ พูดถึงทีมของเขาโดยรวมในช่วงเดือนตุลาคมปี 2016
1 เดือนหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ต้องยกพลไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ เซนต์ แมรี่ส์ แน่นอนพวกเขาหวัง 3 แต้ม ด้วยผู้เล่นเกมรุกอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ พวกเขายิงประตูได้มากถึง 30 ลูกจาก 11 เกมแรก หากตีเป็นค่าเฉลี่ยต่อ 1 เกมก็เกือบๆ 3 ลูก ทว่าในเกมนี้มันเป็นเรื่องที่ชวนฉงนใจ 3 เทพเกมรุกพยายามแล้วพยายามเล่าที่จะเจาะประตูทีมนักบุญ แต่สุดท้ายคือพลาดไปหมด จังหวะจั๋งๆ เน้นๆ มักจะไปติดกับกองหลังคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค นั่นเอง
ณ เวลานั้น ฟาน ไดจ์ค เพิ่งจะมาอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน เป็นปีที่ 2 ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์จาก กลาสโกว์ เซลติก แต่ออร่าบารมีของเขาต้องเรียกว่า
"พี่ใหญ่" ของทีมถึงจะถูก เขาพร้อมจะชี้นิ้วด่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่มีสมาธิให้กลับสู่เกมเสมอ และแปลกแต่จริง เขามักจะเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเกะกะจังหวะการยิงของผู้เล่น ลิเวอร์พูล ในพื้นที่สุดท้ายเสมอ
"กองหลังชาวดัตช์มีช่วงเวลาประหม่าอยู่บ้างจากการดึงเสื้อของ ฟีร์มิโน่ ที่เขตโทษ ซึ่ง มาร์ค แคลทเทนเบิร์ก โบกมือว่าไม่ฟาวล์ แต่ส่วนอื่นๆ ของเขามันอัจฉริยะ เขายอดเยี่ยมในการบล็อกลูกยิงของอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาเน่ และสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนแนวรับในทีม จนลิเวอร์พูลไม่สามารถเป็นอิสระในพื้นที่สุดท้ายได้"
บทวิจารณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้โดยสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดอย่าง BBC และแน่นอนพวกเขาเลือกให้ ฟาน ไดจ์ค เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้น ...
ไม่ใช่แค่แฟนบอลทีเห็นถึงบางสิ่งในตัวของ ฟาน ไดจ์ค ความเหนียวแน่นในเกมแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเขาคือคนที่ลงไปยืนในสนามและทำให้คนรอบข้างเก่งขึ้นได้อย่างประหลาด และ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็คิดแบบนั้น
รักแรกพบ
ไม่ต้องบอกก็รู้เกม เซาธ์แฮมป์ตัน เสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 คือรักแรกพบของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่มีต่อ ฟาน ไดจ์ค ซึ่ง ณ ตอนนั้นมันยังเป็นรักข้างเดียว ปราการหลังชาวดัตช์มีเจ้าของแล้ว นอกจากนั้นยังมีสโมสรอื่นนอกจาก ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจในตัวของเขาด้วย
แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือที่ซื้อตัวแม่นที่สุดคนหนึ่งคือหนึ่งในนั้น พวกเขาถึงขั้นส่งแมวมองมาซุ่มดูฟอร์มของ ฟาน ไดจ์ค มาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือเกมที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 นั่นแหละ เหตุผลเพราะพวกเขาต้องการหาคนไปแทนที่ของ แว็งซ็องต์ กอมปานี ในระยะยาว ทว่าขาดเพียงขั้นตอนการยื่นข้อเสนอเพื่อแสดงความชัดเจนเท่านั้นเอง นอกจากนั้นยังมี เชลซี ที่มีข่าวให้ความใจในเวลาเดียวกันด้วยเพียงแต่ข่าวจากฝั่งลอนดอนนั้นไม่ค่อยมีหนาหูเท่ากับที่ แมนเชสเตอร์ และ ลิเวอร์พูล
ความต้องการของ เรือใบ และ หงส์แดง ยังเป็นแค่ช่วงของการจับตาดูสถานการณ์เท่านั้น เหตุผลส่วนหนึ่งคือพวกเขาไม่อยากจะลงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมนัก เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงในการโดนโขกราคาสูงแล้ว การย้ายกลางคันมักจะทำให้นักเตะปรับตัวไม่ทันและนั่นอาจจะเป็นการซื้อขายที่เสียเปล่าได้
เซาธ์แฮมป์ตัน เองรู้ถึงเรื่องนี้ดี พวกเขาเป็นทีมนักปั้นมือทองที่หยิบจับใครมาก็เอามาขายได้กำไรเสมอ ก่อนหน้านี้มี โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, วิคเตอร์ วานยาม่า, นาธาเนี่ยล ไคลน์, ลุค ชอว์, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, อดัม ลัลลาน่า และอีกสารพัดคน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ดีว่าสิ่งที่ควรทำกับ ฟาน ไดจค์ คืออะไร ในเมื่อ 2 ทีมระดับหัวแถมตามก้อร้อก้อติกแบบนี้ ความเชี่ยวชาญในการซื้อมาขายไปทำให้ เลส รีด ไดเร็คเตอร์มือดีของทีมนักบุญขอนัดประชุม CEO ของทีม และเร่งการต่อสัญญาฉบับใหม่ของ ฟาน ไดจค์ ให้เร็วที่สุด พวกเขาไม่ต้องการให้ตลาดเปิดแต่เริ่มทำเลยตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่จบและทำสำเร็จอย่างดงามอีกด้วย
ฟาน ไดจ์ค ได้สัญญาระยะ 6 ปี พร้อมค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น และให้เหตุผลในการต่อสัญญาครั้งนั้นว่าเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่งเพราะครอบครัวของเขาแฮปปี้กับชีวิตในแดนใต้ นอกจากนี้เขายังอยากเติบโตไปพร้อมๆ กับสโมสรแห่งนี้ด้วย
"มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น"นี่คือส่วนหนึ่งในประโยคจากปากของเขา
แม้ เซาธ์แฮมป์ตัน เองจะกล่าวยินดีสำหรับการต่อสัญญาของ ฟาน ไดจ์ค โดยการบอกว่านี่คือสัญญาณของการสร้างทีมในระยะยาว แต่ความจริงที่ทุกคนรู้ดีคือในฟุตบอลยุคใหม่
"เงิน" คือพลังที่ยากจะต้านทาน ดังนั้นการต่อสัญญาครั้งนี้คือพันธะที่พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของ ฟาน ไดจ์ค ที่ว่า
"มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น"
พวกเขารอข้อเสนออยู่ แต่แน่นอนที่สุดว่ามันจะต้องเป็นข้อเสนอที่พวกเขาไม่อาจจะปฎิเสธมันได้เท่านั้น
รักจนเสียสติ
ผลงานของ ฟาน ไดจ์ค ไม่มีตกลงไปเลยหลังจากต่อสัญญากับทีมนักบุญ แม้เขาจะผ่านการบาดเจ็บยาวมา ทว่าหลังจากการคัมแบ็คลงสนามก็สามารถสานฟอร์มเก่าต่อได้ทันที ขณะที่ ลิเวอร์พูล เองรักมั่นในตัวของ ฟาน ไดจ์ค พวกเขารอจนตลาดซื้อขายในซัมเมอร์ปี 2017 เปิด พวกเขาก็ลงสนามลุยทันที
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เปิดพร้อมๆ กับตลาดซื้อขายคือเอฟเฟ็กต์จากการต่อสัญญาของ ฟาน ไดจ์ค เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้ มันทำให้ เซาธ์แฮมป์ตัน รออย่างสบายใจพร้อมเคาะตัวเลขในใจไว้ว่า
"เอาซัก 60 ล้านปอนด์" หาก ลิเวอร์พูล รักจริงแค่เคาะประตูเข้ามาพร้อมเงินค่าสินสอดตามต้องการ พวกเขารอจะฟังอยู่เสมอ
บางครั้งความรักก็ทำให้คนเราเสียสติ ... ลิเวอร์พูล เกิดอาการลังเลกับราคาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน เรียก ยิ่งประกอบกับประวัติการเจ็บยาวของ ฟาน ไดจ์ค พวกเขาเลือกที่จะพิจารณาตัวเลขใหม่ เพราะ 60 ล้านปอนด์มันมากเกินไปกับนักเตะกองหลังในยุคนั้น สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำคือพยายามลดตัวเลขนั้นลงอีก เหลือสัก 50 ล้านปอนด์ผ่านขั้นตอนที่เล่นไม่ซื่อด้วยการลักลอบติดต่อกับตัวนักเตะและเอเย่นต์แบบไม่ผ่านสโมสร เพื่อหวังให้นักเตะช่วยกดดันต้นสังกัด
เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่รู้ตัวกับการแอบเล่นลับหลังครั้งนี้ในตอนแรก พวกเขารู้แต่เพียงว่า ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจมากกว่าตลาดทุกครั้งที่ผ่านมา และนั่นก็เข้าล็อก พวกเขาป่าวประกาศเสมอว่าไม่ต้องการจะขายกองหลังตัวเก่งออกจากทีม ซึ่งทุกคนรู้กัน วลีที่ว่า
"ไม่ได้มีไว้ขาย" มันไม่มีจริงในโลกฟุตบอล
ขณะที่เคาะโต๊ะรอด้วยความสบายใจเพราะคิดว่าเดี๋ยวยังไงลิเวอร์พูลก็ต้องมาแน่ จนกระทั่งวันที่ 7 มิถุนายน ความลับก็ไม่มีในโลก เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ข่าวความเคลื่อนไหวของ ลิเวอร์พูล ที่แอบทำลับหลังโดยที่พวกเขาไม่รู้ เมื่อนั้นจากที่เคยรออย่างใจเย็น ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที เซาธ์แฮมป์ตัน พร้อมจะเล่นไม้แข็งกับ ลิเวอร์พูล บ้างเพื่อตอบแทนการไม่ให้เกียรติกันครั้งนี้
พวกเขายื่นเรื่องไปยังสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือ เอฟเอ ให้ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ เท่านั้นยังไม่พอพวกเขาแถลงการณ์ตอกหน้าลิเวอร์พูลว่า หลังจากนี้ต่อให้ ลิเวอร์พูล จะยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ สิ่งที่ เซาธ์แฮมป์ตัน จะมอบให้หงส์แดงมีเพียงประโยคเดียวคือ
"ฝันไปเถอะ"
ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่โง่ : ย้อนรอย 2 ปีแห่งการล่าตัว 'ฟาน ไดจ์ค' ที่ 'ลิเวอร์พูล' แทบขาดสติ
https://mainstand.co.th/catalog/3-Stories/1013-ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่โง่+%3A+ย้อนรอย+2+ปีแห่งการล่าตัว+%27ฟาน+ไดจ์ค%27+ที่+%27ลิเวอร์พูล%27+แทบขาดสติ
เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เอาชนะทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในการคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2018-19 จากการได้รับการยอมรับโดยดุษฎี และทุกคนรู้ว่าเขาคือ 1 ในผู้เปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ยุคใหม่อย่างแท้จริง
เราไม่มีทางเดาตัวเลขถูกเลยว่าตอนนี้ ฟาน ไดจ์ค จะมีค่าตัวมากแค่ไหนหากเขาย้ายทีมอีกหนเพราะมันคือเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆ คือในวันที่เขาย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในต้นปี 2018 เขามีราคา 75 ล้านปอนด์ เป็นสถิติโลกของตำแหน่งกองหลังในตอนนั้น ภายใต้เสียงวิจารณ์และการไล่ล่าอันเข้มข้นที่กินเวลาเกือบ 2 ปี
กว่าจะมาถึงวันที่ทุกคนชื่นชมว่าการคว้าตัว ฟาน ไดจ์ค คือสุดยอดดีลในปัจจุบัน เขาคือนักเตะคนเดียวกับที่ทำให้ลิเวอร์พูลขาดสติ จนยอมทำในสิ่งที่เสื่อมเสียเกียรติและโดนวิจารณ์ไปทั่วสารทิศมาแล้ว นี่คือเบื้องหลังความบ้าของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล กับรักเดียวต่อ ฟาน ไดจ์ค ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้พวดเขาจะต้องเจ็บตัวกับคำพูดของตัวเองก็ตาม
เพื่อเข้าใกล้คำว่า 100% ลิเวอร์พูล เหนื่อยล้ากับการไล่ล่าความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของ ภายใต้การเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ในตำแหน่งกุนซือครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากเข้ายุค '90s มีเพียง ราฟาเอล เบนิเตซ เพียงคนเดียวที่พอจะใช้คำว่า "ประสบความสำเร็จ" ได้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยั่งยืนอะไรนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไป วลีอมตะที่เรียกพวกเขาว่า "เครื่องจักรสีแดง" ยิ่งกลายเป็นเพียงคำพูดที่น้อยคนจะเคยเห็นว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร?
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ท้ายที่สุดแล้วในช่วงปลายปี 2015 พวกเขาเลือกจะปลด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ คนว่างงานที่โปรไฟล์ดีที่สุดจากการผลงานสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เยอรมัน
คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล ในช่วงเดือน ตุลาคม โดยตลาดซื้อขายเดือนมกราคมของฤดูกาลนั้นเขาไม่ซื้อใครเข้ามาเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงการยืมตัว สตีเว่น คอลเกอร์ กองหลังจาก คิวพีอาร์ รายเดียวเท่านั้นซึ่งนั่นไม่ใช่หลักใหญ่ใจความอะไร
หลังจาก คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมจนกระทั่งจบฤดูกาลแห่งการสังเกตการณ์ เขาได้เห็นว่าคุณภาพนักเตะนั้นยังไม่ได้ แนวรุกถือว่ายังพอไปวัดไปวา ยิงประตูได้เยอะ แต่แนวรับนี่สิที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด พวกเขาแพ้ พาเลซ คาบ้าน 1-2 โดน นิวคาสเซิล (ทั้งเกมเหย้าและเยือน), เวสต์บรอมวิช, เวสต์แฮม, เลสเตอร์, ซันเดอร์แลนด์ ยิง 2 ประตูในเกมเดียว และที่แย่ไปกว่านั้นคือการโดนทีมอย่าง สวอนซี, เซาธ์แฮมป์ตัน และ วัตฟอร์ด ยิง 3 ประตูในเกมเดียวมาแล้ว
ช่วงเวลาการหาผู้นำในแนวรับสำหรับยุคของ คล็อปป์ ได้เริ่มขึ้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเขาต้องแก้ไขส่วนอื่นด้วยทั้งกองกลาง, ตัวริมเส้น และกองหน้า ดังนั้นในฤดูกาล 2016-17 จึงมีเพียงกองหลัง 2 คนเท่านั้นที่ย้ายเข้ามานั่นคือ รักนาร์ คลาวาน และ โจเอล มาติป ส่วนปัญหาด้านอื่นๆ ถูกเติมเข้ามาด้วย ซาดิโอ มาเน่ (แนวรุก), จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (กองกลาง) และ ลอริส คาริอุส (ผู้รักษาประตู)
ด้วยการที่ต้องเกลี่ยเงินออกเป็นส่วนๆ สำหรับหลายปัญหาจึงทำให้แนวรับของ หงส์แดง "ดีขึ้นในระดับหนึ่ง" ครึ่งซีซั่นแรกพวกเขาแพ้แค่ 2 นัดให้กับ เบิร์นลี่ย์ และ บอร์นมัธ ก็จริง แต่การโดนสองทีมนี้ยิงรวมกันไปถึง 6 ลูก ดูเหมือนเป็นการบอกนัยๆ ว่าความนิ่งยังไม่มี หากคิดจะยิ่งใหญ่และคว้าโทรฟี่ การเจอเกมที่ศัพท์ชาวบ้านเรียกว่า "ตบเด็ก" ต้องห้ามพลาดง่ายๆ แบบนี้ แม้แต่ คล็อปป์ เองยังยอมรับสำหรับเรื่องนี้
"มันไม่ใช่การปั่นจักรยานที่คุณสามารถปั่นพลาดและล้มได้ แต่สำหรับฟุตบอลคุณต้องอยู่กับการแข่งขันและมีสมาธิให้มากๆ เลย ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ใกล้คำว่า 100% สำหรับเรา ไม่มีเลยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือขอแค่พยายามเข้าใกล้คำว่า 100% ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก"
"เราสามารถเล่นเกมรับให้ดีกว่านี้ เกมรุกก็เหมือนกัน เราต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ให้ดีกว่าที่เคยและรักษาสมดุลของทีมไว้ให้ได้ ทีมๆ นี้ยังมีอีกหลายอย่างให้ต้องแก้ไข" นี่คือสิ่งที่คล็อปป์ พูดถึงทีมของเขาโดยรวมในช่วงเดือนตุลาคมปี 2016
1 เดือนหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ต้องยกพลไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ เซนต์ แมรี่ส์ แน่นอนพวกเขาหวัง 3 แต้ม ด้วยผู้เล่นเกมรุกอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ พวกเขายิงประตูได้มากถึง 30 ลูกจาก 11 เกมแรก หากตีเป็นค่าเฉลี่ยต่อ 1 เกมก็เกือบๆ 3 ลูก ทว่าในเกมนี้มันเป็นเรื่องที่ชวนฉงนใจ 3 เทพเกมรุกพยายามแล้วพยายามเล่าที่จะเจาะประตูทีมนักบุญ แต่สุดท้ายคือพลาดไปหมด จังหวะจั๋งๆ เน้นๆ มักจะไปติดกับกองหลังคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค นั่นเอง
ณ เวลานั้น ฟาน ไดจ์ค เพิ่งจะมาอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน เป็นปีที่ 2 ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์จาก กลาสโกว์ เซลติก แต่ออร่าบารมีของเขาต้องเรียกว่า "พี่ใหญ่" ของทีมถึงจะถูก เขาพร้อมจะชี้นิ้วด่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่มีสมาธิให้กลับสู่เกมเสมอ และแปลกแต่จริง เขามักจะเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเกะกะจังหวะการยิงของผู้เล่น ลิเวอร์พูล ในพื้นที่สุดท้ายเสมอ
"กองหลังชาวดัตช์มีช่วงเวลาประหม่าอยู่บ้างจากการดึงเสื้อของ ฟีร์มิโน่ ที่เขตโทษ ซึ่ง มาร์ค แคลทเทนเบิร์ก โบกมือว่าไม่ฟาวล์ แต่ส่วนอื่นๆ ของเขามันอัจฉริยะ เขายอดเยี่ยมในการบล็อกลูกยิงของอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาเน่ และสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนแนวรับในทีม จนลิเวอร์พูลไม่สามารถเป็นอิสระในพื้นที่สุดท้ายได้"
บทวิจารณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้โดยสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดอย่าง BBC และแน่นอนพวกเขาเลือกให้ ฟาน ไดจ์ค เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้น ...
ไม่ใช่แค่แฟนบอลทีเห็นถึงบางสิ่งในตัวของ ฟาน ไดจ์ค ความเหนียวแน่นในเกมแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเขาคือคนที่ลงไปยืนในสนามและทำให้คนรอบข้างเก่งขึ้นได้อย่างประหลาด และ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็คิดแบบนั้น
รักแรกพบ
ไม่ต้องบอกก็รู้เกม เซาธ์แฮมป์ตัน เสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 คือรักแรกพบของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่มีต่อ ฟาน ไดจ์ค ซึ่ง ณ ตอนนั้นมันยังเป็นรักข้างเดียว ปราการหลังชาวดัตช์มีเจ้าของแล้ว นอกจากนั้นยังมีสโมสรอื่นนอกจาก ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจในตัวของเขาด้วย
แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือที่ซื้อตัวแม่นที่สุดคนหนึ่งคือหนึ่งในนั้น พวกเขาถึงขั้นส่งแมวมองมาซุ่มดูฟอร์มของ ฟาน ไดจ์ค มาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือเกมที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 นั่นแหละ เหตุผลเพราะพวกเขาต้องการหาคนไปแทนที่ของ แว็งซ็องต์ กอมปานี ในระยะยาว ทว่าขาดเพียงขั้นตอนการยื่นข้อเสนอเพื่อแสดงความชัดเจนเท่านั้นเอง นอกจากนั้นยังมี เชลซี ที่มีข่าวให้ความใจในเวลาเดียวกันด้วยเพียงแต่ข่าวจากฝั่งลอนดอนนั้นไม่ค่อยมีหนาหูเท่ากับที่ แมนเชสเตอร์ และ ลิเวอร์พูล
ความต้องการของ เรือใบ และ หงส์แดง ยังเป็นแค่ช่วงของการจับตาดูสถานการณ์เท่านั้น เหตุผลส่วนหนึ่งคือพวกเขาไม่อยากจะลงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมนัก เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงในการโดนโขกราคาสูงแล้ว การย้ายกลางคันมักจะทำให้นักเตะปรับตัวไม่ทันและนั่นอาจจะเป็นการซื้อขายที่เสียเปล่าได้
เซาธ์แฮมป์ตัน เองรู้ถึงเรื่องนี้ดี พวกเขาเป็นทีมนักปั้นมือทองที่หยิบจับใครมาก็เอามาขายได้กำไรเสมอ ก่อนหน้านี้มี โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, วิคเตอร์ วานยาม่า, นาธาเนี่ยล ไคลน์, ลุค ชอว์, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, อดัม ลัลลาน่า และอีกสารพัดคน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ดีว่าสิ่งที่ควรทำกับ ฟาน ไดจค์ คืออะไร ในเมื่อ 2 ทีมระดับหัวแถมตามก้อร้อก้อติกแบบนี้ ความเชี่ยวชาญในการซื้อมาขายไปทำให้ เลส รีด ไดเร็คเตอร์มือดีของทีมนักบุญขอนัดประชุม CEO ของทีม และเร่งการต่อสัญญาฉบับใหม่ของ ฟาน ไดจค์ ให้เร็วที่สุด พวกเขาไม่ต้องการให้ตลาดเปิดแต่เริ่มทำเลยตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่จบและทำสำเร็จอย่างดงามอีกด้วย
ฟาน ไดจ์ค ได้สัญญาระยะ 6 ปี พร้อมค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น และให้เหตุผลในการต่อสัญญาครั้งนั้นว่าเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่งเพราะครอบครัวของเขาแฮปปี้กับชีวิตในแดนใต้ นอกจากนี้เขายังอยากเติบโตไปพร้อมๆ กับสโมสรแห่งนี้ด้วย "มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น"นี่คือส่วนหนึ่งในประโยคจากปากของเขา
แม้ เซาธ์แฮมป์ตัน เองจะกล่าวยินดีสำหรับการต่อสัญญาของ ฟาน ไดจ์ค โดยการบอกว่านี่คือสัญญาณของการสร้างทีมในระยะยาว แต่ความจริงที่ทุกคนรู้ดีคือในฟุตบอลยุคใหม่ "เงิน" คือพลังที่ยากจะต้านทาน ดังนั้นการต่อสัญญาครั้งนี้คือพันธะที่พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของ ฟาน ไดจ์ค ที่ว่า "มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น"
พวกเขารอข้อเสนออยู่ แต่แน่นอนที่สุดว่ามันจะต้องเป็นข้อเสนอที่พวกเขาไม่อาจจะปฎิเสธมันได้เท่านั้น
รักจนเสียสติ
ผลงานของ ฟาน ไดจ์ค ไม่มีตกลงไปเลยหลังจากต่อสัญญากับทีมนักบุญ แม้เขาจะผ่านการบาดเจ็บยาวมา ทว่าหลังจากการคัมแบ็คลงสนามก็สามารถสานฟอร์มเก่าต่อได้ทันที ขณะที่ ลิเวอร์พูล เองรักมั่นในตัวของ ฟาน ไดจ์ค พวกเขารอจนตลาดซื้อขายในซัมเมอร์ปี 2017 เปิด พวกเขาก็ลงสนามลุยทันที
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เปิดพร้อมๆ กับตลาดซื้อขายคือเอฟเฟ็กต์จากการต่อสัญญาของ ฟาน ไดจ์ค เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้ มันทำให้ เซาธ์แฮมป์ตัน รออย่างสบายใจพร้อมเคาะตัวเลขในใจไว้ว่า "เอาซัก 60 ล้านปอนด์" หาก ลิเวอร์พูล รักจริงแค่เคาะประตูเข้ามาพร้อมเงินค่าสินสอดตามต้องการ พวกเขารอจะฟังอยู่เสมอ
บางครั้งความรักก็ทำให้คนเราเสียสติ ... ลิเวอร์พูล เกิดอาการลังเลกับราคาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน เรียก ยิ่งประกอบกับประวัติการเจ็บยาวของ ฟาน ไดจ์ค พวกเขาเลือกที่จะพิจารณาตัวเลขใหม่ เพราะ 60 ล้านปอนด์มันมากเกินไปกับนักเตะกองหลังในยุคนั้น สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำคือพยายามลดตัวเลขนั้นลงอีก เหลือสัก 50 ล้านปอนด์ผ่านขั้นตอนที่เล่นไม่ซื่อด้วยการลักลอบติดต่อกับตัวนักเตะและเอเย่นต์แบบไม่ผ่านสโมสร เพื่อหวังให้นักเตะช่วยกดดันต้นสังกัด
เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่รู้ตัวกับการแอบเล่นลับหลังครั้งนี้ในตอนแรก พวกเขารู้แต่เพียงว่า ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจมากกว่าตลาดทุกครั้งที่ผ่านมา และนั่นก็เข้าล็อก พวกเขาป่าวประกาศเสมอว่าไม่ต้องการจะขายกองหลังตัวเก่งออกจากทีม ซึ่งทุกคนรู้กัน วลีที่ว่า "ไม่ได้มีไว้ขาย" มันไม่มีจริงในโลกฟุตบอล
ขณะที่เคาะโต๊ะรอด้วยความสบายใจเพราะคิดว่าเดี๋ยวยังไงลิเวอร์พูลก็ต้องมาแน่ จนกระทั่งวันที่ 7 มิถุนายน ความลับก็ไม่มีในโลก เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ข่าวความเคลื่อนไหวของ ลิเวอร์พูล ที่แอบทำลับหลังโดยที่พวกเขาไม่รู้ เมื่อนั้นจากที่เคยรออย่างใจเย็น ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที เซาธ์แฮมป์ตัน พร้อมจะเล่นไม้แข็งกับ ลิเวอร์พูล บ้างเพื่อตอบแทนการไม่ให้เกียรติกันครั้งนี้
พวกเขายื่นเรื่องไปยังสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือ เอฟเอ ให้ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ เท่านั้นยังไม่พอพวกเขาแถลงการณ์ตอกหน้าลิเวอร์พูลว่า หลังจากนี้ต่อให้ ลิเวอร์พูล จะยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ สิ่งที่ เซาธ์แฮมป์ตัน จะมอบให้หงส์แดงมีเพียงประโยคเดียวคือ "ฝันไปเถอะ"