สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ ถล่มเอาชนะ เซาแธมป์ตัน ไปได้แบบขาดลอย 3-0 โดย ‘นักบุญแดนใต้’ ถือเป็นสโมสรที่ถูก ‘หงส์แดง’ กระทำชำเราในแง่การซื้อขายตัวผู้เล่นในช่วงหลายปีมานี้ โดย Richard Jolly (FFT) อธิบายว่าลิเวอร์พูลได้ทำการปฏิวัติการเสริมทีมจาก ความตื่นตระหนก แปรเปลี่ยนเป็น ความอดทน
แม้ว่าต้นทุนในการสอดส่องตัวผู้เล่นจะถูกเก็บเป็นความลับ ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีเรื่องตลกร้ายเล่าว่า
“ลิเวอร์พูลใช้เงินในการสอดส่องหานักเตะ 500 ปอนด์ เพียงแค่ซื้อตั๋วปีสำหรับชมเกมใน เซนต์ แมรี่” เกมในวันเสาร์ที่ผ่านมา เหมือนเป็นแมตช์รวมตัวของทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ซาดิโอ มาเน่, อดัม ลัลลาน่า, นาธาเนียล ไคลน์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เดยัน ลอฟเรน และ แดนนี อิงส์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้คนต่างพูดถึง
ถึงแม้ว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่กล่าวมาจะมีอาการบาดเจ็บ และไม่สามารถลงสนามในเกมนี้ได้ แต่ความเชื่อมโยงของทั้ง 2 สโมสรยังคงเด่นชัด เซาแธมป์ตันเปรียบเสมือนสโมสรที่ขุนนักเตะให้กับลิเวอร์พูล หรือจะกล่าวว่า หงส์แดงควรซื้อผู้เล่นที่ตกเป็นเป้าหมายของเซาแธมป์ตันโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางเลยก็ได้
เงินจำนวน 175 ล้านปอนด์ ที่จ่ายให้กับทีมทางตอนใต้ของอังกฤษตลอดระยะเวลา 4 ปี ในการซื้อขายตัวผู้เล่น จนกระทั่งแดนนี อิงส์ เลือกเดินสวนทางไปค้าแข้งกับเซาแธมป์ตัน
ขณะที่ ฟาน ไดจ์ค ถูกยกย่องให้ดีลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในแง่การซื้อตัวผู้เล่นจากทีมแดนใต้ แต่เขายังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป กลยุทธ์ในการซื้อขายตัวผู้เล่นของลิเวอร์พูล ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยยกเลิกการกว้านซื้อผู้เล่นที่ไม่จำเป็น จากยอดทีมแห่งแฮมป์เชียร์
การมาของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ฟาน ไดจ์ค ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นเดียวกับ นาธาเนียล ไคลน์, อดัม ลัลลาน่า และ ริกกี้ แลมเบิร์ต แต่เขาจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้เล่นอย่าง นาบี เกอิต้า, อลิสซอน เบคเกอร์ และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ไม่ใช่ในแง่ของค่าตัว แต่เป็นบทบาท และความสำคัญต่อทีม โดย เจอร์เก้น คล็อปป์ มีการวางตัวเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับผู้รักษาประตูบราซิลเลี่ยน และตัวรุกชาวอียิปต์
ผู้เล่นในกลุ่มนี้ล้วนเป็นดีลที่ไม่สามารถปฏิเสธ และปล่อยให้ยืดเยื้อได้ พวกเขาต่างเป็นเป้าหมายหลักในการซื้อตัวของทีม และจะเป็น ‘กุญแจสู่ความสำเร็จ’ นั่นทำให้ลิเวอร์พูลค่อนข้างมั่นใจ ในการตัดสินใจดึงตัวพวกเขาเข้ามาเสริมทัพ
ลิเวอร์พูล ไม่มีเป้าหมายรองสำหรับผู้เล่นในกลุ่มนี้ พวกเขามองข้ามเรื่องของเงินตรา และภาพลักษณ์ แต่มองหานักเตะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ สามารถจับต้องได้ และต้องเป็นผู้เล่นที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองในเวที พรีเมียร์ ลีก มาแล้ว ที่สำคัญต้องเป็นสุดยอดแนวรับรายนี้เท่านั้น
แนวทางการซื้อขายของลิเวอร์พูลในช่วงหลัง ค่อนข้างแตกต่างอดีตจากที่ผ่านมา อาจจะดูหยาบคายไปสักนิด ที่เป้าหมายหลายต่อหลายตัว ถูกดึงตัวมากจากสโมสรที่จบเพียงอันดับ 6-8 แต่ทีมกลับบอกว่า พวกเขาคือทีมที่ดีกว่าทีมเหล่านั้น อาจจะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดในลีก แต่การทำให้ทีมอย่างเซาแธมป์ตัน ต้องตกภายใต้อาณัติต่อยอดทีมแห่งเมอร์ซีไซด์ อาจไม่ใช้หนทางสู่ความสำเร็จ
แน่นอนว่าในแต่ละดีลย่อมมีความต่างกันออกไป หลังจากที่ผู้เล่นอย่าง อดัม ลัลลาน่า มีชื่อเข้าชิงรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ PFA Player of the Year สมัยที่ยังค้าแข้งในถิ่นเซนต์ แมรี่ หรือ ริกกี้ แลมเบิร์ต ที่เคยพัวพันกับแวดวงการพนัน แต่เหล่าสเกาเซอร์ ต่างมองว่าสโมสรอาจขี้เหนียวไปสักนิดกับดีลเหล่านี้
เงินจำนวน 12 ล้านปอนด์ถูกมองว่าเป็นดีลที่เหมาะสม แลกกับการเซ็นสัญญาคว้าแบ็คขวาชาวอังกฤษ นาธาเนียล ไคลน์ ที่ลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยระยะเลา 2 ปี แต่หากมองย้อนไปที่ดีลของ ไคล์ วอล์ดเกอร์ กลับมีมูลค่าแพงกว่าถึง 4 เท่า เหมือนเช่นอดีตเป้าหมายของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ ในตำแหน่งวิงแบ็คทางกราบซ้ายอย่าง ไรอัน เบอร์ทรานด์ และเดยัน ลอฟเรน ที่ดูเหมือนจะเป็นสุดยอดปราการหลัง ยามจับคู่กับ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ช่วงเวลาของ ซาดิโอ มาเน่
ซาดิโอ มาเน่ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งเขา และ ฟาน ไดจ์ค ได้ส่งผลต่อรูปเกมเกมของลิเวอร์พูลในทันที ทั้งคู่ถือเป็นอดีตนักเตะเซาแธมป์ตัน ที่อาจจะได้สัญญาในระยะยาวก่อนใครเพื่อน แม้ว่า เดยัน ลอฟเรน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อาจะได้ด้วยก็ตาม
ในอนาคตลิเวอร์พูล อาจจะเสริมผู้เล่นจากเซาแธมป์ตันน้อยลง ไม่ใช่แค่การดึงตัวผู้เล่นจากทีมที่อยู่ในกลุ่มครึ่งท้ายของลีกสูงสุดเท่านั้น แต่เป็นการที่สโมสรมองหา คุณภาพในตัวผู้เล่น มากกว่า จำนวนผู้เล่น และดีลของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค อาจเป็นดีลสุดท้ายในการซื้อตัวจากเซาแธมป์ตัน
แผนการเสริมทีมของลิเวอร์พูล อาจดูแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 2014 หงส์แดงละเลงเงินที่ได้จากการขาย หลุยซ์ ซัวเรส จำนวน 65 ล้านปอนด์ ไปกับ 2 นโยบายการซื้อขาย ทางแรกคือการคว้าตัวเด็กเก่าของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ ทั้ง ลอฟเรน, ลัลลาน่า และแลมเบิร์ต อีกทางเลือกหนึ่งคือการคว้าผู้เล่นเกรดรองๆ จากต่างแดนทั้ง เอมเร่ ชาน, ดิว็อค โอริกี้, ลาซาร์ มาร์โควิช และมาริโอ บาโลเตลลี
ทั้งอดีตตัวรุกชาวเซิร์บ และศูนย์หน้าชาวอิตาเลี่ยน ต่างไม่ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งกับทีมลิเวอร์พูล ในทางกลับกันกลุ่มนักเตะที่ย้ายมาจากเซาแธมป์ตัน มีความเสี่ยงน้อยกว่า ขณะที่ดีลในช่วงเดดไลน์ของตลาดซื้อขายนักเตะระหว่าง บาโลเตลลี และ ฟาน ไดจ์ค นั้นตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจน ดีลแรก คือการซื้อตัวผู้เล่นที่ไม่มีใครอยากได้ อาจจะดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถ แต่ มาริโอ คือผู้เล่นที่มีปัญหาด้านการปรับตัวให้เข้ากับทีม มันแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูลไม่มีการเตรียมตัวหาศูนย์หน้าที่เหมาะสมกับทีม
ในปัจจุบันลิเวอร์พูล ได้ซื้อตัวผู้เล่นจากสโมสรโรม่า มากกว่าเซาแธมป์ตัน ในช่วง 15 เดือนหลังสุด นี่คือการส่งสัญญาณถึงความทะเยอทะยาน และงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อคุณภาพทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดีขึ้น คงเป็นเรื่องยากที่จะมองหานักเตะจากยอดทีมแห่งแฮมป์เชียร์เข้ามาเสริมทีมใน 11 ผู้เล่นตัวจริง
บางทีผู้ที่บุกเบิกคนใหม่การย้ายทีมระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เซาแธมป์ตัน อาจจะไม่ใช่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค แต่เป็น แดนนี อิงส์ อดีตผู้เล่นลิเวอร์พูล ที่ย้ายไปค้าแข้งกับทีมเซาแธมป์ตัน ในฐานะ 11 ผู้เล่นตัวจริง ไม่แน่ว่าแมวมองของทีมนักบุญแดนใต้ อาจต้องการตั๋วปีที่สนามเพลนตัน ปาร์ค สนามแข่งขันของทีมสำรองลิเวอร์พูล เพื่อมองหาส่วนเกินในทีมของคล็อปป์ ไม่ใช่สนามแอนฟิลด์ และทีมชุดหลักอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง :
https://www.fourfourtwo.com/features/how-a-total-shift-transfer-policy-brought-about-liverpools-resurgence
การฟื้นคืนชีพของลิเวอร์พูล...กับนโยบายซื้อ-ขายผู้เล่นที่เปลี่ยนไป
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ ถล่มเอาชนะ เซาแธมป์ตัน ไปได้แบบขาดลอย 3-0 โดย ‘นักบุญแดนใต้’ ถือเป็นสโมสรที่ถูก ‘หงส์แดง’ กระทำชำเราในแง่การซื้อขายตัวผู้เล่นในช่วงหลายปีมานี้ โดย Richard Jolly (FFT) อธิบายว่าลิเวอร์พูลได้ทำการปฏิวัติการเสริมทีมจาก ความตื่นตระหนก แปรเปลี่ยนเป็น ความอดทน
แม้ว่าต้นทุนในการสอดส่องตัวผู้เล่นจะถูกเก็บเป็นความลับ ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีเรื่องตลกร้ายเล่าว่า “ลิเวอร์พูลใช้เงินในการสอดส่องหานักเตะ 500 ปอนด์ เพียงแค่ซื้อตั๋วปีสำหรับชมเกมใน เซนต์ แมรี่” เกมในวันเสาร์ที่ผ่านมา เหมือนเป็นแมตช์รวมตัวของทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ซาดิโอ มาเน่, อดัม ลัลลาน่า, นาธาเนียล ไคลน์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เดยัน ลอฟเรน และ แดนนี อิงส์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้คนต่างพูดถึง
ถึงแม้ว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่กล่าวมาจะมีอาการบาดเจ็บ และไม่สามารถลงสนามในเกมนี้ได้ แต่ความเชื่อมโยงของทั้ง 2 สโมสรยังคงเด่นชัด เซาแธมป์ตันเปรียบเสมือนสโมสรที่ขุนนักเตะให้กับลิเวอร์พูล หรือจะกล่าวว่า หงส์แดงควรซื้อผู้เล่นที่ตกเป็นเป้าหมายของเซาแธมป์ตันโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางเลยก็ได้
เงินจำนวน 175 ล้านปอนด์ ที่จ่ายให้กับทีมทางตอนใต้ของอังกฤษตลอดระยะเวลา 4 ปี ในการซื้อขายตัวผู้เล่น จนกระทั่งแดนนี อิงส์ เลือกเดินสวนทางไปค้าแข้งกับเซาแธมป์ตัน
ขณะที่ ฟาน ไดจ์ค ถูกยกย่องให้ดีลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในแง่การซื้อตัวผู้เล่นจากทีมแดนใต้ แต่เขายังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป กลยุทธ์ในการซื้อขายตัวผู้เล่นของลิเวอร์พูล ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยยกเลิกการกว้านซื้อผู้เล่นที่ไม่จำเป็น จากยอดทีมแห่งแฮมป์เชียร์
การมาของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ฟาน ไดจ์ค ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นเดียวกับ นาธาเนียล ไคลน์, อดัม ลัลลาน่า และ ริกกี้ แลมเบิร์ต แต่เขาจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้เล่นอย่าง นาบี เกอิต้า, อลิสซอน เบคเกอร์ และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ไม่ใช่ในแง่ของค่าตัว แต่เป็นบทบาท และความสำคัญต่อทีม โดย เจอร์เก้น คล็อปป์ มีการวางตัวเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับผู้รักษาประตูบราซิลเลี่ยน และตัวรุกชาวอียิปต์
ผู้เล่นในกลุ่มนี้ล้วนเป็นดีลที่ไม่สามารถปฏิเสธ และปล่อยให้ยืดเยื้อได้ พวกเขาต่างเป็นเป้าหมายหลักในการซื้อตัวของทีม และจะเป็น ‘กุญแจสู่ความสำเร็จ’ นั่นทำให้ลิเวอร์พูลค่อนข้างมั่นใจ ในการตัดสินใจดึงตัวพวกเขาเข้ามาเสริมทัพ
ลิเวอร์พูล ไม่มีเป้าหมายรองสำหรับผู้เล่นในกลุ่มนี้ พวกเขามองข้ามเรื่องของเงินตรา และภาพลักษณ์ แต่มองหานักเตะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ สามารถจับต้องได้ และต้องเป็นผู้เล่นที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองในเวที พรีเมียร์ ลีก มาแล้ว ที่สำคัญต้องเป็นสุดยอดแนวรับรายนี้เท่านั้น
แนวทางการซื้อขายของลิเวอร์พูลในช่วงหลัง ค่อนข้างแตกต่างอดีตจากที่ผ่านมา อาจจะดูหยาบคายไปสักนิด ที่เป้าหมายหลายต่อหลายตัว ถูกดึงตัวมากจากสโมสรที่จบเพียงอันดับ 6-8 แต่ทีมกลับบอกว่า พวกเขาคือทีมที่ดีกว่าทีมเหล่านั้น อาจจะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดในลีก แต่การทำให้ทีมอย่างเซาแธมป์ตัน ต้องตกภายใต้อาณัติต่อยอดทีมแห่งเมอร์ซีไซด์ อาจไม่ใช้หนทางสู่ความสำเร็จ
แน่นอนว่าในแต่ละดีลย่อมมีความต่างกันออกไป หลังจากที่ผู้เล่นอย่าง อดัม ลัลลาน่า มีชื่อเข้าชิงรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ PFA Player of the Year สมัยที่ยังค้าแข้งในถิ่นเซนต์ แมรี่ หรือ ริกกี้ แลมเบิร์ต ที่เคยพัวพันกับแวดวงการพนัน แต่เหล่าสเกาเซอร์ ต่างมองว่าสโมสรอาจขี้เหนียวไปสักนิดกับดีลเหล่านี้
เงินจำนวน 12 ล้านปอนด์ถูกมองว่าเป็นดีลที่เหมาะสม แลกกับการเซ็นสัญญาคว้าแบ็คขวาชาวอังกฤษ นาธาเนียล ไคลน์ ที่ลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยระยะเลา 2 ปี แต่หากมองย้อนไปที่ดีลของ ไคล์ วอล์ดเกอร์ กลับมีมูลค่าแพงกว่าถึง 4 เท่า เหมือนเช่นอดีตเป้าหมายของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ ในตำแหน่งวิงแบ็คทางกราบซ้ายอย่าง ไรอัน เบอร์ทรานด์ และเดยัน ลอฟเรน ที่ดูเหมือนจะเป็นสุดยอดปราการหลัง ยามจับคู่กับ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
ช่วงเวลาของ ซาดิโอ มาเน่
ซาดิโอ มาเน่ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งเขา และ ฟาน ไดจ์ค ได้ส่งผลต่อรูปเกมเกมของลิเวอร์พูลในทันที ทั้งคู่ถือเป็นอดีตนักเตะเซาแธมป์ตัน ที่อาจจะได้สัญญาในระยะยาวก่อนใครเพื่อน แม้ว่า เดยัน ลอฟเรน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อาจะได้ด้วยก็ตาม
ในอนาคตลิเวอร์พูล อาจจะเสริมผู้เล่นจากเซาแธมป์ตันน้อยลง ไม่ใช่แค่การดึงตัวผู้เล่นจากทีมที่อยู่ในกลุ่มครึ่งท้ายของลีกสูงสุดเท่านั้น แต่เป็นการที่สโมสรมองหา คุณภาพในตัวผู้เล่น มากกว่า จำนวนผู้เล่น และดีลของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค อาจเป็นดีลสุดท้ายในการซื้อตัวจากเซาแธมป์ตัน
แผนการเสริมทีมของลิเวอร์พูล อาจดูแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 2014 หงส์แดงละเลงเงินที่ได้จากการขาย หลุยซ์ ซัวเรส จำนวน 65 ล้านปอนด์ ไปกับ 2 นโยบายการซื้อขาย ทางแรกคือการคว้าตัวเด็กเก่าของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ ทั้ง ลอฟเรน, ลัลลาน่า และแลมเบิร์ต อีกทางเลือกหนึ่งคือการคว้าผู้เล่นเกรดรองๆ จากต่างแดนทั้ง เอมเร่ ชาน, ดิว็อค โอริกี้, ลาซาร์ มาร์โควิช และมาริโอ บาโลเตลลี
ทั้งอดีตตัวรุกชาวเซิร์บ และศูนย์หน้าชาวอิตาเลี่ยน ต่างไม่ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งกับทีมลิเวอร์พูล ในทางกลับกันกลุ่มนักเตะที่ย้ายมาจากเซาแธมป์ตัน มีความเสี่ยงน้อยกว่า ขณะที่ดีลในช่วงเดดไลน์ของตลาดซื้อขายนักเตะระหว่าง บาโลเตลลี และ ฟาน ไดจ์ค นั้นตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจน ดีลแรก คือการซื้อตัวผู้เล่นที่ไม่มีใครอยากได้ อาจจะดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถ แต่ มาริโอ คือผู้เล่นที่มีปัญหาด้านการปรับตัวให้เข้ากับทีม มันแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูลไม่มีการเตรียมตัวหาศูนย์หน้าที่เหมาะสมกับทีม
ในปัจจุบันลิเวอร์พูล ได้ซื้อตัวผู้เล่นจากสโมสรโรม่า มากกว่าเซาแธมป์ตัน ในช่วง 15 เดือนหลังสุด นี่คือการส่งสัญญาณถึงความทะเยอทะยาน และงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อคุณภาพทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดีขึ้น คงเป็นเรื่องยากที่จะมองหานักเตะจากยอดทีมแห่งแฮมป์เชียร์เข้ามาเสริมทีมใน 11 ผู้เล่นตัวจริง
บางทีผู้ที่บุกเบิกคนใหม่การย้ายทีมระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เซาแธมป์ตัน อาจจะไม่ใช่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค แต่เป็น แดนนี อิงส์ อดีตผู้เล่นลิเวอร์พูล ที่ย้ายไปค้าแข้งกับทีมเซาแธมป์ตัน ในฐานะ 11 ผู้เล่นตัวจริง ไม่แน่ว่าแมวมองของทีมนักบุญแดนใต้ อาจต้องการตั๋วปีที่สนามเพลนตัน ปาร์ค สนามแข่งขันของทีมสำรองลิเวอร์พูล เพื่อมองหาส่วนเกินในทีมของคล็อปป์ ไม่ใช่สนามแอนฟิลด์ และทีมชุดหลักอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง : https://www.fourfourtwo.com/features/how-a-total-shift-transfer-policy-brought-about-liverpools-resurgence