สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน
ประเด็นปัญหาการซื้อขายระหว่างเซาท์แธมป์ตัน กับลิเวอร์พูล ในตัวของเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ดูจะเป็นประเด็นที่แฟนบอลต่างให้ความสนใจอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเซาท์แธมป์ตันขู่ยื่นจะฟ้องต่อพรีเมียร์ลีก จนลิเวอร์พูลต้องประกาศแถลงการณ์ในเวบทางการเพื่อ "ขอโทษ" หลายๆคนสงสัยว่า การแสดงออกแบบนี้ของสโมสร มันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า แล้วไอ้แถลงการณ์แบบนี้มันจะช่วยให้บรรยากาศที่กำลังครุกรุ่นได้จริงหรือ ? เชื่อหรือไม่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในยุคของ FSG บทต่อไปของมหากาพย์การซื้อขายของลิเวอร์พูลจะเป็นเช่นไร ?
ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ในคอลัมน์ของผม เขียนบันทึกเรื่องราวพร้อมทั้งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับแฟนลิเวอร์พูล แฟนเซาท์แธมป์ตัน และแฟนบอลที่สนใจได้ลองอ่านกันครับ ก่อนอ่านก็สูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สบาย คิดซะว่าเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง จะได้ไม่ต้องซีเรียสครับ
ถ้าพร้อมแล้ว นับ 1 ... 2 ... 3 แล้วไปกันเลย !!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คอลัมน์ ต้นทางฟุตบอล https://story.pptvhd36.com/@aitonsk/5938d42483dcb
“สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลขอแสดงความเสียใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีข่าวลือการซื้อนักเตะจากสโมสรเซาท์แธมป์ตัน”
“ทางลิเวอร์พูลเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากจะขอโทษไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าของสโมสร, ทีมผู้บริหาร ตลอดจนถึงแฟนฟุตบอลทีมเซาท์แธมป์ตัน ในกรณีความเข้าใจผิดกันเรื่องการเซ็นสัญญาเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค”
“สโมสรเคารพในจุดยืนของทีมเซาท์แธมป์ตัน และขอยืนยันว่าความสนใจในตัวนักเตะจากเราได้สิ้นสุดแล้ว”
ถ้อยแถลงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูล ถูกตีพิมพ์ออกมาอย่างด่วนที่สุดกลางดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยเนื้อความกล่าวถึงประเด็นที่กำลังเป็นที่โจษจันอยู่ในเวลานี้ นั่นคือ ข่าวที่เซาท์แธมป์ตันยื่นเรื่องฟ้องพรีเมียร์ลีก กรณีลิเวอร์พูลแอบติดต่อนักเตะของพวกเขาอย่างไม่ถูกต้อง
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 5 ทุ่ม นักข่าวทุกสำนักไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล เอคโค่ สื่อท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับสโมรสรมากที่สุด, สกายสปอร์ต, เดอะ ไทม หรือรวมไปถึงสื่อที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดอย่างบีบีซี ต่างพร้อมใจกันปล่อยข่าว เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ตกลงสัญญาส่วนตัวกับลิเวอร์พูลได้แล้ว และไม่สนจะย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่นแต่อย่างใด ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา บรรดาแฟนเพจรวมไปถึงแฟนคลับต่างเฮโลกันตีข่าวที่น่ายินดีนี้กันอย่างสนุกสนาน โดยที่ยังไม่ตระหนักว่า ข่าวที่ออกมานั้นสุดท้ายมันจะวกกลับมาทิ่มแทงชื่อเสียงของสโมสรนั้นเอง
ถ้าใครที่เป็นเพื่อนหรือเป็นผู้ที่ติดตามผมในเฟสบุคส่วนตัว (ใครยังไม่ตามมากดติดตามได้นะฮะ แฮร่) ทันทีที่ข่าวนี้หลุดออกมา ในคืนนั้น ผมโพสต์เฟสบุคถึงความไม่ชอบมาพากลของข่าวนี้ทันที สำหรับคนที่ติดตามการซื้อขายมาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานานอย่างผม เรื่องที่แปลกใจที่สุดคงหนีไม่พ้น ข่าวนี้ มันดูจงใจเหมือนถูกปล่อยจากคนใน เพราะเนื้อหาของข่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีบทสัมภาษณ์ หรือไม่มีเนื้อหาอะไรมากไปกว่า บอกว่าฟาน ไดจ์ค ตกลงสัญญาส่วนตัวกับลิเวอร์พูลได้แล้ว ทุกหัวเป็นสำเนาแบบเดียวกัน ต่างกันตรงอาจจะมีการเสริมรายละเอียดเข้ามาที่แตกต่างกัน แต่ท้ายข่าวทุกสำนักจะลงท้ายคล้ายๆกัน นั่นคือ เหลือแค่ลิเวอร์พูลตกลงค่าตัวกับเซาท์แธมป์ตันให้ได้ ฟาน ไดจ์ค จะกลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลทันที
อ้าวเฮ้ย !! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า ...
ตัดฉับย้อนไปก่อนหน้าข่าวนี้จะออกจากปากสื่อ ทางเซาท์แธมป์ตันยืนยันผ่านสื่อเหมือนกันว่าไม่มีความต้องการที่จะขายเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ออกไป นอกจากจะมีข้อเสนอที่ไม่สามารถปฎิเสธได้จริงๆ ซึ่งก็มีแอบโปรยไว้ว่าถ้าได้ค่าตัวสัก 50-60 ล้านปอนด์ ก็น่าจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนได้ ที่แพงหูฉี่ขนาดนี้เพราะนักเตะเพิ่มขยายสัญญาออกไปอีก 5 ปี อำนาจทุกอย่างจึงอยู่ในมือของทางสโมสรมากกว่าตัวนักเตะ
ลิเวอร์พูลรู้สถานการณ์ทุกอย่าง เพราะทางทีมนักบุญก็แบะท่าพร้อมขาย(ในราคาแพง) ถ้าอยากได้ก็จ่ายมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง นั่นคือ นอกจากข่าวฟาน ไดจ์ค รายวันที่บรรดาสื่อหรือแฟนเพจเอามาแปลกันอย่างสนุกสนาน ลิเวอร์พูลไม่เคยติดต่อหรือยื่นราคาขอซื้อฟาน ไดจ์ค เข้าไปยังเซาท์แธมป์ตันอย่างเป็นทางการ !!
แบบนี้ทางเซาท์แธมป์ตันอยู่ไม่ได้แล้ว นี่มันไม่เคารพกันชัด ว่าแล้วนอกจากจะเปลี่ยนจุดยืนทางด้านค่าตัวของฟาน ไดจ์ค จากแพง เป็นโค-ตะ-ระ-แพง แล้ว ยังส่งเรื่องไปให้พรีเมียร์ลีกตีความด้วย เนื่องจากการติดต่อนักเตะโดยตรงโดยที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากสโมสร มันผิดกฎการซื้อขาย และแทบจะในทันที พรีเมียร์ลีก ก็ส่งคนขอเข้ามาจับตาดูการซื้อขายในดีลนี้ เพื่อป้องกันการทำผิดกฎ ตามที่ทีมนักบุญร้องเรียนไป
และนี่คือ สาเหตุของแถลงการณ์ด่วนในเว็บทางการ ตามที่ผมเอามาให้ได้อ่านกันตรงหัวบทความนี้ เป็นคำสั่งด่วนและส่งตรงจาก จอห์น เฮนรี่ และ ทอม เวอร์เนอร์ 2 เจ้าของสโมสร ที่เข้ามาลดกระแสข่าวลือว่าพรีเมียร์ลีกอาจจะลงโทษลิเวอร์พูล กรณีทำผิดกฎ ข่าวรายงานว่าจอห์น เฮนรี่ ต่อสายตรงไปยัง ราล์ฟ คลูเอเกอร์ ประธานสโมสรเซาท์แธมป์ตัน ในเช้าวันพุธที่ผ่านมา(ตามเวลาอเมริกา) เพื่อแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และจะแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อให้ทุกคนได้ทราบ เป็นการรักษาชื่อเสียงของทั้ง 2 สโมสร
ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในยุคของ FSG เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2012 เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของ “กัปตันอเมริกา” คลิ้นท์ เดมป์ซี่ย์ โดยในครั้งนั้น เป็นทอม เวอร์เนอร์ 1 ในเจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล ที่หลุดปากให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เดมป์ซี่ย์ เป็นนักเตะลิเวอร์พูลแล้ว แถมยังมีบทความต้อนรับจากเบรนแดน รอดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในเวลานั้นลงในเวบไซด์อย่างเป็นทางการของสโมสรอีกต่างหาก จนเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ฟูแล่มไม่พอใจมาก เพราะการซื้อขายยังอยู่ในช่วงเจรจากันอยู่ แน่นอนฟูแล่มก็ร้องเรียนไปยังพรีเมียร์ลีกเช่นกัน เป็นเรื่องเป็นราวกันอยู่พักใหญ่ จนทอม เวอร์เนอร์ ต้องโทรศัพท์ไปขอโทษต่อโมฮาเหมด อัล ฟาเยด ประธานสโมสรฟูแล่มด้วยตัวเอง เรื่องจึงคลี่คลายไปได้ การเจรจากลับมาพูดคุยกันต่อ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างแผลในใจให้กับทั้งทางฟูแล่มและเดมป์ซี่ย์ไว้ไม่ใช่น้อย จนสุดท้ายเป็นท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เป็นตาอยู่คว้าเดมป์ซี่ย์ไปร่วมทีมในนาทีสุดท้ายก่อนตลาดนักเตะจะปิดตัวลง
เดจา วู !!
ผมเข้าใจว่าด้วยความที่ทั้งจอห์น เฮนรี่และทอม เวอร์เนอร์ ต่างเคยมีประสบการณ์แล้ว จึงรีบออกมาลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่ เพราะหากโดนตรวจสอบจริงๆ ยังไงความผิดมันมีแน่ๆ และผลที่ตามมาจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียงของสโมสร ในการทำธุรกิจอื่นๆ จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ทุกวันนี้ แม้กฎจะห้ามไม่ให้ติดต่อนักเตะโดยตรงก่อนที่สโมสรต้นสังกัดจะอนุญาต แต่การปฎิบัติจริงๆเป็นเรื่องปกติของแทบทุกสโมสรอยู่แล้ว ที่เวลาสนใจนักเตะคนไหนจะเข้าไปพูดคุยกับเอเย่นต์เพื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้และความสนใจของตัวนักเตะต่อสโมสรก่อน เราได้อ่านข่าว ได้ตามข่าวแบบนี้กันทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์ กรณีนี้ มันไม่ใช่เรื่องการติดต่อนักเตะที่เซาท์แธมป์ตันไม่พอใจ แต่เป็นวิธีการนำเสนอที่ต้องบอกว่า “ไม่มีรสนิยมและไร้มารยาท” ของใครสักคนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมาจากในสโมสรมากกว่า นั่นทำให้เซาท์แธมป์ตันรู้สึกตัวเองไม่ถูกเคารพมากเท่าที่ควรจะเป็นและไม่พอใจ ที่ตัวเองเหมือนถูกทำให้เป็นตัวปัญหาของการซื้อขายในครั้งนี้ จึงยื่นฟ้องต่อพรีเมียร์ลีก ก็หวังว่าถ้อยแถลงการณ์ขอโทษอย่างสุภาพชนครั้งนี้ของลิเวอร์พูล จะทำให้บรรยากาศที่กำลัง “มาคุ” ระหว่างทั้ง 2 สโมสร กลับมาดีดั่งเดิมอีกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นลูกค้าประจำกันมาหลายปี (อิอิ) ส่วนเรื่องภายในสโมสรโดยเฉพาะเรื่องกลยุทธ์การซื้อขาย คงต้องมาไล่เรียงกันว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงมีการสื่อสารที่ผิดพลาดมหันต์แบบนี้ออกมา
ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ด ในฐานะผู้อำนวยการกีฬา หัวเรือใหญ่ในการซื้อขายผู้เล่น คงเตรียมคำอธิบายให้กับทั้งเฮนรี่, เวอร์เนอร์ และไมค์ กอร์ดอน ไว้แล้ว แต่จะฟังขึ้นหรือไม่ อันนี้ก็ต้องตามข่าวกันต่อไป ผมเชื่อว่าบทเรียนในครั้งนี้ น่าจะทำให้ทีมงานรอบคอบในการให้ข่าวครั้งต่อไปในอนาคต ทุกวันนี้กระแสสังคมออนไลน์ มีอิทธิพลสูงมาก ข่าวแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง และรวดเร็ว จากเดิมที่อาจจะรับรู้แค่คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ ปัจจุบันนี้ทุกคนสามารถรับรู้ข่าวสาร ข่าวลือ ได้ทุกอย่างผ่านทางมือถือเครื่องเดียว การกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ ไม่ใช่สาระสำคัญของการนำเสนอข่าวอีกต่อไป ยิ่งข่าวซื้อๆขายๆ มันเป็นอะไรที่คนชอบ ยิ่งแห่กันเต้าข่าว แห่กันสร้างเรื่องเพื่อขายข่าว ตรงนี้อยากจะให้ทุกคนที่อ่านข้อความตรงนี้ หนักแน่น และอย่ามีอารมณ์ร่วมไปกับข่าวเหล่านี้มากนัก เดี๋ยวจะอารมณ์เสียหัวร้อนกัน
ฟาน ไดจ์ค ... หมากที่ผิดพลาดของหงส์แดง
ประเด็นปัญหาการซื้อขายระหว่างเซาท์แธมป์ตัน กับลิเวอร์พูล ในตัวของเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ดูจะเป็นประเด็นที่แฟนบอลต่างให้ความสนใจอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเซาท์แธมป์ตันขู่ยื่นจะฟ้องต่อพรีเมียร์ลีก จนลิเวอร์พูลต้องประกาศแถลงการณ์ในเวบทางการเพื่อ "ขอโทษ" หลายๆคนสงสัยว่า การแสดงออกแบบนี้ของสโมสร มันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า แล้วไอ้แถลงการณ์แบบนี้มันจะช่วยให้บรรยากาศที่กำลังครุกรุ่นได้จริงหรือ ? เชื่อหรือไม่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในยุคของ FSG บทต่อไปของมหากาพย์การซื้อขายของลิเวอร์พูลจะเป็นเช่นไร ?
ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ในคอลัมน์ของผม เขียนบันทึกเรื่องราวพร้อมทั้งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับแฟนลิเวอร์พูล แฟนเซาท์แธมป์ตัน และแฟนบอลที่สนใจได้ลองอ่านกันครับ ก่อนอ่านก็สูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สบาย คิดซะว่าเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง จะได้ไม่ต้องซีเรียสครับ
ถ้าพร้อมแล้ว นับ 1 ... 2 ... 3 แล้วไปกันเลย !!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คอลัมน์ ต้นทางฟุตบอล https://story.pptvhd36.com/@aitonsk/5938d42483dcb
“สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลขอแสดงความเสียใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีข่าวลือการซื้อนักเตะจากสโมสรเซาท์แธมป์ตัน”
“ทางลิเวอร์พูลเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากจะขอโทษไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าของสโมสร, ทีมผู้บริหาร ตลอดจนถึงแฟนฟุตบอลทีมเซาท์แธมป์ตัน ในกรณีความเข้าใจผิดกันเรื่องการเซ็นสัญญาเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค”
“สโมสรเคารพในจุดยืนของทีมเซาท์แธมป์ตัน และขอยืนยันว่าความสนใจในตัวนักเตะจากเราได้สิ้นสุดแล้ว”
ถ้อยแถลงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของลิเวอร์พูล ถูกตีพิมพ์ออกมาอย่างด่วนที่สุดกลางดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยเนื้อความกล่าวถึงประเด็นที่กำลังเป็นที่โจษจันอยู่ในเวลานี้ นั่นคือ ข่าวที่เซาท์แธมป์ตันยื่นเรื่องฟ้องพรีเมียร์ลีก กรณีลิเวอร์พูลแอบติดต่อนักเตะของพวกเขาอย่างไม่ถูกต้อง
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 5 ทุ่ม นักข่าวทุกสำนักไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล เอคโค่ สื่อท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับสโมรสรมากที่สุด, สกายสปอร์ต, เดอะ ไทม หรือรวมไปถึงสื่อที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดอย่างบีบีซี ต่างพร้อมใจกันปล่อยข่าว เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ตกลงสัญญาส่วนตัวกับลิเวอร์พูลได้แล้ว และไม่สนจะย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่นแต่อย่างใด ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา บรรดาแฟนเพจรวมไปถึงแฟนคลับต่างเฮโลกันตีข่าวที่น่ายินดีนี้กันอย่างสนุกสนาน โดยที่ยังไม่ตระหนักว่า ข่าวที่ออกมานั้นสุดท้ายมันจะวกกลับมาทิ่มแทงชื่อเสียงของสโมสรนั้นเอง
ถ้าใครที่เป็นเพื่อนหรือเป็นผู้ที่ติดตามผมในเฟสบุคส่วนตัว (ใครยังไม่ตามมากดติดตามได้นะฮะ แฮร่) ทันทีที่ข่าวนี้หลุดออกมา ในคืนนั้น ผมโพสต์เฟสบุคถึงความไม่ชอบมาพากลของข่าวนี้ทันที สำหรับคนที่ติดตามการซื้อขายมาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานานอย่างผม เรื่องที่แปลกใจที่สุดคงหนีไม่พ้น ข่าวนี้ มันดูจงใจเหมือนถูกปล่อยจากคนใน เพราะเนื้อหาของข่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีบทสัมภาษณ์ หรือไม่มีเนื้อหาอะไรมากไปกว่า บอกว่าฟาน ไดจ์ค ตกลงสัญญาส่วนตัวกับลิเวอร์พูลได้แล้ว ทุกหัวเป็นสำเนาแบบเดียวกัน ต่างกันตรงอาจจะมีการเสริมรายละเอียดเข้ามาที่แตกต่างกัน แต่ท้ายข่าวทุกสำนักจะลงท้ายคล้ายๆกัน นั่นคือ เหลือแค่ลิเวอร์พูลตกลงค่าตัวกับเซาท์แธมป์ตันให้ได้ ฟาน ไดจ์ค จะกลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลทันที
อ้าวเฮ้ย !! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า ...
ตัดฉับย้อนไปก่อนหน้าข่าวนี้จะออกจากปากสื่อ ทางเซาท์แธมป์ตันยืนยันผ่านสื่อเหมือนกันว่าไม่มีความต้องการที่จะขายเวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ออกไป นอกจากจะมีข้อเสนอที่ไม่สามารถปฎิเสธได้จริงๆ ซึ่งก็มีแอบโปรยไว้ว่าถ้าได้ค่าตัวสัก 50-60 ล้านปอนด์ ก็น่าจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนได้ ที่แพงหูฉี่ขนาดนี้เพราะนักเตะเพิ่มขยายสัญญาออกไปอีก 5 ปี อำนาจทุกอย่างจึงอยู่ในมือของทางสโมสรมากกว่าตัวนักเตะ
ลิเวอร์พูลรู้สถานการณ์ทุกอย่าง เพราะทางทีมนักบุญก็แบะท่าพร้อมขาย(ในราคาแพง) ถ้าอยากได้ก็จ่ายมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง นั่นคือ นอกจากข่าวฟาน ไดจ์ค รายวันที่บรรดาสื่อหรือแฟนเพจเอามาแปลกันอย่างสนุกสนาน ลิเวอร์พูลไม่เคยติดต่อหรือยื่นราคาขอซื้อฟาน ไดจ์ค เข้าไปยังเซาท์แธมป์ตันอย่างเป็นทางการ !!
แบบนี้ทางเซาท์แธมป์ตันอยู่ไม่ได้แล้ว นี่มันไม่เคารพกันชัด ว่าแล้วนอกจากจะเปลี่ยนจุดยืนทางด้านค่าตัวของฟาน ไดจ์ค จากแพง เป็นโค-ตะ-ระ-แพง แล้ว ยังส่งเรื่องไปให้พรีเมียร์ลีกตีความด้วย เนื่องจากการติดต่อนักเตะโดยตรงโดยที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากสโมสร มันผิดกฎการซื้อขาย และแทบจะในทันที พรีเมียร์ลีก ก็ส่งคนขอเข้ามาจับตาดูการซื้อขายในดีลนี้ เพื่อป้องกันการทำผิดกฎ ตามที่ทีมนักบุญร้องเรียนไป
และนี่คือ สาเหตุของแถลงการณ์ด่วนในเว็บทางการ ตามที่ผมเอามาให้ได้อ่านกันตรงหัวบทความนี้ เป็นคำสั่งด่วนและส่งตรงจาก จอห์น เฮนรี่ และ ทอม เวอร์เนอร์ 2 เจ้าของสโมสร ที่เข้ามาลดกระแสข่าวลือว่าพรีเมียร์ลีกอาจจะลงโทษลิเวอร์พูล กรณีทำผิดกฎ ข่าวรายงานว่าจอห์น เฮนรี่ ต่อสายตรงไปยัง ราล์ฟ คลูเอเกอร์ ประธานสโมสรเซาท์แธมป์ตัน ในเช้าวันพุธที่ผ่านมา(ตามเวลาอเมริกา) เพื่อแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และจะแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อให้ทุกคนได้ทราบ เป็นการรักษาชื่อเสียงของทั้ง 2 สโมสร
ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในยุคของ FSG เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2012 เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของ “กัปตันอเมริกา” คลิ้นท์ เดมป์ซี่ย์ โดยในครั้งนั้น เป็นทอม เวอร์เนอร์ 1 ในเจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล ที่หลุดปากให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เดมป์ซี่ย์ เป็นนักเตะลิเวอร์พูลแล้ว แถมยังมีบทความต้อนรับจากเบรนแดน รอดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในเวลานั้นลงในเวบไซด์อย่างเป็นทางการของสโมสรอีกต่างหาก จนเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ฟูแล่มไม่พอใจมาก เพราะการซื้อขายยังอยู่ในช่วงเจรจากันอยู่ แน่นอนฟูแล่มก็ร้องเรียนไปยังพรีเมียร์ลีกเช่นกัน เป็นเรื่องเป็นราวกันอยู่พักใหญ่ จนทอม เวอร์เนอร์ ต้องโทรศัพท์ไปขอโทษต่อโมฮาเหมด อัล ฟาเยด ประธานสโมสรฟูแล่มด้วยตัวเอง เรื่องจึงคลี่คลายไปได้ การเจรจากลับมาพูดคุยกันต่อ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างแผลในใจให้กับทั้งทางฟูแล่มและเดมป์ซี่ย์ไว้ไม่ใช่น้อย จนสุดท้ายเป็นท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เป็นตาอยู่คว้าเดมป์ซี่ย์ไปร่วมทีมในนาทีสุดท้ายก่อนตลาดนักเตะจะปิดตัวลง
เดจา วู !!
ผมเข้าใจว่าด้วยความที่ทั้งจอห์น เฮนรี่และทอม เวอร์เนอร์ ต่างเคยมีประสบการณ์แล้ว จึงรีบออกมาลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่ เพราะหากโดนตรวจสอบจริงๆ ยังไงความผิดมันมีแน่ๆ และผลที่ตามมาจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียงของสโมสร ในการทำธุรกิจอื่นๆ จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ทุกวันนี้ แม้กฎจะห้ามไม่ให้ติดต่อนักเตะโดยตรงก่อนที่สโมสรต้นสังกัดจะอนุญาต แต่การปฎิบัติจริงๆเป็นเรื่องปกติของแทบทุกสโมสรอยู่แล้ว ที่เวลาสนใจนักเตะคนไหนจะเข้าไปพูดคุยกับเอเย่นต์เพื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้และความสนใจของตัวนักเตะต่อสโมสรก่อน เราได้อ่านข่าว ได้ตามข่าวแบบนี้กันทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์ กรณีนี้ มันไม่ใช่เรื่องการติดต่อนักเตะที่เซาท์แธมป์ตันไม่พอใจ แต่เป็นวิธีการนำเสนอที่ต้องบอกว่า “ไม่มีรสนิยมและไร้มารยาท” ของใครสักคนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมาจากในสโมสรมากกว่า นั่นทำให้เซาท์แธมป์ตันรู้สึกตัวเองไม่ถูกเคารพมากเท่าที่ควรจะเป็นและไม่พอใจ ที่ตัวเองเหมือนถูกทำให้เป็นตัวปัญหาของการซื้อขายในครั้งนี้ จึงยื่นฟ้องต่อพรีเมียร์ลีก ก็หวังว่าถ้อยแถลงการณ์ขอโทษอย่างสุภาพชนครั้งนี้ของลิเวอร์พูล จะทำให้บรรยากาศที่กำลัง “มาคุ” ระหว่างทั้ง 2 สโมสร กลับมาดีดั่งเดิมอีกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นลูกค้าประจำกันมาหลายปี (อิอิ) ส่วนเรื่องภายในสโมสรโดยเฉพาะเรื่องกลยุทธ์การซื้อขาย คงต้องมาไล่เรียงกันว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงมีการสื่อสารที่ผิดพลาดมหันต์แบบนี้ออกมา
ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ด ในฐานะผู้อำนวยการกีฬา หัวเรือใหญ่ในการซื้อขายผู้เล่น คงเตรียมคำอธิบายให้กับทั้งเฮนรี่, เวอร์เนอร์ และไมค์ กอร์ดอน ไว้แล้ว แต่จะฟังขึ้นหรือไม่ อันนี้ก็ต้องตามข่าวกันต่อไป ผมเชื่อว่าบทเรียนในครั้งนี้ น่าจะทำให้ทีมงานรอบคอบในการให้ข่าวครั้งต่อไปในอนาคต ทุกวันนี้กระแสสังคมออนไลน์ มีอิทธิพลสูงมาก ข่าวแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง และรวดเร็ว จากเดิมที่อาจจะรับรู้แค่คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ ปัจจุบันนี้ทุกคนสามารถรับรู้ข่าวสาร ข่าวลือ ได้ทุกอย่างผ่านทางมือถือเครื่องเดียว การกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ ไม่ใช่สาระสำคัญของการนำเสนอข่าวอีกต่อไป ยิ่งข่าวซื้อๆขายๆ มันเป็นอะไรที่คนชอบ ยิ่งแห่กันเต้าข่าว แห่กันสร้างเรื่องเพื่อขายข่าว ตรงนี้อยากจะให้ทุกคนที่อ่านข้อความตรงนี้ หนักแน่น และอย่ามีอารมณ์ร่วมไปกับข่าวเหล่านี้มากนัก เดี๋ยวจะอารมณ์เสียหัวร้อนกัน