สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเดินป่าส่องสัตว์กันที่ประเทศเนปาลกันนะครับ.
อย่างแรกเลยนะครับ การมาที่ซาฟารีนี้เราจะต้องเดินทางมาที่เมือง Chitwan นะครับ ซึ่งจะสามารถเดินทางมาได้2วิธีนะครับ
1.Tourist bus อันนี้จะเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่เลือกนะครับ เพราะว่ามันจะถูกกว่ามากครับ แถมระยะเวลาไม่ค่อยไกลมาก ประมาณ 5-6ชม. ซึ่งระหว่างทางก็มีแวะห้องน้ำ , ร้านอาหารตามปกติครับ. ราคาอยู่ที่ 500-600รูปืครับ แล้วแต่บริษัทที่จองนะครับ.
2.เครื่องบิน อันนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งรถนานๆนะครับ. ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 USD ต่อเที่ยวนะครับ (ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว)
*ต้องบินมาลงที่เมือง Bharatpur นะครับ*
*1บาทจะประมาณ3.5รูปีนะครับ
สำหรับเมือง Chitwan ผมเลือกพักที่ Hotel Rhino Land นะครับ, ราคาอยู่ที่ประมาณ 200บาทต่อคืนเองครับ เป็นห้องส่วนตัว มีแอร์ มีมุ้งกันยุงให้เรียบร้อย. แล้วที่นี่จะมีทัวร์สำหรับซาฟารีเยอะมากและที่สำคัญพนักงานนี่เป็นกันเองสุดๆครับ. ถึงขนาดไปรับผมฟรีที่ป้ายรถบัสเลย.
คนส่วนใหญ่ที่มา Chitwan จะเลือกเป็น Jeep safari ครับ เพราะเป็นแบบนั่งรถดูสัตว์สบายๆเหมือนตามแอฟริกาอะครับ.
แต่สำหรับผมที่เคยนั่ง Jeep safari มาแล้วที่แอฟริกา รอบนี้เลยเลือกเป็น Walking safari ครับ. มันดูท้าทายและน่าตี่นเต้น รวมถึงอาจจะมีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับสัตว์มากกว่าครับ.
ส่วนใหญ่สัตว์ที่คนจะมาดูที่ Chitwan นี่จะมีอยู่2ชนิดนะครับ. คือเสือกับแรด ซึ่งสำหรับตัวผมอยากเจอแรดมากกว่าเพราะเห็นว่าเป็นพันธุ์ Greater one horned rhino ซึ่งเหลืออยู่แค่ไม่ถึง2,000ตัว ทั่วโลกนะครับ. ส่วนในเนปาลเหลือแค่ประมาณ 100กว่าตัวครับ. เลยคิดว่าคงจะโชคดีมากถ้าได้เจอใกล้ๆซักตัว.
มาถึงสิ่งที่ควรเตรียมไปสำหรับการไป Walking safari นะครับ.
-ยากันยุง อันนี้สำคัญมาก ในป่ายุงค่อนข้างเยอะครับ
-ยาหม่อง ไว้เผื่อโดนแมลงกัดต่อย
-ให้ใส่กางเกงขายาวครับ กันแมลงได้เยอะครับ
-น้ำ เตรียมไปซัก 2 ขวดใหญ่ครับ
-ของกิน คือเราจะไปกินข้าวกันในป่าเลยครับ ก็ติดพวกขนมปังหรืออาหารกระป๋องที่กินง่ายๆไปครับ
*และที่สำคัญที่สุดคือความอดทนครับ การมาเดินส่องสัตว์มัน เราต้องอดทนครับ อาจจะใช้เวลานานหน่อย ในการที่จะเจอสัตว์ตัวนึงครับ.
ราคาของ Walking safari ของผมนี่อยู่ที่ 55 USDนะครับ คือสามารถเลือกได้จะเอาเต็มวันหรือครึ่งวัน (ถ้าครึ่งวันนี่จะอยู่ที่ประมาณ 40 USD ครับ) ซึ่งผมเลือกแบบเต็มวันครับเพราะไหนๆก็มาแล้ว. จะหามันทั้งวันนี่แหละ.
วันรุ่งขึ้นเราเริ่มออกเดินทางกันประมาณ 7โมงครึ่งครับ ต้องผ่านด่านตรวจก่อน
หลังจากนั้นเราจะต้องนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้
เรือจะเก่าๆประมาณนี้ครับ(เหนคนท้องถิ่นบอกว่าแม่น้ำนี้จระเข้ค่อนข้างเยอะทีเดียว)
พอมาถึงเราจะเห็นรถ Jeep เยอะพอสมควร , แต่ของเราจะเป็นแบบเดินนะครับ คือก็จะมืไกด์ไปกับเราด้วยอีก2คน ไม่งั้นหลงแน่นอนครับ.
หลังจากที่เจอไกด์เราก็ตามทางรถไปก่อนครับ
ละซักพักก็คือแบบเข้าไปในแบบกลางป่าจิงๆเลย น่าตื่นเต้นดีครับ มองไปทางไหนก็เหมีอนกันหมด.
เวลาเดินอยู่ละได้ยินเสียงนกหรือเสียงอะไร , ไกด์ก็จะอธิบายครับว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน ประเภทไหน.
ส่วนใหญ่ที่เจอเยอะก็จะพวกนกละก็หมูป่าครับ , (หมูป่านี่ผมถ่ายรูปไม่ทันครับเพราะมันวิ่งค่อนข้างเร็วทีเดียว)
เจอแอ่งน้ำเป็นบางส่วนครับ, ก็ต้องเดินฝ่าไป555
อันนี้เป็นขนนกยูง
หลังจากผ่านครึ่งเช้าไปเราก็ยังไม่เจอพวกแรดหรือเสือนะครับ, ตอนแรกก็คิดไว้ละว่าดวงซวยอีกชัว ไม่เจอแหง. เลยลองถามไกด์เล่นๆ ว่าคิดว่าจะเจอแรดมั้ย ขอคำตอบจริงๆ ไม่เอาแบบที่พูดให้ผมดีใจ555. ไกด์ก็นิ่งๆไป ละตอบกลับว่าส่วนใหญ่90%ของลูกค้าเค้าจะเจอหมดนะ. ผมก็แบบโอเค มาดูกันว่าผมจะเป็น10%ที่เหลือหรือไม่
ครึ่งบ่ายเราเริ่มเปลี่ยนทางเดินกันครับ. ซึ่งในตอนเช้าเราจะเน้นเดินในป่า แต่ช่วงบ่ายเราจะเปลี่ยนไปเดินตามทุ่งแทนเพราะไกด์บอกว่าตามทุ่งจะสังเกตสัตว์ได้ง่ายกว่า.
พอเดินมาประมาณ 2ชม. ในที่สุดแรดตัวแรกก็โผล่มาครับ. เค้าบอกต้องเว้ยระยะห่างกับแรดไว้(แต่อันนี้ผมจำไม่ได่จริงๆว่าอยู่ที่กี่เมตรครับ)
แต่ก็ถือว่าห่างกับแรดไม่ไกลเลยครับ , เห็นค่อนข้างชัดเลย
และแล้วก่อนที่เราจะกลับกัน แรดมันก็จ้องมาที่ผมกับไกด์ครับแล้วก็เดินเข้ามา, อารมณ์ตอนนั้นคือแบบผมเหงื่อท่วมตัวเลย แล้วก็รีบถามไกด์ว่าทำไงดี , ไกด์ก็บอกเด่วนับ1,2,3 ละวิ่ง. ตอนนั้นผมคิดเลยให้วิ่งหนีแรด คือยังไงก็ไม่รอดอะเอาจริง55555 แต่จริงๆแล้วคือไกด์เค้าพูดเล่นครับ เค้าบอกว่าแรดที่นี่จะไม่กินเนื้อสัตว์ครับ กินแค่พืช.
ผมนี่โล่งเลย555 หลังจากได่เจอแรด 2ตัว เราก็เดินทางกลับกันครับ. แต่ทางไกด์เค้าบอกว่าตอนเย็นเด่วจะพาไปนั่งแถวริมแม่น้ำเพื่อดูพระอาทิตย์ตกกันครับ.
เดินผ่านตรงนี้เป็นที่เก็บช้างนะครับ , ผมขอแนะนำว่าถ้าไปที่นี่อย่าขึ้นขี่ช้างนะครับ เพราะช้างมันโดนทรมานหนักมาก เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆครับ
โดนล่ามโซ่เดินไปไหนไม่ได้เลย.
ก่อนทื่พระอาทิตย์จะตก, เราก็ได้เจอแรดอีกแล้วนะครับ (โชคดีจริงๆ55) กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำเลยครับ. ตอนแรกผมก็ถามไกด์ว่าแรดมันไม่โดนจระเข้กินหรอ, แต่เค้าบอกว่าจระเข้ที่นี่มันจะกลัวแรด ซึ่งแปลกมากเพราะแรดที่นื่ก็ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว.
วิวพระอาทิตย์ตกครับ เงียบสงบจริงๆ
ส่วนข้าวเย็นก็ต้องเมนูทีเด็ดของที่เนปาลกันนะครับนั่นก็คือ Dal Bhat, อันนี้กินทุกวันไม่เบื่อจริงๆ.
ปิดท้ายด้วยการเจอแรดอยู่ในเมืองเลยครับ, ดูมันไม่กลัวคนเลย. อันนี้ถือว่าเป็นโบนัสมากๆเลยครับ. เพราะเห็นคนท้องถิ่นบอกว่านานๆทีจะมีแรดโผล่มาในเมืองที.
สรุปทริปนี้ก็เป็นอีกครั้งนะครับที่ได้เจอประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ. โดยรวมถือว่าดีกว่าที่คิดเยอะเลยครับ. ถึงจะเดินทั้งวันแต่คือไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเท่าไรเลยเพราะมันมีสิ่งต่างๆรอบตัวที่ทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลา. ถ้าใครมีโอกาสมาลอง Walking safari ดูได้นะครับ รับรองสนุกกว่าที่คิดไว้แน่นอน.
[CR] เดินเท้าส่องสัตว์ ณ Chitwan national park
อย่างแรกเลยนะครับ การมาที่ซาฟารีนี้เราจะต้องเดินทางมาที่เมือง Chitwan นะครับ ซึ่งจะสามารถเดินทางมาได้2วิธีนะครับ
1.Tourist bus อันนี้จะเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่เลือกนะครับ เพราะว่ามันจะถูกกว่ามากครับ แถมระยะเวลาไม่ค่อยไกลมาก ประมาณ 5-6ชม. ซึ่งระหว่างทางก็มีแวะห้องน้ำ , ร้านอาหารตามปกติครับ. ราคาอยู่ที่ 500-600รูปืครับ แล้วแต่บริษัทที่จองนะครับ.
2.เครื่องบิน อันนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งรถนานๆนะครับ. ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 USD ต่อเที่ยวนะครับ (ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว)
*ต้องบินมาลงที่เมือง Bharatpur นะครับ*
*1บาทจะประมาณ3.5รูปีนะครับ
สำหรับเมือง Chitwan ผมเลือกพักที่ Hotel Rhino Land นะครับ, ราคาอยู่ที่ประมาณ 200บาทต่อคืนเองครับ เป็นห้องส่วนตัว มีแอร์ มีมุ้งกันยุงให้เรียบร้อย. แล้วที่นี่จะมีทัวร์สำหรับซาฟารีเยอะมากและที่สำคัญพนักงานนี่เป็นกันเองสุดๆครับ. ถึงขนาดไปรับผมฟรีที่ป้ายรถบัสเลย.
คนส่วนใหญ่ที่มา Chitwan จะเลือกเป็น Jeep safari ครับ เพราะเป็นแบบนั่งรถดูสัตว์สบายๆเหมือนตามแอฟริกาอะครับ.
แต่สำหรับผมที่เคยนั่ง Jeep safari มาแล้วที่แอฟริกา รอบนี้เลยเลือกเป็น Walking safari ครับ. มันดูท้าทายและน่าตี่นเต้น รวมถึงอาจจะมีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับสัตว์มากกว่าครับ.
ส่วนใหญ่สัตว์ที่คนจะมาดูที่ Chitwan นี่จะมีอยู่2ชนิดนะครับ. คือเสือกับแรด ซึ่งสำหรับตัวผมอยากเจอแรดมากกว่าเพราะเห็นว่าเป็นพันธุ์ Greater one horned rhino ซึ่งเหลืออยู่แค่ไม่ถึง2,000ตัว ทั่วโลกนะครับ. ส่วนในเนปาลเหลือแค่ประมาณ 100กว่าตัวครับ. เลยคิดว่าคงจะโชคดีมากถ้าได้เจอใกล้ๆซักตัว.
มาถึงสิ่งที่ควรเตรียมไปสำหรับการไป Walking safari นะครับ.
-ยากันยุง อันนี้สำคัญมาก ในป่ายุงค่อนข้างเยอะครับ
-ยาหม่อง ไว้เผื่อโดนแมลงกัดต่อย
-ให้ใส่กางเกงขายาวครับ กันแมลงได้เยอะครับ
-น้ำ เตรียมไปซัก 2 ขวดใหญ่ครับ
-ของกิน คือเราจะไปกินข้าวกันในป่าเลยครับ ก็ติดพวกขนมปังหรืออาหารกระป๋องที่กินง่ายๆไปครับ
*และที่สำคัญที่สุดคือความอดทนครับ การมาเดินส่องสัตว์มัน เราต้องอดทนครับ อาจจะใช้เวลานานหน่อย ในการที่จะเจอสัตว์ตัวนึงครับ.
ราคาของ Walking safari ของผมนี่อยู่ที่ 55 USDนะครับ คือสามารถเลือกได้จะเอาเต็มวันหรือครึ่งวัน (ถ้าครึ่งวันนี่จะอยู่ที่ประมาณ 40 USD ครับ) ซึ่งผมเลือกแบบเต็มวันครับเพราะไหนๆก็มาแล้ว. จะหามันทั้งวันนี่แหละ.
วันรุ่งขึ้นเราเริ่มออกเดินทางกันประมาณ 7โมงครึ่งครับ ต้องผ่านด่านตรวจก่อน
หลังจากนั้นเราจะต้องนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้
เรือจะเก่าๆประมาณนี้ครับ(เหนคนท้องถิ่นบอกว่าแม่น้ำนี้จระเข้ค่อนข้างเยอะทีเดียว)
พอมาถึงเราจะเห็นรถ Jeep เยอะพอสมควร , แต่ของเราจะเป็นแบบเดินนะครับ คือก็จะมืไกด์ไปกับเราด้วยอีก2คน ไม่งั้นหลงแน่นอนครับ.
หลังจากที่เจอไกด์เราก็ตามทางรถไปก่อนครับ
ละซักพักก็คือแบบเข้าไปในแบบกลางป่าจิงๆเลย น่าตื่นเต้นดีครับ มองไปทางไหนก็เหมีอนกันหมด.
เวลาเดินอยู่ละได้ยินเสียงนกหรือเสียงอะไร , ไกด์ก็จะอธิบายครับว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน ประเภทไหน.
ส่วนใหญ่ที่เจอเยอะก็จะพวกนกละก็หมูป่าครับ , (หมูป่านี่ผมถ่ายรูปไม่ทันครับเพราะมันวิ่งค่อนข้างเร็วทีเดียว)
เจอแอ่งน้ำเป็นบางส่วนครับ, ก็ต้องเดินฝ่าไป555
อันนี้เป็นขนนกยูง
หลังจากผ่านครึ่งเช้าไปเราก็ยังไม่เจอพวกแรดหรือเสือนะครับ, ตอนแรกก็คิดไว้ละว่าดวงซวยอีกชัว ไม่เจอแหง. เลยลองถามไกด์เล่นๆ ว่าคิดว่าจะเจอแรดมั้ย ขอคำตอบจริงๆ ไม่เอาแบบที่พูดให้ผมดีใจ555. ไกด์ก็นิ่งๆไป ละตอบกลับว่าส่วนใหญ่90%ของลูกค้าเค้าจะเจอหมดนะ. ผมก็แบบโอเค มาดูกันว่าผมจะเป็น10%ที่เหลือหรือไม่
ครึ่งบ่ายเราเริ่มเปลี่ยนทางเดินกันครับ. ซึ่งในตอนเช้าเราจะเน้นเดินในป่า แต่ช่วงบ่ายเราจะเปลี่ยนไปเดินตามทุ่งแทนเพราะไกด์บอกว่าตามทุ่งจะสังเกตสัตว์ได้ง่ายกว่า.
พอเดินมาประมาณ 2ชม. ในที่สุดแรดตัวแรกก็โผล่มาครับ. เค้าบอกต้องเว้ยระยะห่างกับแรดไว้(แต่อันนี้ผมจำไม่ได่จริงๆว่าอยู่ที่กี่เมตรครับ)
แต่ก็ถือว่าห่างกับแรดไม่ไกลเลยครับ , เห็นค่อนข้างชัดเลย
และแล้วก่อนที่เราจะกลับกัน แรดมันก็จ้องมาที่ผมกับไกด์ครับแล้วก็เดินเข้ามา, อารมณ์ตอนนั้นคือแบบผมเหงื่อท่วมตัวเลย แล้วก็รีบถามไกด์ว่าทำไงดี , ไกด์ก็บอกเด่วนับ1,2,3 ละวิ่ง. ตอนนั้นผมคิดเลยให้วิ่งหนีแรด คือยังไงก็ไม่รอดอะเอาจริง55555 แต่จริงๆแล้วคือไกด์เค้าพูดเล่นครับ เค้าบอกว่าแรดที่นี่จะไม่กินเนื้อสัตว์ครับ กินแค่พืช.
ผมนี่โล่งเลย555 หลังจากได่เจอแรด 2ตัว เราก็เดินทางกลับกันครับ. แต่ทางไกด์เค้าบอกว่าตอนเย็นเด่วจะพาไปนั่งแถวริมแม่น้ำเพื่อดูพระอาทิตย์ตกกันครับ.
เดินผ่านตรงนี้เป็นที่เก็บช้างนะครับ , ผมขอแนะนำว่าถ้าไปที่นี่อย่าขึ้นขี่ช้างนะครับ เพราะช้างมันโดนทรมานหนักมาก เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆครับ
โดนล่ามโซ่เดินไปไหนไม่ได้เลย.
ก่อนทื่พระอาทิตย์จะตก, เราก็ได้เจอแรดอีกแล้วนะครับ (โชคดีจริงๆ55) กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำเลยครับ. ตอนแรกผมก็ถามไกด์ว่าแรดมันไม่โดนจระเข้กินหรอ, แต่เค้าบอกว่าจระเข้ที่นี่มันจะกลัวแรด ซึ่งแปลกมากเพราะแรดที่นื่ก็ไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว.
วิวพระอาทิตย์ตกครับ เงียบสงบจริงๆ
ส่วนข้าวเย็นก็ต้องเมนูทีเด็ดของที่เนปาลกันนะครับนั่นก็คือ Dal Bhat, อันนี้กินทุกวันไม่เบื่อจริงๆ.
ปิดท้ายด้วยการเจอแรดอยู่ในเมืองเลยครับ, ดูมันไม่กลัวคนเลย. อันนี้ถือว่าเป็นโบนัสมากๆเลยครับ. เพราะเห็นคนท้องถิ่นบอกว่านานๆทีจะมีแรดโผล่มาในเมืองที.
สรุปทริปนี้ก็เป็นอีกครั้งนะครับที่ได้เจอประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ. โดยรวมถือว่าดีกว่าที่คิดเยอะเลยครับ. ถึงจะเดินทั้งวันแต่คือไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเท่าไรเลยเพราะมันมีสิ่งต่างๆรอบตัวที่ทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลา. ถ้าใครมีโอกาสมาลอง Walking safari ดูได้นะครับ รับรองสนุกกว่าที่คิดไว้แน่นอน.
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้