นิยายผจญภัยในป่า_ตอนผจญมนุษย์ไม้แห่งอาณาจักรเมืองร้าง#2

กระทู้สนทนา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

นครเมืองร้างในเวลาก่อนเที่ยงคืน เงียบสงัดไม่มีแม้เสียงแมลงขับขาน เขตพระราชวังเหมือนภูเขาย่อม ๆ มีวัชพืชขึ้นปกคลุม สถาปัตยกรรมอันงดงามเหล่านั้นที่หมอกฤษณ์ได้เห็นในอีกมิติ แทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่เดิมทีคือศูนย์กลางของนครที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด นครที่ไม่เคยปรากฏในแผนที่โลก มันผุพังเป็นหินเป็นทรายไม่เหลือเค้าโครงเดิม ซึ่งกว่ามาถึงในสภาพปัจจุบัน ธรรมชาติจะต้องใช้ระยะเวลามาอย่างยาวนานในการย่อยสลาย

ต่างกันกับด้านนอกคือสิ่งปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนของอาณาราษฎร ที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยเถาวัลย์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่รัดโครงสร้างเอาไว้ให้ทรงตัวอยู่ได้ สูงขึ้นไปคือไม้ยืนต้นขนาดยักษ์ที่แทงลำต้นสูงล้ำ แผ่กิ่งก้านเป็นหลังคาป่าครอบทั้งนครเอาไว้ ไร้สิ้นแสงอาทิตย์ และแสงดาวส่องถึงมาตลอดกาล
หมอกฤษณ์ยืนมองด้วยความตะลึง รอบด้านห่างออกไปเห็นพลังงานแสงสีต่าง ๆ วิ่งไปมาเหมือนผีพุ่งไต้ บ้างหยุดนิ่งลอยอยู่กลางอากาศ พอเขาปิดไฟฉายจึงเห็นเป็นเงาดำยืนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน โครงร่างผอมแห้งกะรุ่งกะริ่ง ที่ลงไปนอนกับพื้นคลานอย่างสิ้นเรี่ยวแรงสภาพเหมือนคนอดอยากหิวโซ พอถึงเวลาเที่ยงคืน ดวงวิญญาณเหล่านี้จะกลายเป็นบรรดาชาวเมืองผู้มีอาภรณ์สวยงาม ใบหน้าแช่มชื่น ออกมาร่วมงานฉลอง เล่นดนตรี ร่ายรำกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ใช้ชีวิตอันแสนสุขสบายมากด้วยเงินทอง วนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยมา

เขาพึมพำออกมาเบา ๆ สถานที่แห่งนี้เสมือนนรกบนดิน สาบส่งดวงวิญญาณของผู้มีความโลภ หลง ยึดมั่นถือมั่นในบางสิ่งไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะหมดสิ้นกรรม

ในร่างของหมอกฤษณ์ยังมีดวงจิตของดาวพระเกตุ เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไป รู้แต่เพียงมีเขาเป็นเทพคุ้มครอง ตนเองไม่กลัวเกรงภัยใด ๆ

“พี่หมอจะยืนคิดอีกนานไหมคะ”
“ขอโทษทีจ้ะ มัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย พี่หมอจะต้องพาเกตุกลับเข้าร่างก่อนเที่ยงคืน”
“รู้แล้วก็ดีนะคะ นึกว่าแอบเสียดายทหารหนุ่มหล่อคนนั้น ฉันแอบเห็นน๊า”

เขามองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกชั่วโมงจะต้องออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่เมืองจะมีชีวิตขึ้นมา มันจะยุ่งยาก ไม่อยากมีปัญหากับพวกทหารเฝ้าเมือง แต่จะอาศัยไฟฉายกระบอกจิ๋วในมือคงไปไม่รอด ที่นี่มืดเสียจริง เห็นทีจะต้องก่อไฟขึ้น เพื่อเป็นแสงนำทางพวกคุณสัณฑ์ให้มารับ มันดีกว่าเสี่ยงคลำทางไปเอง

“พี่หมอจะจุดไฟแก้หนาว และเป็นไฟนำทางให้พวกเรามารับ เกตุช่วยมองหาฟืน หรืออะไรที่ติดได้หน่อย”
“ไม่เอาหนูกลัว ขออยู่ในตัวพี่หมอดีกว่า สบายดี...อุ่นดีด้วย”

ใต้ดินมีการเคลื่อนไหวอีกแล้วจนสองเท้ารู้สึกได้ มูลดินพูนขึ้นมาตามเส้นทางที่เหง้าของนางพญาเคลื่อน หมอกฤษณ์เดินตามเพราะมันไม่เร็วกว่าฝีเท้าคนเดินทอดน่องจะตามทัน

” ระวังหน่อยดีกว่า มันอาจรอดักเราอยู่ก็เป็นได้ “เกตุเตือน
หมอร้องโอ๊ะ! น้ำเสียงตื่นเต้น  “มันอาจเป็นพืชกินสัตว์จำพวกวางกับดักหลุมพราง เกือบเหยียบพลาดแล้ว ดินตรงนี้ข้างใต้มันมีโพรงแน่”

“พี่หมอ ร้องโวยวายทำไม  แค่ดินทรุดหน่อยเดียวเอง”

เห็นจะต้องทดลองบางอย่าง ตาก็มองหาวัสดุมาทำเชื้อเพลิงไปด้วย ไปเจอเอาอิฐก้อนใหญ่ ขนาดมันเกินกำลังคนเดียวจะยกได้ เกตุบอกย้ายไม่ได้แน่ เขายิ้มบอกจะใช้หลักการคานไม้ดีด โดยหาอิฐขนาดพอย้ายได้มาวาง แล้วไปเจอกิ่งไม้แห้งขนาดพอเหมาะ เกตุอึ้งมากที่เขาใช้หลักการสายวิทย์ให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้เรี่ยวแรงเท่าที่มี ดูไม่ได้หนักหนาอะไรเลย

ก้อนอิฐถูกดีดตกลงกลางมูลดินดังสวบ ผิวดินยุบลงตามแล้วเด้งขึ้นมาสภาพเดิม

“นางพญาอยู่ข้างล่างจริง ๆ ด้วย!” เขาร้องเสียงดัง

ข้างใต้ดินเริ่มเกิดอาการไหวยวบยาบเมื่อได้เหยื่อที่ตกลงไป จากนั้นก็เงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย หมอสั่นหน้าบ่นว่าแปลกจริง คราวนี้ทดลองเอาไม้แหย่ลงไป

“มีแรงสั่นสะเทือนเล็ก ๆ ตอบมา”

เพียงไม่กี่อึดใจแรงสั่นก็หยุดลง เขาเลยกระทุ้งไม้ลงไปแรง ๆ ดังสวบ ๆ รู้สึกถึงความหนืดเหนียว และกลิ่นเหม็นคาวลอยขึ้นมา พอทนกลิ่นไม่ไหวจึงก้าวถอยออกมา

“มันหยุดแล้ว แปลกจริง”
“แย่จริง ไม่ใช่ว่าพี่หมอ ทำมันตายแล้วนะ”
“ทำไมตายง่ายจัง”

เขาเอาปลายไม้แหย่ลงไปอีก คราวนี้คุ้ยดินขึ้นมาด้วย จนพอมองเห็นเปลือกของนางพญา ที่ร้ายกาจคือกลิ่นอันรุนแรงจนต้องถอยออกมาอีก

“ขอฉันลงไปดูมันหน่อย” ดวงจิตของเกตุลอยออกมา

“ไม่ได้นะเกตุ เราเป็นดวงจิตของคน ดำดินไม่ได้ ดวงจิตกับร่างกายมันสื่อถึงกัน มันจะไปกระทบร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ”

“ฉันแค่เข้าไปชะโงกหน้าดูใกล้ ๆ แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดดำดิน จมูกไม่ได้กลิ่นเหมือนพี่หมอด้วย มันจะง่ายกว่า” ดวงจิตไม่มีน้ำหนัก เธอยืนบนปากหลุมก้มลงมองจนแน่ใจ “เละเลยพี่หมอ อิฐหนักเป็นร้อยกิโลได้มั้ง โดนทับซี้แหงแก๋เลย”

“ไม่น่าเลย” เขาบ่นเสียดาย

“สนุกใหญ่เลยนะ พี่หมอ” พึ่งสังเกต เขามีสีหน้าตื่นเต้นตลอด

เมื่อหมดความสนใจในนางพญาผีผา หมอกฤษณ์เลือกเอาก้อนอิฐเรียบก้อนหนึ่งนั่งพักกาย พอได้พักหายใจเพียงครู่ น้ำค้างยามดึกฉาบผิวกาย เสื้อผ้าที่มักขาวสะอาดอยู่เสมอเปรอะเปื้อนเป็นสภาพไม่ปกติของเขา ดวงจิตของเกตุออกมาเดินวนรอบตัวเขา ใจหนึ่งรู้สึกสงสารเขาต้องทนหนาวอยู่คนเดียวเลยไม่อยากเอาเปรียบ

ดวงวิญญาณข้างนอกน่ากลัวอยู่หรอก แต่พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้ เธอเองเคยฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ้าพ่อทิพย์พิมาน เจ้าพ่อยักษ์ที่เฝ้าสุสานกษัตริย์
“พี่หมอจะรอพวกนายสัณฑ์อย่างเดียวหรือคะ พื้นที่มันออกกว้างใหญ่ จะหาคนคนเดียวเจอได้ยังไง”

“จริงด้วย ลืมไปว่าจะก่อไฟ”

เขาสังเกตกลิ่นแปลก ๆ ของเมือกที่ติดด้ามไม้ มันมีกลิ่นคล้ายแอลกอฮอส์

“อาจเป็นพืชชนิดมียางติดไฟได้”

ไม่มีไฟแซ็คติดตัวมาเลย เขาลงไปใช้มือควานหาตามพื้น หาหินบางชนิดเอามาตีให้เกิดประกายไฟ พอเอามาจ่อที่ด้ามไม้ทดลองดู ปรากฏว่ามันติดไฟ แม้เปลวเล็ก ๆ ยังทำให้รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที

“เกสรของนางพญาผีผามีสารประกอบจากเคมีที่ติดไฟได้ ไฟน่าจะเป็นอันตรายกับสิ่งนี้แน่นอน เรารู้จุดอ่อนแล้ว”
“ไหนว่านางพญาตายแล้วไง” เกตุถามด้วยความไม่เข้าใจ

“พี่หมอคิดว่าเหง้าของนางพญาผีผา ฝั่งตัวใต้ผิวดินอยู่ในดงแห่งนี้ จำนวนมากเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ต้องมีมากกว่าหนึ่งแน่ ๆ ต้นเล็กจะแผ่รากหากินตามผิวดิน ที่เราเห็นเป็นราสีขาว ๆ ส่วนต้นไหนโตพอ หรือแก่พอจะผุดขึ้นมาเป็นดอกบัวอย่างที่เราเห็น คงเพื่อหาอาหารและสืบพันธุ์ เพราะเกสรคงจะกระจายออกไปเพื่อผสมกับตัวเมียที่อยู่ในดงแห่งนี้ ชาวบ้านป่าจึงเรียกป่าแห่งนี้ว่า ’ ดงผีผา’ เหง้าไหนที่แก่ตาย จะเหลือเค้าหลุมเก่าเอาไว้” เขาเอาปลายไม้ติดไฟชี้ไปที่หลุมหนึ่งที่หญ้าขึ้นคลุมไว้ เห็นตอนไปหาไม้ หลุมมันลึกประมาณสองเมตรเห็นจะได้ ประมาณหลุมใหม่ที่พบเจอ

“พี่หมอไม่ลองเอา ไฟแหย่ลงไปนางพญาดูสิ เผื่อจะติดไฟ”
“เออนั่นสิ เกตุหัวดีจัง”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่