กวาร์ดิโอล่ายิ่งแน่ใจว่า กองหน้าในอุดมคติของเขา ต้องมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่านี้ ต้องสามารถลงมาเชื่อมเกมร่วมกับกองกลางได้ ต้องฉีกไปซ้ายไปขวาได้เป็น แต่ก็ยังมีทักษะในการจบสกอร์ได้เป็นอยู่
และไม่มีใครที่จะตอบโจทย์ของเขา ได้ดีไปกว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ ลีโอเนล เมสซี่
เมสซี่ เริ่มต้นตำแหน่งแรกกับบาร์ซ่าคือปีกขวา เขามีความเร็วจี๊ดจ๊าด มีเทคนิคดี เลี้ยงบอลเก่ง ดังนั้นการไปยืนเป็นตัวริมเส้นก็สมเหตุสมผลดี แต่ทว่า เมื่อได้ร่วมงานกัน กวาร์ดิโอล่า จึงรู้ว่า เมสซี่มีดีมากกว่านั้น
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกได้ เพราะเขามีเซนส์การจ่ายบอลที่เฉียบคมมากๆ
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางได้ นั่นเพราะเขาเรียนรู้ศาสตร์การต่อบอล จากลา มาเซีย เขาสามารถเคาะบอลสั้นๆ ร่วมกับอิเนียสต้า และชาบีได้
เมสซี่ สามารถเล่นปีกได้ทั้งสองฝั่ง ถ้าเล่นปีกซ้าย เขาสามารถกระชากสุดเส้นแล้วครอสเรียดมาให้เพื่อนได้ หรือถ้าเล่นปีกขวา ก็ตัดเข้าในแล้วยิงด้วยซ้ายได้เช่นกัน
ด้วยความครบเครื่อง และทำได้ทุกอย่าง ทำให้กวาร์ดิโอล่า จึงมองว่า ตำแหน่งดีที่สุดของเมสซี่ ก็คือตำแหน่งที่เขาควรจะได้ทำทุกอย่าง และตำแหน่งนั้น คือกองหน้าตัวเป้า ในระบบใหม่ล่าสุดของเขา ที่เรียกว่า False Nine
False = ไม่จริง
Nine = เบอร์ 9
รวมกันแปลได้สวยๆว่า คือ "เบอร์ 9 ลวง" หรือ "เบอร์ 9 ตัวหลอก"
ถ้าหาก Classic Nine คือเบอร์ 9 ขนานแท้ ต้องยืนรอในเขตโทษ รอบอลจากเพื่อน False Nine ก็เป็นอะไรที่ตรงข้ามเลย นั่นคือ ในไลน์อัพ จะยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่วิธีการเล่นกลับไม่ได้ประจำในเขตโทษ
False Nine จะลงมาเล่นร่วมกับกองกลาง เพื่อเพิ่มตัวผู้เล่นให้มากขึ้น จนคู่แข่งไม่สามารถแย่งบอลได้
ลองคิดภาพตาม ในซีซั่น 2010-11 ที่บาร์ซ่าได้แชมป์ยุโรป พวกเขามีสามกองกลางคือ เซร์คิโอ บุสเกตต์, ชาบี เอร์นันเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า
แค่ 3 คนก็เก่งมากแล้ว แต่ในเกมการแข่ง ปีก 2 ข้าง ดาบิด บีญ่า กับ เปโดร โรดริเกวซ จะถอยลงมาร่วมการเชื่อมเกมด้วย รวมเป็น 5 คน
ไม่เพียงแค่นั้น เมสซี่ ที่เป็นกองหน้าตัวหลอก ก็ลงมาเชื่อมเกมกับกองกลางอีกคน รวมเป็น 6 คน
ไม่ว่าทีมไหนก็ตาม เจอกองกลาง 6 ตัว คอยต่อบอล บอกได้คำเดียวว่าคุณหาบอลไม่เจอ
ในขณะที่ทีมอื่นๆ ใช้ระบบ 4-4-2 มีกองกลางอยู่ 4 คน แต่บาร์ซ่ามี 6 คน ช่วยกัน มันก็เห็นความแตกต่างแล้ว กองกลาง 4 คน จะเอาอะไรมาไล่บอลล่ะ ยังไงบาร์ซ่าก็ไล่ไม่จนเสียที
ด้วยการยืน False Nine มันทำให้กองหลังของคู่แข่งสับสนด้วย สมมติว่า คุณเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ได้รับคำสั่งมาว่า ให้ประกบตัว (Man Marking) กับกองหน้าตัวเป้าของคู่แข่ง แบบไปไหนไปด้วย
ปรากฏว่าเวลาเมสซี่เล่น เขาวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ยืนนิ่งๆในเขตโทษ ทำให้พอเซ็นเตอร์แบ็กหลงเสียจังหวะเผลอไปประกบเมสซี่ ก็จะหลุดจากตำแหน่งตัวเอง จนโดนสำเร็จโทษ
เท่ากับว่า False Nine มันจะสร้างประโยชน์มากๆ ในแง่ของการครองบอล เพราะเหมือนคุณมีมิดฟิลด์ลงมาช่วยอีกคน
นอกจากนั้น ยังทำให้แนวรับคู่แข่งมึนงงด้วย ไม่รู้ว่าจะประกบตัวอย่างไร
การเปลี่ยนจากปีกขวา มาเล่นในตำแหน่งนี้ ยิ่งพัฒนาเมสซี่ให้ครบเครื่องกว่าเดิม เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม ที่อาศัยแต่ความเร็วอีกแล้ว แต่เขาต้องใช้ทักษะที่มีทุกอย่าง เพื่อทำให้แผนของกวาร์ดิโอล่าสมบูรณ์ที่สุด
และหลังจากโลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ False Nine ก็มีคนมากมายเอาแนวทางการเล่นนี้ไปใช้ตาม
ตัวอย่างเช่น ทีมชาติสเปน ในนัดชิงยูโร 2012 ที่พบกับอิตาลี พวกเขาใช้ระบบนี้เช่นกัน โดยเกมนั้น บิเซนเต้ เดล บอสเก้ วางสามมิดฟิลด์คือ ชาบี เอร์นันเดซ, เซร์คิโอ บุสเกตต์ และ ชาบี อลอนโซ่ ขณะที่สามแนวรุก มีอันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด ซิลบา และเชส ฟาเบรกาส
คือไม่มีใครเป็นกองหน้าตัวเป้าสักคนเดียว โดยเชส ฟาเบรกาส รับบท False Nine แบบเดียวกับเมสซี่ และปรากฎว่าสเปนครองบอลเหนือกว่าตามคาด และยิงถล่มไปสบายๆ 4-0
กวาร์ดิโอล่า ได้ให้นิยามใหม่ และชี้ให้เห็นว่า กองหน้าในมุมของเขา ต้องทำประโยชน์ได้มากกว่ายืนรอยิงประตูอย่างเดียว
แน่นอน การวางระบบ False Nine ถือเป็นแผนที่ดี แต่ปัญหาคือ มันหาคนเล่นได้ยาก
นักเตะส่วนใหญ่บนโลก เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ก็จะเล่นประจำอยู่ตำแหน่งเดียว คนเป็นกองหน้า ก็เล่นกองหน้ามาตลอด ฝึกฝนสกิลการยิงประตู ฝึกฝนสกิลการใช้ร่างกายบังบอลจากคู่แข่ง
มันมีไม่กี่คนหรอก ที่จะสามารถเล่นได้ครบเครื่องขนาดนั้น
วิ่งฉีกซ้ายขวาได้ ลงมาเชื่อมเกมได้ แอสซิสต์เป็น รวมถึงไม่ละเลยหน้าที่หลักคือยิงประตูได้ดี
ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้ แต่เพราะผู้เล่นแบบนี้ เหมือนเพชรเม็ดงาม ที่นานๆจะโผล่มาที คือคุณจะไปหาคนที่เก่งรอบด้านแบบเมสซี่ได้จากไหนอีก?
ดังนั้นถ้าหากสโมสรไหนก็ตาม ค้นพบกองหน้าแบบ False Nine แล้ว และ "ใช้งานเป็น" ล่ะก็
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไม่มีกองหลังทีมไหน อยากจะรับมือด้วย
ขยายความระบบ False 9 (มีโอกาสที่จะใช้ระบบนี้มาก)
และไม่มีใครที่จะตอบโจทย์ของเขา ได้ดีไปกว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ ลีโอเนล เมสซี่
เมสซี่ เริ่มต้นตำแหน่งแรกกับบาร์ซ่าคือปีกขวา เขามีความเร็วจี๊ดจ๊าด มีเทคนิคดี เลี้ยงบอลเก่ง ดังนั้นการไปยืนเป็นตัวริมเส้นก็สมเหตุสมผลดี แต่ทว่า เมื่อได้ร่วมงานกัน กวาร์ดิโอล่า จึงรู้ว่า เมสซี่มีดีมากกว่านั้น
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกได้ เพราะเขามีเซนส์การจ่ายบอลที่เฉียบคมมากๆ
เมสซี่ สามารถเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางได้ นั่นเพราะเขาเรียนรู้ศาสตร์การต่อบอล จากลา มาเซีย เขาสามารถเคาะบอลสั้นๆ ร่วมกับอิเนียสต้า และชาบีได้
เมสซี่ สามารถเล่นปีกได้ทั้งสองฝั่ง ถ้าเล่นปีกซ้าย เขาสามารถกระชากสุดเส้นแล้วครอสเรียดมาให้เพื่อนได้ หรือถ้าเล่นปีกขวา ก็ตัดเข้าในแล้วยิงด้วยซ้ายได้เช่นกัน
ด้วยความครบเครื่อง และทำได้ทุกอย่าง ทำให้กวาร์ดิโอล่า จึงมองว่า ตำแหน่งดีที่สุดของเมสซี่ ก็คือตำแหน่งที่เขาควรจะได้ทำทุกอย่าง และตำแหน่งนั้น คือกองหน้าตัวเป้า ในระบบใหม่ล่าสุดของเขา ที่เรียกว่า False Nine
False = ไม่จริง
Nine = เบอร์ 9
รวมกันแปลได้สวยๆว่า คือ "เบอร์ 9 ลวง" หรือ "เบอร์ 9 ตัวหลอก"
ถ้าหาก Classic Nine คือเบอร์ 9 ขนานแท้ ต้องยืนรอในเขตโทษ รอบอลจากเพื่อน False Nine ก็เป็นอะไรที่ตรงข้ามเลย นั่นคือ ในไลน์อัพ จะยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่วิธีการเล่นกลับไม่ได้ประจำในเขตโทษ
False Nine จะลงมาเล่นร่วมกับกองกลาง เพื่อเพิ่มตัวผู้เล่นให้มากขึ้น จนคู่แข่งไม่สามารถแย่งบอลได้
ลองคิดภาพตาม ในซีซั่น 2010-11 ที่บาร์ซ่าได้แชมป์ยุโรป พวกเขามีสามกองกลางคือ เซร์คิโอ บุสเกตต์, ชาบี เอร์นันเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า
แค่ 3 คนก็เก่งมากแล้ว แต่ในเกมการแข่ง ปีก 2 ข้าง ดาบิด บีญ่า กับ เปโดร โรดริเกวซ จะถอยลงมาร่วมการเชื่อมเกมด้วย รวมเป็น 5 คน
ไม่เพียงแค่นั้น เมสซี่ ที่เป็นกองหน้าตัวหลอก ก็ลงมาเชื่อมเกมกับกองกลางอีกคน รวมเป็น 6 คน
ไม่ว่าทีมไหนก็ตาม เจอกองกลาง 6 ตัว คอยต่อบอล บอกได้คำเดียวว่าคุณหาบอลไม่เจอ
ในขณะที่ทีมอื่นๆ ใช้ระบบ 4-4-2 มีกองกลางอยู่ 4 คน แต่บาร์ซ่ามี 6 คน ช่วยกัน มันก็เห็นความแตกต่างแล้ว กองกลาง 4 คน จะเอาอะไรมาไล่บอลล่ะ ยังไงบาร์ซ่าก็ไล่ไม่จนเสียที
ด้วยการยืน False Nine มันทำให้กองหลังของคู่แข่งสับสนด้วย สมมติว่า คุณเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ได้รับคำสั่งมาว่า ให้ประกบตัว (Man Marking) กับกองหน้าตัวเป้าของคู่แข่ง แบบไปไหนไปด้วย
ปรากฏว่าเวลาเมสซี่เล่น เขาวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ยืนนิ่งๆในเขตโทษ ทำให้พอเซ็นเตอร์แบ็กหลงเสียจังหวะเผลอไปประกบเมสซี่ ก็จะหลุดจากตำแหน่งตัวเอง จนโดนสำเร็จโทษ
เท่ากับว่า False Nine มันจะสร้างประโยชน์มากๆ ในแง่ของการครองบอล เพราะเหมือนคุณมีมิดฟิลด์ลงมาช่วยอีกคน
นอกจากนั้น ยังทำให้แนวรับคู่แข่งมึนงงด้วย ไม่รู้ว่าจะประกบตัวอย่างไร
การเปลี่ยนจากปีกขวา มาเล่นในตำแหน่งนี้ ยิ่งพัฒนาเมสซี่ให้ครบเครื่องกว่าเดิม เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม ที่อาศัยแต่ความเร็วอีกแล้ว แต่เขาต้องใช้ทักษะที่มีทุกอย่าง เพื่อทำให้แผนของกวาร์ดิโอล่าสมบูรณ์ที่สุด
และหลังจากโลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ False Nine ก็มีคนมากมายเอาแนวทางการเล่นนี้ไปใช้ตาม
ตัวอย่างเช่น ทีมชาติสเปน ในนัดชิงยูโร 2012 ที่พบกับอิตาลี พวกเขาใช้ระบบนี้เช่นกัน โดยเกมนั้น บิเซนเต้ เดล บอสเก้ วางสามมิดฟิลด์คือ ชาบี เอร์นันเดซ, เซร์คิโอ บุสเกตต์ และ ชาบี อลอนโซ่ ขณะที่สามแนวรุก มีอันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด ซิลบา และเชส ฟาเบรกาส
คือไม่มีใครเป็นกองหน้าตัวเป้าสักคนเดียว โดยเชส ฟาเบรกาส รับบท False Nine แบบเดียวกับเมสซี่ และปรากฎว่าสเปนครองบอลเหนือกว่าตามคาด และยิงถล่มไปสบายๆ 4-0
กวาร์ดิโอล่า ได้ให้นิยามใหม่ และชี้ให้เห็นว่า กองหน้าในมุมของเขา ต้องทำประโยชน์ได้มากกว่ายืนรอยิงประตูอย่างเดียว
แน่นอน การวางระบบ False Nine ถือเป็นแผนที่ดี แต่ปัญหาคือ มันหาคนเล่นได้ยาก
นักเตะส่วนใหญ่บนโลก เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ก็จะเล่นประจำอยู่ตำแหน่งเดียว คนเป็นกองหน้า ก็เล่นกองหน้ามาตลอด ฝึกฝนสกิลการยิงประตู ฝึกฝนสกิลการใช้ร่างกายบังบอลจากคู่แข่ง
มันมีไม่กี่คนหรอก ที่จะสามารถเล่นได้ครบเครื่องขนาดนั้น
วิ่งฉีกซ้ายขวาได้ ลงมาเชื่อมเกมได้ แอสซิสต์เป็น รวมถึงไม่ละเลยหน้าที่หลักคือยิงประตูได้ดี
ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้ แต่เพราะผู้เล่นแบบนี้ เหมือนเพชรเม็ดงาม ที่นานๆจะโผล่มาที คือคุณจะไปหาคนที่เก่งรอบด้านแบบเมสซี่ได้จากไหนอีก?
ดังนั้นถ้าหากสโมสรไหนก็ตาม ค้นพบกองหน้าแบบ False Nine แล้ว และ "ใช้งานเป็น" ล่ะก็
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไม่มีกองหลังทีมไหน อยากจะรับมือด้วย