เมื่อภรรยามาเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตการเป็นพนักงานสายการบิน

- โบนัส หก เจ็ดเดือน 
- ทำงานสบาย เอาใจฝรั่ง 
- รวยเอา รวยเอา  ทั้งที่ปีนึงขาดทุนย่อยยับ เอาภาษีไปอุ้ม
-etc

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมจะได้ฟังคำบ่นเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นเหล่านี้จากภรรยาของผมมาโดยตลอด ซึ่งเอาเข้าจริงๆ บางเรื่องผมก็เห็นคล้อยไปตามข่าวตามกระแสโดยที่ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไตร่ตรองหรือพยายามจะเค้นหาความจริงมากนัก  จนมันก็เลยตามเลย
จนพอมันหนักเข้าๆ ได้มีโอกาสมารับฟังและสนทนา อะไรหลายๆอย่างกันภรรยา อันที่จริง มันเป็นเพียงบทสนทนาทั่วไป ไม่ใช่สนทนาปัญหาชีวิต ไม่ใช่คนจนตรอกมานั่งร้องห่มร้องไห้ แต่มันเป็นบทสนทนาระหว่าง คู่สามี ภรรยา ในเช้าของวันหยุดวันว่างๆวันนึงเท่านั้น

- โบนัส หก เจ็ดเดือน  [ตะเองเชื่อมะ เค้าไม่เคยได้โบนัสเลยนะ ไม่ว่าเค้าจะทำงานหนักแค่ไหน พวกเค้าก็ไม่เคยได้เลยโบนัสอะ แต่คนจะจำสลับกับการท่า ซึ่งรายนั้นเค้ากำไร ไม่ใช่สายการบินเค้า นี่ก็หวังว่าสักวันจะได้อย่างเขาบ้าง...ฝันมาหลายปีละตะเองเอ้ย]
- ทำงานสบาย เอาใจฝรั่ง [ตะเองเชื่อมะ เค้าบินยุโรป บินจีน บินแขก เค้าก็บริการเหมือนกันหมด เหนื่อยมากกกก ยิ่งแขกข้ามคืนนี่แบบคือ โอ้วมายก๊อดดด ไหนจะเรื่องอาหารพิเศษ ไหนจะบริการช่วงเวลากลางคืน ไหนจะเรื่องความปลอดภัย เค้าไม่มีเวลาเอาใจใครเป็นพิเศษเลยนะตะเอง เอาใจก็เท่าๆกันทุกคนแหละ]
- รวยเอา รวยเอา  ทั้งที่ปีนึงขาดทุนย่อยยับ เอาภาษีไปอุ้ม [เนี่ยตะเองเชื่อมะ เค้าไม่ได้รวยนะ เค้าทำงานหนักมาก ก็พยายามเก็บเินให้ได้มากที่สุด เค้าไม่ได้มีเงินเพราะเงินได้นะ เค้ามีเงินเพราะเง็บเก็บ เป็นเหมือนกันทุกอาชีพแหละ  และเรื่องขาดทุน เอาเข้าจริงๆ เค้าก็ไม่แน่ใจว่าองค์กรเค้าบริหารกันยังไง พนักงานทำงานหนักกันมาก แต่กลับขาดทุน จนเป็นเรื่องชินชา  หราาาาา]
-etc

ระหว่างที่เราคุยกัน มันชิลเสียจนเรื่องต่างๆจะกลายเป็นเรื่องตลกไปโดยปริยาย แต่ก็ด้วยอารมณ์Humor sense ที่ผมมีด้วยแหละ จนมันทำให้เรื่องตึงเครียดกลายเป็นเรื่อง ผ่อนคลาย อยู่ร่ำไป
แล้วเธอก็ส่งลิ้งบทความออนไลน์มาให้อ่าน  ผมขออนุญาตแปะลงตรงนี้ละกันนะ

https://www.naewna.com/politic/columnist/41102

สิ่งแรกที่สะดุดตาคือหัวกระดาษ  หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เขียนให้คิด   >> นี่หมายความว่า จากหน้าแรก ผมต้องคลิ๊ก "คอลัมน์" จากนั้น ตามด้วย "คอลัมน์การเมือง" และตามด้วย "เขียนให้คิด"  !!!!!!!  ตอนยังไม่ทันได้อ่าน บอกกับภรรยาเลยว่า ไม่อ่านการเมือง แต่พอ skimming and scanning ตามหลักการที่ครูสมศรีเคยสอนตอนเรียนประถม   อ้าว มันเกี่ยวกับอาชีพของเมียตรูนี่หว่า! ผมอ่านสองรอบ จนสามารถจับใจความสั้นๆใด้ดังนี้

สายการบินนี้ มีชื่อมีเสียงที่ดีในระดับโลก  เอาเข้าจริงๆ ผมก็ชอบที่จะนั่ง เพราะเครื่องใหญ่ดีชอบๆ ซึ่งชื่อเสียงที่ได้มา มันก็ได้มาจากทุกฝ่ายที่ช่วยกัน จนมาถึงทุกวันนี้  และพนักงานต้นรับบนเครื่องก็เป็นเหมือนหน้าด่านที่คนชื่นชมกันถ้วนหน้า
ผมจะพยายามข้ามอะไรที่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ 
เนิ้อหาใจความสำคัญอีกตอนหนึ่งก็คือ ผัง Organization Chart ขององค์กร อาจจะดูแปลกไปนิด  จริงๆก็ไม่นิดหรอกนะ คือพนักงานต้อนรับบนเครื่องมีทั้งหมดกว่าหกพันคน ใช่ หกพันคน นึกภาพง่ายๆคือจำนวนคนที่ไปเชียร์ปลื้มจิตร์และทีมสาวไทยตบยุ่นจนเต็มสนาม indoor stadium huamark  แต่ไม่มีผู้บัญชาการสายตรงของตนเอง  แต่ไปขึ้นรวมกับฝ่ายนักบิน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนน้อยกว่า  ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย  บวกกับตามที่ภรรยาผมเล่าให้ฟังแบบผ่านๆ มันก็คงจะเป็นเช่นนั้นหละมั้ง เหมือนเสียงของพวกภรรยาผมจะไม่เคยได้รับการพิจารณาเลย  เช่นในบทความได้อธิบายไว้ตามด้านล่างนี้

"ท่าที่ผู้เขียนแอบทราบมาอีกก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ในการบินไทยมีการเสนอให้กรรมการบริษัทฯ พิจารณาเรื่องการจ่ายเบี้ยเลี้ยงแบบใหม่ โดยมีวิธีการคำนวณแบบคิดตามชั่วโมงทำงานที่เกิดขึ้นจริงบนอากาศยาน ซึ่งฝ่ายนักบิน ที่มีอยู่ประมาณ 1,200 คน ได้นำเสนอให้ใช้ “อัตราเดียว” เป็นฐานในการคิดคำนวณ โดยแยกเป็น อัตราของกัปตัน, Senior Co-Pilot, Junior Co-Pilot โดยมีตัวเลขกลมๆ ตกประมาณชั่วโมงละ 1,500 บาท 
แต่ปัญหาข้อเท็จจริงอยู่ตรงที่ว่าแอร์สจ๊วตได้ค่าตอบแทนนี้น้อยกว่ามาก ยกตัวอย่างเช่น เที่ยวบินที่บินไปออสเตรเลีย นักบินได้ค่าตอบแทนส่วนนี้ประมาณ 3 หมื่นบาท แต่แอร์สจ๊วตได้เพียง 7 พันบาท แต่มีข้ออ้างว่า แอร์สจ๊วตบนเครื่องมีจำนวนมากกว่านักบิน ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ปัญหาคือทำไม่ค่าตอบแทนจึงต่างกันหลายเท่า นี่ยังไม่นับสิทธิพิเศษบนเครื่องบินที่ต่างกันมากมายระหว่างนักบินกับแอร์สจ๊วต"

เมีย (ภรรยานั่นแหละแต่ตอนนี้พิมพ์ว่าเมียง่ายกว่า) ผมเคยเล่าให้ฟังว่า บินไปกัวลาลัมเปอร์ ได้เงินหลักร้อย !  เป็นเพราะค่าเงินมาเลมันตกลงแบบไม่คืนย้อนกลับ จนทำให้เบี้ยเลี้ยงก็ต่ำลงไปด้วย  ซึ่งตรงนี้ ทำให้พวกเธออยากได้รับเงินเรทใหม่แบบนักบินบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ให้เรื่องมันถูกพิจารณา หรือได้ส่งต่อสู่ผู้ใหญ่จากพวกเธอโดยตรง ใม่ใช่ผ่านท่านๆที่ไม่ใช่หัวหน้าพนักงานต้อนรับ !  อันนี้เธอกล่าวแบบนิ่งๆ แต่ผมใส่อารมณ์เสริมเอง

ถ้าอิงตามโครงสร้างการเขียนเรียงความ ตรงนี้ก็จะเป็นบทสรุปของกระทู้แล้วนะครับ
จริงๆแล้ว ผมเป็นห่วงภรรยาผม ห่วงไปหมด โน่นนี่นั่น มันมาเยอะแยะไปหมดช่วงนี้ มันปฏิเสธที่จะไม่รับข่าวสารทางโลกโซเชียลไม่ได้ ผมยังเลิกตามเพจใต้เตียงดาราไม่ได้เลยคู๊ณณ  แล้วยิ่งมีคนมาทำคลิป สร้างความปั่นป่วนบนไฟล์ทบิน ยิ่งอันนี้ผมยิ่งรับไม่ได้ มันดูถูกกันมากเกินไป ตรรกะที่สื่อสารไป กลับถูกสวนกลับด้วยความสนุกสนานแบบไร้สำนึก มันเลยเป็นเรื่อง ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องขององค์กรดำเนินไป
ไหนจะเรื่องผลประกอบการที่ขาดทุนๆๆ อยู่เรื่อยๆ คือเวลาเราทำงานอะไรเหนื่อยๆ เราก็อยากให้องค์กรของเราประสบผลสำเร็จ ได้กำไรที่ดี มีโบนัสเป็นขวัญกำลังใจให้พนักงาน  แต่ความเป็นจริงมันแทบจะไม่เคยเข้าใกล้สิ่งที่หวังเอาไว้ ภรรยาผมเคยบอกนะ ว่าเค้าอยากให้องค์กรเป็นเหมือนบ้าน เวลาเราทำอะไรเหนื่อย เพื่อเงินเพื่อปากท้องแล้วก็เพื่อบ้านของเราจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข  แต่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ เหมือนผู้ใหญ่ในองค์กรจะไม่อยากทำให้มันเป็นบ้านที่มีความสุขของน้องๆเท่าไหร่นัก เธอกลัว ว่าถ้าวันนึงบ้านนี้เสาหัก จะเกิดอะไรขึ้น เชลียงที่พวกเธอคอยขัดสีฉวีวรรณดูแลมาอย่างดี คงพังลงแน่นอน

จากต้นจนจบ มันเร็วมาก  อเมริกาโน่เย็นแก้วเดียวเท่านั้น  ดูดไปพิมพ์ไปจนลืมความขมของกาแฟไปเลยทีเดียว  
ผมก็หวังว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี สักวัน องค์กรจะได้เป็นบ้านที่สมบูรณ์เสียที

แต่พอเหลือบตากลับไปมองหัวกระดาษอีกครั้ง
หน้าแรก / คอลัมน์ /  คอลัมน์การเมือง  / เขียนให้คิด

มองซ้ายมองขวา  ตัวใครตัวมันครับเมีย!
8-19-19
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่