Xiaomi ได้ทำการแยกแบรนด์มือถือสายเกมออกมาในชื่อ Blackshark และทำตลาดแตกต่างกันชัดเจนรวมถึงรายละเอียดการออกแบบต่างๆและแน่นอนว่าตอนนี้ก็มาถึงรุ่น 2 Pro กันแล้วซึ่งเราก็ได้รีวิวไปทั้ง Blackshark ตัวแรก – Blackshark Helo / Blackshark 2 ทั้งหมดครับเรียกได้ว่ารีวิวครบทุกตัวเลยไปตามอ่านกันได้ และในปีนี้น่าสุดได้เปิดตัว Blackshark 2 Pro ที่มีการอัพเกรดสเปคขึ้นมาหลายๆส่วนหลักๆจะเป็น CPU Snapdragon 855+ และใช้งานอะไรที่ดีขึ้นรวมถึงตัวหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 และ ดีไซน์การออกแบบที่ว้าว ล้ำกว่าเดิมไปอีกครับ เพิ่มไฟในด้านหลังเข้ามาอีกครับนอกเหนือจากด้านข้าง และหน้าจอก็ พัฒนาขึ้น เป็น AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว มีค่า touch latency อยู่ที่ 34.7ms ที่ไวกว่าเดิมครับ ส่วนเรื่องกล้องนั้นยังคงใช้งานสเปคเดิมครับผม
Black shark2 Pro ตัว Ram12 256GB ร้านหิ้วในไทยนั้นเปิดราคามาที่ 20,900.- บาท ราคานั้นอ้างอิงวันที่รีวิวนะครับ
UNBOX
ตัวกล่องนั้นมีการออกแบบเปลี่ยนแปลงดีไซน์ตรงด้านหน้าเพิ่มพื้นผิวสวยๆเข้ามาอิงกับการออกแบบของฝาหลังรุ่นใหม่ครับ ตัวกล่องนั้นมีขนาดคล้ายๆของเดิมไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ และ ไม่มีจอยควบคุม ส่วนพวก สายชาร์จ อะแดปเตอร์ และ พวกคู่มือ ตัวแปลง 3.5มม.ทั้งหลายครับ
- ตัวเครื่อง Blackshark 2
- เคส แบบ TPU สีดำใส
- อะแดปเตอร์ QC 4.0
- สายชาร์จ Type-C
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
- ตัวแปลง 3.5มม.
- ฟิล์มกันรอยติดมาแล้วบนเครื่อง
เคสนั้นจะเป็นเคสที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมือถือทั่วไปมากขึ้นสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบายมาก ไม่ใช่เคสแบบพลาสติกแข็งแบบรุ่นแรกๆครับ แต่ก็ไม่รองรับ การเสียบจอยควบคุมแล้วนะเมื่อดูจากงานออกแบบครับ แน่นอนว่า ส่วนการปกป้องนั้นค่อนข้างทำได้ดีมากทั้งหน้าและหลัง มีการเว้นส่วนลำโพงไว้บ้างนิดหน่อยบนขอบบนและขอบล่าง ถือว่าทำได้ดีครับเคสตัวนี้ เป็นเคสแบบเดียวกันกับตัว Blackshark 2 ที่เราเคยรีวิวไปแต่แค่คนละโทนสีกันครับ
สำหรับอะแดปเตอร์ในรุ่นนี้นั้นจะมาพร้อมกับการรองรับ QC 4.0 มาให้เลยตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งเป็นปลั๊กแบบขาแบน 2 ขาอันนี้ถือว่าใช้งานได้ดีในประเทศไทยครับ และ ตัวหัวนั้นเป็นแบบ USB-A ครับผม สามารถใช้สายทั่วไปได้รองรับ QC 4.0 ได้เลยสูงสุด 27W ครับผม ถือว่าไวที่สุดของบรรดา Snapdragon QC ทั้งหลายแล้วไม่นับชาร์จไวแต่ละแบรนด์ที่ทำกันเองนะครับ ส่วนขนาดใหญ่พอสมควรครับตัว Adaptor ที่แถมมาให้
DESIGN
ดีไซน์งานออกแบบนั้นต้องบอกว่ามองผ่านๆเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าแต่ถ้ามองชัดๆจะเห็นความเงาสะท้อนเข้าตาแบบเต็มๆขึ้นมากขึ้นมีการเล่นลวดลายเยอะแยะสวยงามและมีสีใหม่ๆเข้ามาเยอะมากและเด่นๆเลยครับ รูปทรงรวมๆตำแหน่งกล้องและขอบๆเครื่องจะเหมือนเดิมครับเพราะน่าจะอิงอุปกรณ์เสริมของรุ่นอื่นๆให้ใช้งานได้ ส่วนไฟ RGB นั้นมีการเสริมเข้ามาเพิ่มในด้านหลัง 2 จุด ทำให้มีไฟทั้งหมด 5 จุดทั้ง โลโก้ ขอบเครื่อง 2 ข้าง และ ข้างหลัง 2 จุดส่วนงานประกอบ หนักแน่นเหมือนเดิมและมีความเหลี่ยมๆในการจับถือตรงฝาหลัง และหน้าจอนั้นใกล้ๆของเดิม
หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมจอขนาด 6.39 นิ้ว AMOLED ที่รองรับ HDR DCI-P3 และ การตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดีมากๆ ดีกว่ารุ่นเดิมทำได้ไวถึง 34.7ms หน้าจอนั้นยังมีขอบไว้ให้จับไม่มีติ่งหน้าจอ ไม่มีจุดอะไรทั้งนั้น เป็นการออกแบบที่เหมาะสำหรับสายเกมจริงๆมีพื้นที่ไว้พักมือกันนิดหน่อย การออกแบบโดยรวมนั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก
ขอบด้านบนนั้นจะเห็นว่ามีพื้นที่อยู่นิดหน่อย และ ยังเป็นส่วนของลำโพงบน กล้องหน้า 20 MP และ เซนเซอร์ทั้งหลายยังคงมีไว้ครบครับ แต่ไม่มีไฟแจ้งเตือนแล้วครับ
สำหรับขอบด้านล่างนั้นมีการเว้นพื้นที่ไว้เท่าๆกับด้านบนและเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวล่าง อีกทั้งปุ่มควบคุมทั้งหมดก็อยู่บนจอครับสามารถเปลี่ยนเป็นใช้งานเต็มหน้าจอได้ด้วย สแกนนิ้วย้ายมาอยู่บนหน้าจอและสแกนได้ค่อนข้างไวเลยนะในการใช้งานจริงๆและเหมือนจะมีการปรับแต่งทำให้รู้สึกว่าทำงานได้ไวกว่ารุ่นก่อนหน้าครับและแม่นยำมากขึ้น
ในขอบด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม สำหรับเปิด Sharkspace เป็นแถบสไลด์ ส่วนถัดมาเป็นปุ่ม Power ครับ ส่วนแถบไฟด้านข้างยังคงมีสานต่อจากรุ่น 2 มาให้ครับ ครั้งนี้มีการเล่น Effect อะไรที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็ยังชอบนะไฟมันเนียนสวยดีมาก และมีการใส่ไฟข้างหลังเข้ามาเพิ่มอีก 2 จุดครับ
ขอบด้านซ้ายก็เป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง แน่นอนว่ายังคงมีแถบไฟด้านข้างมาให้ รวมถึงวัสดุขอบทั้งหมดจะเป็นชิ้นเดียวกันกับฝาหลังทำให้มันค่อนข้างแข็งแรงและเนียนมาก
ขอบด้านล่างนั้นเป็นที่ชาร์จ Type-C และ ถาดใส่ซิมครับ เป็นแบบ Dual Sim ไม่สามารถเพิ่ม Micro SDได้นะครับ ส่วนรูไมค์นั้นจะฝังตรงลำโพงหน้าจอนั้นเอง
ขอบด้านบนนั้นเรียบๆจะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนขึ้นมาเล็กน้อยครับและก็เป็นรูไมค์สำหรับบันทึกเสียง รวมถึงตัดเสียงรบกวนครับ
กล้องหลังเป็นกล้องหลังคู่ที่มีระยะแตกต่างกัน สเปค กล้องหลัก 48MP เซนเซอร์ Sony IMX586 ขนาด 1/2.0″, พิกเซล 0.8μm, f/1.75 กล้องตัวรอง 12MP เซนเซอร์ Samsung S5K3M5 ขนาด 1/3.6″, พิกเซล 1.0μm, f/2.2, 6P lens แน่นอนว่าการถ่ายทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยครับรวมถึงมีระยะเทเลมาให้ใช้งานกัน ส่วนฝาหลังนั้นจะไม่มีสแกนนิ้วแล้ว เพราะย้ายไปอยู่บนหน้าจอแทน ส่วนตัวไฟบนโลโก้ยังคงมีมาให้ปรับสีได้ค่อนข้างหลากหลาย และมีการเพิ่มไปจุดขีดๆ 2 อันบนล่างเข้ามาเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าที่มีแค่โลโกครับ ทำให้เข้าถึงจิตวิญญาณ เกมมากขึ้นไปอีกขั้น
ทางด้านฝาหลังในภาพรวมนั้นแถบตรงกลางจะแคบลงและมีการเว้าลึกนูนต่ำมากขึ้น และมีการใส่ไปเข้ามาเหนือและล่างโลโก้ครับ ทำให้ตรงกลางมันไม่บวมไม่อ้วนแบบเดิม ทำให้มองในภาพรวมตัวเครื่องดูแคบและผอมขึ้นเยอะ และในบางสีนั้นจะทำให้ตรงกลางเด่นมากๆเช่นสีส้มน้ำเงินก็ทำให้เป็นการตัดกับของสีที่สวยมากๆ หรือ ดำส้มก็สวยเช่นกัน แต่ถ้าใครชอบเรียบๆนั้นสีที่เรารีวิวก็ใช้งานได้ดีอีกสีครับ และแถบข้างๆตรงกลางนั้นมีการใช้งานกระจกเงาเข้ามาเสริมทำให้เล่นกับแสงได้ดีและมีเส้นๆกราฟิกแฝงอยู่ข้างในถือว่าโดดเด่น ไปให้สุดสำหรับสายเกม ใครไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบไปเลยครับในการออกแบบที่เน้นลวดลายแบบนี้
SPEC
- ขนาดตัวเครื่อง : 163.61×75.01×8.77 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 205 กรัม
- หน้าจอแสดงผล : AMOLED กว้าง 6.35 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340×1080 พิกเซล) ความละเอียดพิกเซล 403PPI DCI-P3 color gamut - - สัมผัมหน้าจอ Refresh Rate 240Hz
- ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 855 Plus ความเร็ว 2.96GHz
- ชิปกราฟิก : Adreno 640
- RAM : 12GB LPDDR4x Dual Channel
- ROM : 128 / 256GB แบบ UFS 3.0
- ระบบปฏิบัติการ : Android 9 Pie
- กล้องหลังคู่ : ความละเอียด 48+12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75 + f/2.2 เลนส์แบบ 6P
- กล้องหน้า : ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 เลนส์แบบ 5P
- รองรับซิมคู่แบบ Nano SIM ใช้งาน 4G ได้ทั้งคู่
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0, พอร์ต USB Type-C
- ระบบความปลอดภัย : สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ : 4,000mAh รองรับชาร์จเร็ว 27W และรองรับ QC4+
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอที่เป็น AMOLED ขนาดนั้นเท่าเดิมกับรุ่น 2 แต่ในส่วนการสู้แสงแดดต่างๆนั้นก็ทำได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมครับ หน้าจอตัวนี้เป็นหน้าจอ ความละเอียดที่ Full HD+ อัตราส่วน 19.5:9 DCI – P3, และที่เด่นๆเลยคือรองรับการสัมผัสที่ 240Hz ! และ ความไวต่อการสัมผัสที่ 34.7 อีกทั้งความสว่างยังมากกว่าเดิมมาให้ที่ 430 Nits รองรับ HDR ด้วยถือว่าจัดเต็มมากและการออกแบบยังคงเหลือเนื้อที่ขอบข้างไว้ทั้ง 2 สำหรับเวลาเล่นเกมแล้วได้พักมือกันหน่อยไม่มีติ่งหรือรอยบาก จุดบนหน้าจอมากวนใจทั้งนั้นถือว่าเหมาะสำหรับสายเกมจริงๆ การสู้แสงแดดทำได้ดีมากเลยอันนี้ชอบครับ ใช้งานกลางแจ้งมองชัดขึ้นพอสมควรเลยแหละ แต่ที่เด่นๆคือการสัมผัสในการเล่นเกมที่แตะได้ไวมากๆและไม่มีหน่วงเลยครับ เป็นจุดหลักๆที่พัฒนาขึ้น และใช้กระจก Gorilla 6 นั้นเอง
UFS 3.0
ในด้านหน่วยความจำหลังๆนั้นเรือธงจะหันมาใช้งาน UFS 3.0 กันหมดแล้วและแน่นอนว่าในรุ่นนี้ก็ได้นำมาใช้และยังอยู่ในเรทราคาที่จับต้องได้ง่ายเลยแหละ ในด้านการใช้ UFS 3.0 ทำให้การเข้าแอพ การลงแอพ รวมถึงการดูรูปต่างๆนั้นไวมากๆและเปิดปิดดูอะไรต่างๆทำได้ไวกว่าเดิม ทำความเร็วในการอ่านทะลุ 1,400 MB/s ถ้าเอาเข้าใจง่ายๆคือเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ HDD VS SSD นั้นเองครับและตัว UFS 3.0 นั้นจะเหมือน SSD นั้นเองถ้าเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ส่วนหน่วยความจำแบบนี้ก็เจอกันในเรือธง เช่น Note 10 – Oneplus 7 Pro และ รวมถึงพวก ROG Phone 2 พวกนี้ก็หันมาใช้งานกันแล้ว
ANTUTU
สำหรับคะแนน ANTUTU นั้นจากที่ทดสอบกันมาแรกๆจนถึงตอนนี้ก็ทำคะแนนได้คร่าวๆประมาณนี้ครับแน่นอนว่า Snap 855+ นั้นก็รีดออกมาได้ดี ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงหรืออัปเดตให้แรงขึ้นก็ได้ถ้าตามข่าวนั้นหลายๆคนก็จะได้ประมาณนี้ 465k แต่ยังไม่ได้แตะ 500K กันเท่าไรครับแต่ในการใช้งานจริงๆก็รู้สึกว่ามันแรงขึ้นจากรุ่นก่อนเดิมครับ เพราะที่เด่นๆเป็นเรื่องของพวกกราฟิกที่พัฒนาขึ้น และ กินพลังงานน้อยลงรวมถึงจัดการความร้อนอะไรที่ดีกว่าเดิมครับ และการใส่ Vulkan 1.1 เข้าไปฝังในตัวชิปเพื่อช่วยให้ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นแบบชัดเจนในการเล่นเกม
PREVIEW VIDEO
GAMING
[CR] พรีวิว BLACKSHARK 2 PRO ฉลามดำตัวล่าสุด SNAP 855+ และ RAM 12GB ดีไซน์ล้ำ !
Xiaomi ได้ทำการแยกแบรนด์มือถือสายเกมออกมาในชื่อ Blackshark และทำตลาดแตกต่างกันชัดเจนรวมถึงรายละเอียดการออกแบบต่างๆและแน่นอนว่าตอนนี้ก็มาถึงรุ่น 2 Pro กันแล้วซึ่งเราก็ได้รีวิวไปทั้ง Blackshark ตัวแรก – Blackshark Helo / Blackshark 2 ทั้งหมดครับเรียกได้ว่ารีวิวครบทุกตัวเลยไปตามอ่านกันได้ และในปีนี้น่าสุดได้เปิดตัว Blackshark 2 Pro ที่มีการอัพเกรดสเปคขึ้นมาหลายๆส่วนหลักๆจะเป็น CPU Snapdragon 855+ และใช้งานอะไรที่ดีขึ้นรวมถึงตัวหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 และ ดีไซน์การออกแบบที่ว้าว ล้ำกว่าเดิมไปอีกครับ เพิ่มไฟในด้านหลังเข้ามาอีกครับนอกเหนือจากด้านข้าง และหน้าจอก็ พัฒนาขึ้น เป็น AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว มีค่า touch latency อยู่ที่ 34.7ms ที่ไวกว่าเดิมครับ ส่วนเรื่องกล้องนั้นยังคงใช้งานสเปคเดิมครับผม
Black shark2 Pro ตัว Ram12 256GB ร้านหิ้วในไทยนั้นเปิดราคามาที่ 20,900.- บาท ราคานั้นอ้างอิงวันที่รีวิวนะครับ
UNBOX
ตัวกล่องนั้นมีการออกแบบเปลี่ยนแปลงดีไซน์ตรงด้านหน้าเพิ่มพื้นผิวสวยๆเข้ามาอิงกับการออกแบบของฝาหลังรุ่นใหม่ครับ ตัวกล่องนั้นมีขนาดคล้ายๆของเดิมไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ และ ไม่มีจอยควบคุม ส่วนพวก สายชาร์จ อะแดปเตอร์ และ พวกคู่มือ ตัวแปลง 3.5มม.ทั้งหลายครับ
- ตัวเครื่อง Blackshark 2
- เคส แบบ TPU สีดำใส
- อะแดปเตอร์ QC 4.0
- สายชาร์จ Type-C
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
- ตัวแปลง 3.5มม.
- ฟิล์มกันรอยติดมาแล้วบนเครื่อง
เคสนั้นจะเป็นเคสที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมือถือทั่วไปมากขึ้นสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบายมาก ไม่ใช่เคสแบบพลาสติกแข็งแบบรุ่นแรกๆครับ แต่ก็ไม่รองรับ การเสียบจอยควบคุมแล้วนะเมื่อดูจากงานออกแบบครับ แน่นอนว่า ส่วนการปกป้องนั้นค่อนข้างทำได้ดีมากทั้งหน้าและหลัง มีการเว้นส่วนลำโพงไว้บ้างนิดหน่อยบนขอบบนและขอบล่าง ถือว่าทำได้ดีครับเคสตัวนี้ เป็นเคสแบบเดียวกันกับตัว Blackshark 2 ที่เราเคยรีวิวไปแต่แค่คนละโทนสีกันครับ
สำหรับอะแดปเตอร์ในรุ่นนี้นั้นจะมาพร้อมกับการรองรับ QC 4.0 มาให้เลยตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งเป็นปลั๊กแบบขาแบน 2 ขาอันนี้ถือว่าใช้งานได้ดีในประเทศไทยครับ และ ตัวหัวนั้นเป็นแบบ USB-A ครับผม สามารถใช้สายทั่วไปได้รองรับ QC 4.0 ได้เลยสูงสุด 27W ครับผม ถือว่าไวที่สุดของบรรดา Snapdragon QC ทั้งหลายแล้วไม่นับชาร์จไวแต่ละแบรนด์ที่ทำกันเองนะครับ ส่วนขนาดใหญ่พอสมควรครับตัว Adaptor ที่แถมมาให้
DESIGN
ดีไซน์งานออกแบบนั้นต้องบอกว่ามองผ่านๆเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าแต่ถ้ามองชัดๆจะเห็นความเงาสะท้อนเข้าตาแบบเต็มๆขึ้นมากขึ้นมีการเล่นลวดลายเยอะแยะสวยงามและมีสีใหม่ๆเข้ามาเยอะมากและเด่นๆเลยครับ รูปทรงรวมๆตำแหน่งกล้องและขอบๆเครื่องจะเหมือนเดิมครับเพราะน่าจะอิงอุปกรณ์เสริมของรุ่นอื่นๆให้ใช้งานได้ ส่วนไฟ RGB นั้นมีการเสริมเข้ามาเพิ่มในด้านหลัง 2 จุด ทำให้มีไฟทั้งหมด 5 จุดทั้ง โลโก้ ขอบเครื่อง 2 ข้าง และ ข้างหลัง 2 จุดส่วนงานประกอบ หนักแน่นเหมือนเดิมและมีความเหลี่ยมๆในการจับถือตรงฝาหลัง และหน้าจอนั้นใกล้ๆของเดิม
หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมจอขนาด 6.39 นิ้ว AMOLED ที่รองรับ HDR DCI-P3 และ การตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดีมากๆ ดีกว่ารุ่นเดิมทำได้ไวถึง 34.7ms หน้าจอนั้นยังมีขอบไว้ให้จับไม่มีติ่งหน้าจอ ไม่มีจุดอะไรทั้งนั้น เป็นการออกแบบที่เหมาะสำหรับสายเกมจริงๆมีพื้นที่ไว้พักมือกันนิดหน่อย การออกแบบโดยรวมนั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก
ขอบด้านบนนั้นจะเห็นว่ามีพื้นที่อยู่นิดหน่อย และ ยังเป็นส่วนของลำโพงบน กล้องหน้า 20 MP และ เซนเซอร์ทั้งหลายยังคงมีไว้ครบครับ แต่ไม่มีไฟแจ้งเตือนแล้วครับ
สำหรับขอบด้านล่างนั้นมีการเว้นพื้นที่ไว้เท่าๆกับด้านบนและเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวล่าง อีกทั้งปุ่มควบคุมทั้งหมดก็อยู่บนจอครับสามารถเปลี่ยนเป็นใช้งานเต็มหน้าจอได้ด้วย สแกนนิ้วย้ายมาอยู่บนหน้าจอและสแกนได้ค่อนข้างไวเลยนะในการใช้งานจริงๆและเหมือนจะมีการปรับแต่งทำให้รู้สึกว่าทำงานได้ไวกว่ารุ่นก่อนหน้าครับและแม่นยำมากขึ้น
ในขอบด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม สำหรับเปิด Sharkspace เป็นแถบสไลด์ ส่วนถัดมาเป็นปุ่ม Power ครับ ส่วนแถบไฟด้านข้างยังคงมีสานต่อจากรุ่น 2 มาให้ครับ ครั้งนี้มีการเล่น Effect อะไรที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็ยังชอบนะไฟมันเนียนสวยดีมาก และมีการใส่ไฟข้างหลังเข้ามาเพิ่มอีก 2 จุดครับ
ขอบด้านซ้ายก็เป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง แน่นอนว่ายังคงมีแถบไฟด้านข้างมาให้ รวมถึงวัสดุขอบทั้งหมดจะเป็นชิ้นเดียวกันกับฝาหลังทำให้มันค่อนข้างแข็งแรงและเนียนมาก
ขอบด้านล่างนั้นเป็นที่ชาร์จ Type-C และ ถาดใส่ซิมครับ เป็นแบบ Dual Sim ไม่สามารถเพิ่ม Micro SDได้นะครับ ส่วนรูไมค์นั้นจะฝังตรงลำโพงหน้าจอนั้นเอง
ขอบด้านบนนั้นเรียบๆจะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนขึ้นมาเล็กน้อยครับและก็เป็นรูไมค์สำหรับบันทึกเสียง รวมถึงตัดเสียงรบกวนครับ
กล้องหลังเป็นกล้องหลังคู่ที่มีระยะแตกต่างกัน สเปค กล้องหลัก 48MP เซนเซอร์ Sony IMX586 ขนาด 1/2.0″, พิกเซล 0.8μm, f/1.75 กล้องตัวรอง 12MP เซนเซอร์ Samsung S5K3M5 ขนาด 1/3.6″, พิกเซล 1.0μm, f/2.2, 6P lens แน่นอนว่าการถ่ายทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยครับรวมถึงมีระยะเทเลมาให้ใช้งานกัน ส่วนฝาหลังนั้นจะไม่มีสแกนนิ้วแล้ว เพราะย้ายไปอยู่บนหน้าจอแทน ส่วนตัวไฟบนโลโก้ยังคงมีมาให้ปรับสีได้ค่อนข้างหลากหลาย และมีการเพิ่มไปจุดขีดๆ 2 อันบนล่างเข้ามาเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าที่มีแค่โลโกครับ ทำให้เข้าถึงจิตวิญญาณ เกมมากขึ้นไปอีกขั้น
ทางด้านฝาหลังในภาพรวมนั้นแถบตรงกลางจะแคบลงและมีการเว้าลึกนูนต่ำมากขึ้น และมีการใส่ไปเข้ามาเหนือและล่างโลโก้ครับ ทำให้ตรงกลางมันไม่บวมไม่อ้วนแบบเดิม ทำให้มองในภาพรวมตัวเครื่องดูแคบและผอมขึ้นเยอะ และในบางสีนั้นจะทำให้ตรงกลางเด่นมากๆเช่นสีส้มน้ำเงินก็ทำให้เป็นการตัดกับของสีที่สวยมากๆ หรือ ดำส้มก็สวยเช่นกัน แต่ถ้าใครชอบเรียบๆนั้นสีที่เรารีวิวก็ใช้งานได้ดีอีกสีครับ และแถบข้างๆตรงกลางนั้นมีการใช้งานกระจกเงาเข้ามาเสริมทำให้เล่นกับแสงได้ดีและมีเส้นๆกราฟิกแฝงอยู่ข้างในถือว่าโดดเด่น ไปให้สุดสำหรับสายเกม ใครไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบไปเลยครับในการออกแบบที่เน้นลวดลายแบบนี้
SPEC
- ขนาดตัวเครื่อง : 163.61×75.01×8.77 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 205 กรัม
- หน้าจอแสดงผล : AMOLED กว้าง 6.35 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340×1080 พิกเซล) ความละเอียดพิกเซล 403PPI DCI-P3 color gamut - - สัมผัมหน้าจอ Refresh Rate 240Hz
- ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 855 Plus ความเร็ว 2.96GHz
- ชิปกราฟิก : Adreno 640
- RAM : 12GB LPDDR4x Dual Channel
- ROM : 128 / 256GB แบบ UFS 3.0
- ระบบปฏิบัติการ : Android 9 Pie
- กล้องหลังคู่ : ความละเอียด 48+12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75 + f/2.2 เลนส์แบบ 6P
- กล้องหน้า : ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 เลนส์แบบ 5P
- รองรับซิมคู่แบบ Nano SIM ใช้งาน 4G ได้ทั้งคู่
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0, พอร์ต USB Type-C
- ระบบความปลอดภัย : สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ : 4,000mAh รองรับชาร์จเร็ว 27W และรองรับ QC4+
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอที่เป็น AMOLED ขนาดนั้นเท่าเดิมกับรุ่น 2 แต่ในส่วนการสู้แสงแดดต่างๆนั้นก็ทำได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมครับ หน้าจอตัวนี้เป็นหน้าจอ ความละเอียดที่ Full HD+ อัตราส่วน 19.5:9 DCI – P3, และที่เด่นๆเลยคือรองรับการสัมผัสที่ 240Hz ! และ ความไวต่อการสัมผัสที่ 34.7 อีกทั้งความสว่างยังมากกว่าเดิมมาให้ที่ 430 Nits รองรับ HDR ด้วยถือว่าจัดเต็มมากและการออกแบบยังคงเหลือเนื้อที่ขอบข้างไว้ทั้ง 2 สำหรับเวลาเล่นเกมแล้วได้พักมือกันหน่อยไม่มีติ่งหรือรอยบาก จุดบนหน้าจอมากวนใจทั้งนั้นถือว่าเหมาะสำหรับสายเกมจริงๆ การสู้แสงแดดทำได้ดีมากเลยอันนี้ชอบครับ ใช้งานกลางแจ้งมองชัดขึ้นพอสมควรเลยแหละ แต่ที่เด่นๆคือการสัมผัสในการเล่นเกมที่แตะได้ไวมากๆและไม่มีหน่วงเลยครับ เป็นจุดหลักๆที่พัฒนาขึ้น และใช้กระจก Gorilla 6 นั้นเอง
UFS 3.0
ในด้านหน่วยความจำหลังๆนั้นเรือธงจะหันมาใช้งาน UFS 3.0 กันหมดแล้วและแน่นอนว่าในรุ่นนี้ก็ได้นำมาใช้และยังอยู่ในเรทราคาที่จับต้องได้ง่ายเลยแหละ ในด้านการใช้ UFS 3.0 ทำให้การเข้าแอพ การลงแอพ รวมถึงการดูรูปต่างๆนั้นไวมากๆและเปิดปิดดูอะไรต่างๆทำได้ไวกว่าเดิม ทำความเร็วในการอ่านทะลุ 1,400 MB/s ถ้าเอาเข้าใจง่ายๆคือเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ HDD VS SSD นั้นเองครับและตัว UFS 3.0 นั้นจะเหมือน SSD นั้นเองถ้าเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ส่วนหน่วยความจำแบบนี้ก็เจอกันในเรือธง เช่น Note 10 – Oneplus 7 Pro และ รวมถึงพวก ROG Phone 2 พวกนี้ก็หันมาใช้งานกันแล้ว
ANTUTU
สำหรับคะแนน ANTUTU นั้นจากที่ทดสอบกันมาแรกๆจนถึงตอนนี้ก็ทำคะแนนได้คร่าวๆประมาณนี้ครับแน่นอนว่า Snap 855+ นั้นก็รีดออกมาได้ดี ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงหรืออัปเดตให้แรงขึ้นก็ได้ถ้าตามข่าวนั้นหลายๆคนก็จะได้ประมาณนี้ 465k แต่ยังไม่ได้แตะ 500K กันเท่าไรครับแต่ในการใช้งานจริงๆก็รู้สึกว่ามันแรงขึ้นจากรุ่นก่อนเดิมครับ เพราะที่เด่นๆเป็นเรื่องของพวกกราฟิกที่พัฒนาขึ้น และ กินพลังงานน้อยลงรวมถึงจัดการความร้อนอะไรที่ดีกว่าเดิมครับ และการใส่ Vulkan 1.1 เข้าไปฝังในตัวชิปเพื่อช่วยให้ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นแบบชัดเจนในการเล่นเกม
PREVIEW VIDEO
GAMING
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้