ถ้าไปเที่ยวต่างประเทศ คนรุ่นเรามักจะเลือกไปญี่ปุ่นหรือเกาหลีกัน แต่เรารู้สึกว่าแบบใคร ๆ ก็ไปกัน อยากไปประเทศอื่นบ้าง เลยตระเวนเที่ยวอาเซียนรอบ ๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไปมาเลเซีย ลาว เวียดนาม มาแล้ว เลยคิดว่าไปพม่าก็น่าสนใจดี พม่าที่ตอนเด็ก ๆ โรงเรียนสอนว่าพม่ามาเผาเมืองเราเอาทองไป พม่าที่รบกับเราช่วงสุโขทัยหรืออยุธยาโน่น ฟังดูเป็นผู้ร้ายในวิชาสังคมตลอด แต่เราอยากลองไปดูเรื่องราวในมุมมองของเค้าบ้าง รู้สึกเหมือนเป็นคู่กัดที่น่ารัก ซึ่งพอได้ไปจริง ๆ แล้วรู้สึกประทับใจกว่าที่คิดไว้มากกกกก
ตอนแรกที่ไปพม่าบอกเลยว่ามีแต่คนขัดขวาง เพื่อนร่วมงานถามว่าจะไปเผาทองคืนมาเหรอ ที่บ้านก็บอกว่าอันตรายนะตอนนี้รัฐคะฉิ่นรบกับรัฐบาลพม่า ขนาดสายการบินที่จองไปตอนแรกก็แคนเซิลไฟร์ท สายการบินที่จองไปรอบสองก็เลื่อนไฟล์ท แต่ในที่สุดก็ได้ไป...
ข้อแนะนำในการเที่ยวพม่า
1. รองเท้าต้องพร้อมถอดทุกวัดใส่แตะคีบเหมาะที่สุด
รองเท้าผ้าใบไม่ควรใส่ไปเพราะวัดที่พม่าห้ามใส่ถุงเท้าและรองเท้าเข้าวัด สถานที่ทางศาสนาบางที่ต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไปไกลกว่าวัดที่ไทย ต้องระวังเท้าเป็นแผลด้วย และความที่ต้องถอดรองเท้าทุกที่เพื่อนที่ไปด้วยก็บอกว่าจริง ๆ แล้วมาเที่ยวพม่าไม่ต้องใส่รองเท้ามาก็ได้ = =" นอกจากเท้าเปล่าแล้ว เข่าต้องดีด้วย ไหว้พระต้องคุกเข่าบ่อย อย่ารอจนแก่ค่อยไป จะไม่ไหว 555
2. ทิชชู่เปียก
ทิชชู่เปียกเป้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เอาไว้ใช้เช็ดเท้าหลังจากไปเดินถอดรองเท้ามา
3. ร่ม หมวก ครีมกันแดด ผ้าอเนกประสงค์
ฝนตกก็กางร่ม แดดออกก็ทาครีมกันแดด สำหรับเราเองพกผ้าพันคือผืนนึงเป็นผ้าอเนกประสงค์ เอาไว้คลุมหัวทั้งเวลาฝนตกและแดดออก เวลาแอร์รถหนาวก็เอามาห่มได้ เอาไว้ถ่ายรูปสวย ๆ ก็ไได้ (แต่ไม่รู้คิดไปเองว่าสวยคนเดียวรึป่าว) มีประโยชน์มากมาย
4. แต่งกายสุภาพ
การเที่ยวพม่าในทริปนี้เน้นวัด ดังนั้นเราต้องแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการเข้าวัด อะไรที่สั้นกว่าเข่าและเสื้อไม่มีแขนก็ไม่ควรเนอะ กางเกงขายาวใส่เข้าวัดได้แต่ต้องไม่รัดรูป หรือถ้าให้มั่นใจว่าเข้าได้ชัวร์ลองไปหาโสร่งนุ่งดู แต่งตัวแบบคนพม่าไปเลย เพื่อนที่ไปด้วยใส่กางเกงรัดรูปก็จะพกโสร่งไปด้วยอันนึงพอจะเข้าวัดก็หยิบออกมานุ่งทับกางเกง
5.ศึกษาพุทธศาสนาหรือประวัติศาสตร์พม่าไปบ้างจะอินมากเวลาเที่ยว
อันนี้อาจจะเพราะคุณไกด์เล่าเรื่องให้ฟังเยอะแยะ รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเรียนเมื่อสิบกว่าปีก่อน พระเจ้าบุเรงนอง แม่น้ำอิรวดี พุทธประวัติ พระเจ้า 10 ชาติ สมัยพม่าโดนอังกฤษยึด อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราพอจะหาความเชื่อมโยงกับสมัยเรียนได้บ้างก็จะสนุกดีไปอีกแบบ
เตรียมตัวก่อนไป
1. แผนเที่ยวคร่าว ๆ
วันที่ 1 บินไปลงย่างกุ้งตอนเช้า เที่ยวย่างกุ้ง นอนย่างกุ้ง
วันที่ 2 เที่ยวหงสาวดี (BAGO ที่คนพม่าเรียกกัน) นอนแถวพระธาตุอินทร์แขวน
วันที่ 3 ขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนเดินทางกลับย่างกุ้งตอนบ่ายนอนย่างกุ้ง
วันที่ 4 เที่ยวในย่างกุ้งและบริเวณชานเมืองใกล้เคียง บินกลับไทยตอนดึก
เราวางแผนซื้อตั๋วเครื่องบินจองโรงแรมก่อนที่จะหาไกด์แผนการเที่ยวก็เลยเป็นประมาณนี้ ที่เที่ยวก็มีที่อยากไปแบบต้องไปแน่ ๆ ตามที่คุยกับเพื่อนร่วมทริปคือคิดไว้ว่าอยากไปพิพิธภันฑ์แห่งชาติ เจดีย์ชเวดากองและพระธาตุอินทร์แขวน ส่วนที่เหลือคือให้คุณไกด์นำเสนอ อยากพาเราไปเที่ยวไหนก็ได้
เราหาไกด์นำเที่ยวชาวพม่าที่พูดภาษาอังกฤษได้ ค่าจ้างก็จะเหมารวมทั้งค่ารถ ค่าน้ำมัน และค่าผ่านทางตามเมืองต่าง ๆ ไม่รวมค่าเข้าสถานที่ หรือค่ากินของเราเอง ไกด์สามารถหาได้ตามกระทู้พันทิป แต่ไกด์ที่เราจ้างรู้จักมาจากเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง (ซับซ้อนไปอีก) คุณไกด์จะช่วยเราวางแผนการเดินทางไปที่ไหนก่อนหลัง วางแผนเที่ยวเพื่อให้ประหยัดเวลา แนะนำร้านอาหารให้ และช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตง่ายขึ้น
เครื่องบินมีหลายสายการบินช่วงที่โปรโมชั่นดี ๆ ราคาไปกลับไม่ถึง 2000 บาท แต่เราไม่เคยจองได้ ดังนั้นเราก็จองธรรมดาไม่ได้ดูโปรอะไรเป็นพิเศษ ดูตามวันว่างว่าลางานได้ ราคาไปกลับและขากลับมีโหลดกระเป๋า เบ็ดเสร็จต่อคนอยู่ที่ 3042 บาท
เงินตรา พม่าใช้เงินจ๊าด 1 บาท = 47.18 จ๊าด (คิดเร็ว ๆ เวลาซื้อของก็ปัด ๆ ไปเป็น 1 บาท = 50 จ๊าด) เงินจ๊าดสามารถหาแลกได้ตามร้านแลกเงินใหญ่ ๆ ในประเทศไทย หรือถ้าหาไม่ได้ก็แลกเป็น USD ก่อนแล้วไปแลกจ๊าดที่พม่าได้ ซึ่ง USD ต้องบอกที่ร้านแลกเงินด้วยว่าเอาไปใช้ที่พม่าเค้าจะได้เอาแบงค์ใหม่ที่ไม่ยับมาให้ ที่พม่ารับเฉพาะแบงค์ USD ใหม่ที่ไม่ยับ ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งก็สามารถเอาเงินบาทไปแลกที่พม่าได้เลย ค่าครองชีพที่พม่าไม่แพง เราไป 4 วันแลกเงินไปใช้สำหรับค่ากิน ค่าเข้าสถานที่ ค่าของฝากกองโต รวมไม่ถึง 4000 บาท ของที่ขายในสถานที่ท่องเที่ยวรับเงินบาทด้วย
เรื่องของไฟฟ้า ปลั๊กไฟที่พม่าเหมือนของไทยเลย ไม่ต้องใช้ตัวแปลง แต่แถวพระธาตุอินทร์แขวนไฟดับบ่อย ควรพกไฟฉายไปเผื่อด้วย
เหยียบแผ่นดินพม่า
เรานั่งเครื่องบินไปแป๊บเดียวประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงพม่าตอนเช้า สนามบินที่ย่างกุ้งไม่ใหญ่ ไม่ค่อยตรวจอะไรนักท่องเที่ยว คนไม่ค่อยเยอะอาจเพราะเป็นช่วง Low season เลยผ่านได้เร็วมาก พอผ่านตรงตรวจคนเข้าเมืองปุ๊บมองไปก็เห็นทางออกแล้วแบบงง ๆ O.o พอถึงทางออกก็เจอคุณไกด์ยืนถือป้ายรอตรงทางออก คุณไกด์ชื่อ Thet Kyaw Oo ซึ่งคนไทยอ่านไม่ค่อยถูก คุณไกด์เลยให้เรียกว่า อู ก็พอ ตั้งแต่ตรงนี้จะเรียกคุณไกด์ว่า คุณอู ภาพแรกที่เราเห็นตอนนั้นคุณอูมาในชุดที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว ท่อนล่างนุ่งโสร่ง และรองเท้าแตะหูหนีบ ตอนแรกก็รู้สึกไม่คุ้นตา เรียกว่าแปลกตาเลยดีกว่า แต่พออยู่พม่าไปสักพัก สายตาจะปรับจนชินไปเองว่าโสร่งเป็นเหมือนกางเกง พอเห็นคนพม่าใส่กางเกงก็จะรู้สึกไม่คุ้นแทน
DAY 1
1.
เทพทันใจ กับ
เทพกระซิบ สถานที่ยอดฮิตคนไทยชอบไป เราก็ไปตามนั้น สองแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกันเดินข้ามถนนก็ถึงกัน
เทพทันใจจะมีวิธีไหว้แปลก ๆ ให้พับแบงค์สองอันเป็นกรวยแล้วสอดซ้อนกันไว้ จากนั้นเอาใส่ตรงมือเทพ พออธิฐานเสร็จหยิบใบนึงออกอีกใบทิ้งไว้ในมือเทพเป็นการทำบุญ แบงค์ใบที่หยิบออกเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ห้ามใช้ คุณอูบอกว่าเก็บไว้นะคุณจะได้ Goodluck
สำหรับเทพกระซิบคุณอูบอกว่าปกติจะเป็นผู้หญิงผมยาวสวยงาม แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเข้าพรรษาเลยกลายเป็นแม่ชี
2. ตลาดสก็อตและห้าง Junction city
ตลาดปิดวันจันทร์ คุณอูเลยพามาวันนี้แทน เป็นแหล่งซื้อของฝาก ราคาพอดูแล้วแพงกว่าที่อื่นแต่ก็ต่อราคาได้ คนพม่าซื่อสัตย์เวลาขายของ น่าเชื่อถือกว่าเวียดนามที่ชอบโก่งราคา
ตรงข้ามตลาดเป็นห้างชื่อ Junction city ข้างในอารมณ์ประมาณเซ็นทรัลที่ไทย มีโรงหนังด้วย มีพนักงานบริษัทมากินข้าวกันตอนพักเที่ยง ราคาอาหารถูกกว่าไทย
จานนี้เป็นอาหารอินเดียในศูนย์อาหารห้าง ราคา 25000 จ๊าด ยังไม่รวม vat (ที่พม่าจะมี vat 5%) รวมแล้วประมาณ 50 บาท อิ่มยันดึก ๆ (เพื่อนเราก็สั่งอย่างอื่นแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)
3. National Museum
ค่าเข้า 5000 จ๊าดสำหรับชาวต่างชาติ มี audio guide ให้ฟังด้วย ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะเค้าห้ามถ่าย แต่สามารถหาดูรูปได้ใน trip adviser ซึ่งเค้าถ่ายรูปมาได้ไงนะ ??? ที่นี่อาจไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมาก แต่เราเองประทับใจนะ พิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 5 ชั้น กว้างขวางเดินคุ้มมาก จัดแสงสลัว บางชั้นมีไฟกระพริบด้วย น่ากลัวดี 555 คนไม่ค่อยมี
พิพิธภัณฑ์เน้นไปทางศิลปวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ของพม่า ทีเด็ดคือ Lion throne ของจริงที่กษัตริย์ใช้ อารมณ์เหมือนใน Game of throne ตอนแรกที่เข้ามาคิดว่าจะมีประวัติศาสตร์สมัยที่พม่ารบกับไทย แต่ไม่มีเลย พม่าไม่เน้นสงคราม ต่างกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เวียดนาม ที่โน่นจะมีรูปถ่ายสมัยเขมรแดง สมัยฝรั่งเศสยึด มีรูปถ่ายคนตาย ห้องข้างกันก็มี กิโยตินที่ใช้ประหารคนในรูปตั้งอยู่ O.o เน้นไปทางสงครามสุด ๆ
สรุปคือคนไทยไม่ค่อยไปที่นี่ จะไม่ไปก็ได้ แต่ไปก็ดีจะได้ดูอะไรนอกจากวัด ได้เห็นศิลปะวัฒนธรรมหลายอย่าง รวมถึงเครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่าง ๆ ของพม่า
แล้วเราก็ไป check in โรงแรม เราจอง crystal palace hotel ห้องนอน 3 คนรวมอาหารเช้า ราคาคืนละ 1000 บาท จากหน้าต่างโรงแรมถ้าได้อยู่ชั้นบน ๆ จะมองเห็นยอดเจดีย์ชเวดากองด้วย ราคาโรงแรมในย่างกุ้งถูกเมื่อเทียบกับไทย ย่างกุ้งมีที่พักให้เลือกหลายที่ต่างกับตรงแถวพระธาตุอินทร์แขวนที่พักจะราคาสูงแถมยังไม่ค่อยมีให้เลือก
4. เจดีย์ชเวดากอง
ถ้าไม่ได้ไปเหมือนมาไม่ถึงย่างกุ้ง คุณอูบอกว่าไปตอนกลางคืนก็สวยอีกแบบต่างจากตอนกลางวัน พอไปถึงภาพที่เห็นคือสวยงามมากกกกกสมคำร่ำลือ ทองอร่ามตาสุด แค่เห็นก็รู้สึกถึงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวพม่า ค่าเข้าสถานที่นี้อยู่ที่ราคา 10000 จ๊าดแต่โคตรคุ้ม ไปตอนกลางคืนเปิดไฟสวยมาก ยิ่งเราไป low season + ฝนตกพรำ ๆ คนก็เลยไม่เยอะ ถ่ายรูปได้ตามใจชอบ อยากเดินไปไหว้อะไรก็สะดวก คุณอูบอกว่าถ้า high season คนจะแน่นจนเดินไม่ได้เลย ถ่ายรูปก็จะเห็นแต่คนไม่ค่อยเห็นวิวสถานที่
ดอกไม้สำหรับเข้าไปไหว้ เรียกว่า ชเวป้าน ...
มีพิพิธภัณฑ์ชเวดากองด้วย มีรูปถ่ายสมัยก่อน เจดีย์ไม่ได้เป็นสีทองอร่ามแต่คนพม่าช่วยกันรวบรวมเงิน เอาเครื่องเพชร เอาทองตัวเองมาบริจาคช่วยกันสร้าง อ่าว!!! แล้วตอนเรียนสังคมที่บอกว่าพม่าเผาทองอยุธยาไปล่ะ เรื่องนี้ไม่กล้าถามคุณอู กลัวไม่ได้กลับไทย 555
ในพิพิธภัณฑ์มีรูปถ่ายสมัยที่พม่าตกเป็นของอังกฤษ คนอังกฤษใส่รองเท้าเข้ามาในเจดีย์ด้วย อันนี้คุณอูเล่าอย่างแค้น ๆ เรื่องรบกับไทยยังไม่แค้นเท่าอังกฤษใส่รองเท้าเข้าเจดีย์ชเวดากอง (คนพม่าจริงจังกับการห้ามใส่รองเท้าเข้าวัดมาก) ดังนั้นทุกคนอย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดในพม่าด้วยนะ ^^
5. ไปกินอาหารทะเล ร้าน Minn Lan Kan Daw Gyi
ร้านอาหารทะเลในย่างกุ้ง ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับไทย ร้านนี้สำหรับคนย่างกุ้งถือว่าหรูมาก อารมณ์ประมาณว่าเป็นภัตตาคาร
ปูนิ่มทอด 11000 จ๊าด 220 บาท
อาหารทะเลกิน 3 คน หมดไป 30000 จ๊าด คิดเป็น 600 บาท ต่อหัวคนละ 200 บาท ถ้ากินซีฟู้ดในไทยราคาเท่านี้อาจจะไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นถ้าไปย่างกุ้งต้องไปลองซีฟู้ดราคาดีงาม
โปรดอ่านตอนต่อไป ( Day2 , Day3, Day4 ) ได้ที่คอมเมนต์นะคะ
[CR] เที่ยวพม่า...หน้าฝน Low season มันเป็นยังไง? (4 วัน 3 คืน)
ตอนแรกที่ไปพม่าบอกเลยว่ามีแต่คนขัดขวาง เพื่อนร่วมงานถามว่าจะไปเผาทองคืนมาเหรอ ที่บ้านก็บอกว่าอันตรายนะตอนนี้รัฐคะฉิ่นรบกับรัฐบาลพม่า ขนาดสายการบินที่จองไปตอนแรกก็แคนเซิลไฟร์ท สายการบินที่จองไปรอบสองก็เลื่อนไฟล์ท แต่ในที่สุดก็ได้ไป...
ข้อแนะนำในการเที่ยวพม่า
1. รองเท้าต้องพร้อมถอดทุกวัดใส่แตะคีบเหมาะที่สุด
รองเท้าผ้าใบไม่ควรใส่ไปเพราะวัดที่พม่าห้ามใส่ถุงเท้าและรองเท้าเข้าวัด สถานที่ทางศาสนาบางที่ต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไปไกลกว่าวัดที่ไทย ต้องระวังเท้าเป็นแผลด้วย และความที่ต้องถอดรองเท้าทุกที่เพื่อนที่ไปด้วยก็บอกว่าจริง ๆ แล้วมาเที่ยวพม่าไม่ต้องใส่รองเท้ามาก็ได้ = =" นอกจากเท้าเปล่าแล้ว เข่าต้องดีด้วย ไหว้พระต้องคุกเข่าบ่อย อย่ารอจนแก่ค่อยไป จะไม่ไหว 555
2. ทิชชู่เปียก
ทิชชู่เปียกเป้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เอาไว้ใช้เช็ดเท้าหลังจากไปเดินถอดรองเท้ามา
3. ร่ม หมวก ครีมกันแดด ผ้าอเนกประสงค์
ฝนตกก็กางร่ม แดดออกก็ทาครีมกันแดด สำหรับเราเองพกผ้าพันคือผืนนึงเป็นผ้าอเนกประสงค์ เอาไว้คลุมหัวทั้งเวลาฝนตกและแดดออก เวลาแอร์รถหนาวก็เอามาห่มได้ เอาไว้ถ่ายรูปสวย ๆ ก็ไได้ (แต่ไม่รู้คิดไปเองว่าสวยคนเดียวรึป่าว) มีประโยชน์มากมาย
4. แต่งกายสุภาพ
การเที่ยวพม่าในทริปนี้เน้นวัด ดังนั้นเราต้องแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการเข้าวัด อะไรที่สั้นกว่าเข่าและเสื้อไม่มีแขนก็ไม่ควรเนอะ กางเกงขายาวใส่เข้าวัดได้แต่ต้องไม่รัดรูป หรือถ้าให้มั่นใจว่าเข้าได้ชัวร์ลองไปหาโสร่งนุ่งดู แต่งตัวแบบคนพม่าไปเลย เพื่อนที่ไปด้วยใส่กางเกงรัดรูปก็จะพกโสร่งไปด้วยอันนึงพอจะเข้าวัดก็หยิบออกมานุ่งทับกางเกง
5.ศึกษาพุทธศาสนาหรือประวัติศาสตร์พม่าไปบ้างจะอินมากเวลาเที่ยว
อันนี้อาจจะเพราะคุณไกด์เล่าเรื่องให้ฟังเยอะแยะ รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเรียนเมื่อสิบกว่าปีก่อน พระเจ้าบุเรงนอง แม่น้ำอิรวดี พุทธประวัติ พระเจ้า 10 ชาติ สมัยพม่าโดนอังกฤษยึด อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราพอจะหาความเชื่อมโยงกับสมัยเรียนได้บ้างก็จะสนุกดีไปอีกแบบ
เตรียมตัวก่อนไป
1. แผนเที่ยวคร่าว ๆ
วันที่ 1 บินไปลงย่างกุ้งตอนเช้า เที่ยวย่างกุ้ง นอนย่างกุ้ง
วันที่ 2 เที่ยวหงสาวดี (BAGO ที่คนพม่าเรียกกัน) นอนแถวพระธาตุอินทร์แขวน
วันที่ 3 ขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนเดินทางกลับย่างกุ้งตอนบ่ายนอนย่างกุ้ง
วันที่ 4 เที่ยวในย่างกุ้งและบริเวณชานเมืองใกล้เคียง บินกลับไทยตอนดึก
เราวางแผนซื้อตั๋วเครื่องบินจองโรงแรมก่อนที่จะหาไกด์แผนการเที่ยวก็เลยเป็นประมาณนี้ ที่เที่ยวก็มีที่อยากไปแบบต้องไปแน่ ๆ ตามที่คุยกับเพื่อนร่วมทริปคือคิดไว้ว่าอยากไปพิพิธภันฑ์แห่งชาติ เจดีย์ชเวดากองและพระธาตุอินทร์แขวน ส่วนที่เหลือคือให้คุณไกด์นำเสนอ อยากพาเราไปเที่ยวไหนก็ได้
เราหาไกด์นำเที่ยวชาวพม่าที่พูดภาษาอังกฤษได้ ค่าจ้างก็จะเหมารวมทั้งค่ารถ ค่าน้ำมัน และค่าผ่านทางตามเมืองต่าง ๆ ไม่รวมค่าเข้าสถานที่ หรือค่ากินของเราเอง ไกด์สามารถหาได้ตามกระทู้พันทิป แต่ไกด์ที่เราจ้างรู้จักมาจากเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง (ซับซ้อนไปอีก) คุณไกด์จะช่วยเราวางแผนการเดินทางไปที่ไหนก่อนหลัง วางแผนเที่ยวเพื่อให้ประหยัดเวลา แนะนำร้านอาหารให้ และช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตง่ายขึ้น
เครื่องบินมีหลายสายการบินช่วงที่โปรโมชั่นดี ๆ ราคาไปกลับไม่ถึง 2000 บาท แต่เราไม่เคยจองได้ ดังนั้นเราก็จองธรรมดาไม่ได้ดูโปรอะไรเป็นพิเศษ ดูตามวันว่างว่าลางานได้ ราคาไปกลับและขากลับมีโหลดกระเป๋า เบ็ดเสร็จต่อคนอยู่ที่ 3042 บาท
เงินตรา พม่าใช้เงินจ๊าด 1 บาท = 47.18 จ๊าด (คิดเร็ว ๆ เวลาซื้อของก็ปัด ๆ ไปเป็น 1 บาท = 50 จ๊าด) เงินจ๊าดสามารถหาแลกได้ตามร้านแลกเงินใหญ่ ๆ ในประเทศไทย หรือถ้าหาไม่ได้ก็แลกเป็น USD ก่อนแล้วไปแลกจ๊าดที่พม่าได้ ซึ่ง USD ต้องบอกที่ร้านแลกเงินด้วยว่าเอาไปใช้ที่พม่าเค้าจะได้เอาแบงค์ใหม่ที่ไม่ยับมาให้ ที่พม่ารับเฉพาะแบงค์ USD ใหม่ที่ไม่ยับ ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งก็สามารถเอาเงินบาทไปแลกที่พม่าได้เลย ค่าครองชีพที่พม่าไม่แพง เราไป 4 วันแลกเงินไปใช้สำหรับค่ากิน ค่าเข้าสถานที่ ค่าของฝากกองโต รวมไม่ถึง 4000 บาท ของที่ขายในสถานที่ท่องเที่ยวรับเงินบาทด้วย
เรื่องของไฟฟ้า ปลั๊กไฟที่พม่าเหมือนของไทยเลย ไม่ต้องใช้ตัวแปลง แต่แถวพระธาตุอินทร์แขวนไฟดับบ่อย ควรพกไฟฉายไปเผื่อด้วย
เหยียบแผ่นดินพม่า
เรานั่งเครื่องบินไปแป๊บเดียวประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงพม่าตอนเช้า สนามบินที่ย่างกุ้งไม่ใหญ่ ไม่ค่อยตรวจอะไรนักท่องเที่ยว คนไม่ค่อยเยอะอาจเพราะเป็นช่วง Low season เลยผ่านได้เร็วมาก พอผ่านตรงตรวจคนเข้าเมืองปุ๊บมองไปก็เห็นทางออกแล้วแบบงง ๆ O.o พอถึงทางออกก็เจอคุณไกด์ยืนถือป้ายรอตรงทางออก คุณไกด์ชื่อ Thet Kyaw Oo ซึ่งคนไทยอ่านไม่ค่อยถูก คุณไกด์เลยให้เรียกว่า อู ก็พอ ตั้งแต่ตรงนี้จะเรียกคุณไกด์ว่า คุณอู ภาพแรกที่เราเห็นตอนนั้นคุณอูมาในชุดที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว ท่อนล่างนุ่งโสร่ง และรองเท้าแตะหูหนีบ ตอนแรกก็รู้สึกไม่คุ้นตา เรียกว่าแปลกตาเลยดีกว่า แต่พออยู่พม่าไปสักพัก สายตาจะปรับจนชินไปเองว่าโสร่งเป็นเหมือนกางเกง พอเห็นคนพม่าใส่กางเกงก็จะรู้สึกไม่คุ้นแทน
DAY 1
1. เทพทันใจ กับ เทพกระซิบ สถานที่ยอดฮิตคนไทยชอบไป เราก็ไปตามนั้น สองแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกันเดินข้ามถนนก็ถึงกัน
เทพทันใจจะมีวิธีไหว้แปลก ๆ ให้พับแบงค์สองอันเป็นกรวยแล้วสอดซ้อนกันไว้ จากนั้นเอาใส่ตรงมือเทพ พออธิฐานเสร็จหยิบใบนึงออกอีกใบทิ้งไว้ในมือเทพเป็นการทำบุญ แบงค์ใบที่หยิบออกเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ห้ามใช้ คุณอูบอกว่าเก็บไว้นะคุณจะได้ Goodluck
สำหรับเทพกระซิบคุณอูบอกว่าปกติจะเป็นผู้หญิงผมยาวสวยงาม แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเข้าพรรษาเลยกลายเป็นแม่ชี
2. ตลาดสก็อตและห้าง Junction city
ตลาดปิดวันจันทร์ คุณอูเลยพามาวันนี้แทน เป็นแหล่งซื้อของฝาก ราคาพอดูแล้วแพงกว่าที่อื่นแต่ก็ต่อราคาได้ คนพม่าซื่อสัตย์เวลาขายของ น่าเชื่อถือกว่าเวียดนามที่ชอบโก่งราคา
ตรงข้ามตลาดเป็นห้างชื่อ Junction city ข้างในอารมณ์ประมาณเซ็นทรัลที่ไทย มีโรงหนังด้วย มีพนักงานบริษัทมากินข้าวกันตอนพักเที่ยง ราคาอาหารถูกกว่าไทย
จานนี้เป็นอาหารอินเดียในศูนย์อาหารห้าง ราคา 25000 จ๊าด ยังไม่รวม vat (ที่พม่าจะมี vat 5%) รวมแล้วประมาณ 50 บาท อิ่มยันดึก ๆ (เพื่อนเราก็สั่งอย่างอื่นแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)
3. National Museum
ค่าเข้า 5000 จ๊าดสำหรับชาวต่างชาติ มี audio guide ให้ฟังด้วย ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะเค้าห้ามถ่าย แต่สามารถหาดูรูปได้ใน trip adviser ซึ่งเค้าถ่ายรูปมาได้ไงนะ ??? ที่นี่อาจไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมาก แต่เราเองประทับใจนะ พิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 5 ชั้น กว้างขวางเดินคุ้มมาก จัดแสงสลัว บางชั้นมีไฟกระพริบด้วย น่ากลัวดี 555 คนไม่ค่อยมี
พิพิธภัณฑ์เน้นไปทางศิลปวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ของพม่า ทีเด็ดคือ Lion throne ของจริงที่กษัตริย์ใช้ อารมณ์เหมือนใน Game of throne ตอนแรกที่เข้ามาคิดว่าจะมีประวัติศาสตร์สมัยที่พม่ารบกับไทย แต่ไม่มีเลย พม่าไม่เน้นสงคราม ต่างกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เวียดนาม ที่โน่นจะมีรูปถ่ายสมัยเขมรแดง สมัยฝรั่งเศสยึด มีรูปถ่ายคนตาย ห้องข้างกันก็มี กิโยตินที่ใช้ประหารคนในรูปตั้งอยู่ O.o เน้นไปทางสงครามสุด ๆ
สรุปคือคนไทยไม่ค่อยไปที่นี่ จะไม่ไปก็ได้ แต่ไปก็ดีจะได้ดูอะไรนอกจากวัด ได้เห็นศิลปะวัฒนธรรมหลายอย่าง รวมถึงเครื่องแต่งกายของชนเผ่าต่าง ๆ ของพม่า
แล้วเราก็ไป check in โรงแรม เราจอง crystal palace hotel ห้องนอน 3 คนรวมอาหารเช้า ราคาคืนละ 1000 บาท จากหน้าต่างโรงแรมถ้าได้อยู่ชั้นบน ๆ จะมองเห็นยอดเจดีย์ชเวดากองด้วย ราคาโรงแรมในย่างกุ้งถูกเมื่อเทียบกับไทย ย่างกุ้งมีที่พักให้เลือกหลายที่ต่างกับตรงแถวพระธาตุอินทร์แขวนที่พักจะราคาสูงแถมยังไม่ค่อยมีให้เลือก
4. เจดีย์ชเวดากอง
ถ้าไม่ได้ไปเหมือนมาไม่ถึงย่างกุ้ง คุณอูบอกว่าไปตอนกลางคืนก็สวยอีกแบบต่างจากตอนกลางวัน พอไปถึงภาพที่เห็นคือสวยงามมากกกกกสมคำร่ำลือ ทองอร่ามตาสุด แค่เห็นก็รู้สึกถึงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวพม่า ค่าเข้าสถานที่นี้อยู่ที่ราคา 10000 จ๊าดแต่โคตรคุ้ม ไปตอนกลางคืนเปิดไฟสวยมาก ยิ่งเราไป low season + ฝนตกพรำ ๆ คนก็เลยไม่เยอะ ถ่ายรูปได้ตามใจชอบ อยากเดินไปไหว้อะไรก็สะดวก คุณอูบอกว่าถ้า high season คนจะแน่นจนเดินไม่ได้เลย ถ่ายรูปก็จะเห็นแต่คนไม่ค่อยเห็นวิวสถานที่
ดอกไม้สำหรับเข้าไปไหว้ เรียกว่า ชเวป้าน ...
มีพิพิธภัณฑ์ชเวดากองด้วย มีรูปถ่ายสมัยก่อน เจดีย์ไม่ได้เป็นสีทองอร่ามแต่คนพม่าช่วยกันรวบรวมเงิน เอาเครื่องเพชร เอาทองตัวเองมาบริจาคช่วยกันสร้าง อ่าว!!! แล้วตอนเรียนสังคมที่บอกว่าพม่าเผาทองอยุธยาไปล่ะ เรื่องนี้ไม่กล้าถามคุณอู กลัวไม่ได้กลับไทย 555
ในพิพิธภัณฑ์มีรูปถ่ายสมัยที่พม่าตกเป็นของอังกฤษ คนอังกฤษใส่รองเท้าเข้ามาในเจดีย์ด้วย อันนี้คุณอูเล่าอย่างแค้น ๆ เรื่องรบกับไทยยังไม่แค้นเท่าอังกฤษใส่รองเท้าเข้าเจดีย์ชเวดากอง (คนพม่าจริงจังกับการห้ามใส่รองเท้าเข้าวัดมาก) ดังนั้นทุกคนอย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดในพม่าด้วยนะ ^^
5. ไปกินอาหารทะเล ร้าน Minn Lan Kan Daw Gyi
ร้านอาหารทะเลในย่างกุ้ง ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับไทย ร้านนี้สำหรับคนย่างกุ้งถือว่าหรูมาก อารมณ์ประมาณว่าเป็นภัตตาคาร
ปูนิ่มทอด 11000 จ๊าด 220 บาท
อาหารทะเลกิน 3 คน หมดไป 30000 จ๊าด คิดเป็น 600 บาท ต่อหัวคนละ 200 บาท ถ้ากินซีฟู้ดในไทยราคาเท่านี้อาจจะไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นถ้าไปย่างกุ้งต้องไปลองซีฟู้ดราคาดีงาม
โปรดอ่านตอนต่อไป ( Day2 , Day3, Day4 ) ได้ที่คอมเมนต์นะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้