เพิ่งได้เห็นการเปิดตัวแอพฯยืมมั้ย แอพฯยืมมือถือที่พี่ซีเพิ่งรีวิวไป เท่าที่เราเคยได้ยินมาคือ เคยมีพวกแนวนี้แหละในเมืองนอก จะว่าไปมันดูน่าสนใจดี เราเองก็เลยไปลองหาข้อมูลมา เพราะอยากรู้เหมือนกันว่า มันถูกมันแพงกว่ากันยังไง ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SCI, AIS, SCB, COM7 แล้วก็เมืองไทยประกันภัย เค้าถึงกล้าร่วมมือกันเปิดบริการแบบนี้?
เราเลยขอเอามาเปรียบเทียบในมุมมองของคนทำงานกินเงินเดือนละกันนะ ไม่นับพวกซื้อสดงดเชื่อเบื่อทวงพวกนั้นละกัน และก็ขอใช้มือถือเป็น iPhone xs max 64GB มาเทียบครับ
มาเริ่มที่ซื้อมือถือใหม่กันก่อน ขอเอาเป็นค่ายที่คิดว่าโอสุด นั่นคือ AIS ละกัน
แพคที่ผมหยิบมาจะเป็นอันบนสุด เพราะคิดว่าถูกสุดแล้ว ราคาเครื่องคือ 35,300.- ค่าบริการล่วงหน้า 1,500.-
ส่วนแพคเกจคือ 699.- ต่อเดือน รายละเอียดอย่างที่เห็น หักค่าบริการล่วงหน้าก็เหลือประมาณ10 เดือน
รวมแล้ว 35,300 + 1,500 + (699*10) = 43,790 บาท
ต่อไปมาดูของยืมมั้ยกันบ้างในเครื่องรุ่นเดียวกันคือ xs max 64GB เหมือนกัน
สัญญาเช่า 1 ปี ค่ายืมแบบผ่อน10เดือน เดือนละ 4,248.- รวมค่าประกัน รวมค่าบริการซิมแล้ว
(โปรฯ เป็นโปรฯ พิเศษจาก AIS เน็ต 4MB unlimited ค่าโทรใน AIS 1บาท/ชม. ค่าอื่น 1บาท/นาที)
หลังจากครบสัญญาได้เงินคืน 15,000.- ค่ามัดจำรวมแล้ว (4,248*10) - 15,000 = 27,480 บาท
พอเอามาหักลบ 43,790 - 27,480 = 16,310 บาท
นั่นหมายความว่า พอครบ1ปี คนที่ใช้ยืมมั้ยจะเสียเงินน้อยกว่า 16,310 บาท แต่จะไม่ได้มือถือเป็นของตัวเอง นั่นหมายความว่าคนที่ซื้อใช้ จะคุ้มกว่ายืมจากแอพฯยืมมั้ยก็ต่อเมื่อ ขายต่อได้ในราคาสูงกว่า 16,310 บาท ซึ่งก็อาจดูเหมือนง่าย แต่เวลาคำนวณก็ฝากคิดเรื่องราคาเครื่องที่จะตกลงเมื่อรุ่นใหม่ออกมาด้วย
และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้ยืมมั้ยได้เปรียบนั่นก็คือ การประกันตัวเครื่อง ที่รับประกันหมดทั้งจอแตก ตกน้ำ เสียหาย (น่าจะรับประกันโดยเมืองไทยประกันภัย)
สรุป / คหสต.
แอพฯ ยืมมั้ย ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับคนที่เปลี่ยนมือถืออยู่แล้วทุกปี เพราะแน่นอนว่า รุ่นใหม่ออกมาไม่ขาดสายอยู่แล้ว สำหรับคนที่คิดว่าแพง นั่นอาจเป็นเพราะคิดว่า ทำไมจ่ายตังค์ไปแล้ว ไม่ได้มือถือเป็นของตัวเอง สุดท้ายต้องเอาไปคืนเค้าอยู่ดี แต่ถ้ามองในมุมของคนที่ไม่ค่อยรักษามือถือ ใช้แล้วเปลี่ยนบ่อย หรือใช้ไปใช้มา สุดท้ายขายไม่ออก ทิ้งเป็นซากอยู่ในลิ้นชัก อันนี้ก็ทำให้แอพฯ นี้น่าสนใจขึ้นมาได้ เพราะไม่ต้องนั่งห่วงเรื่องพังหรือขายต่อ เพราะเขารับเครื่องคืน ค่าซ่อมก็ออกแค่บางส่วน ไม่ต้องจ่ายเต็มเหมือนเวลาทำพังเอง หรืออย่างตอนจอแตก เราเองก็มองว่าคุ้ม มีประกันดูแลตลอด เสียก็แค่ 10 % อย่างถ้าเสียค่าจอจริงๆ อย่างต่ำก็เข้าเนื้อเกือบ 8,000 แต่แอพนี้เสียแค่ 800 ก็ถือว่าได้อยู่ และที่สำคัญน่าจะเหมาะกับบริษัทใหญ่ๆ เหมือนกัน เพราะไม่ต้องมาทนแบกรับความเสี่ยง
ต้องรอดูกันต่อไปว่า กระแสจะเป็นยังไงต่อไป ซึ่งส่วนตัวมองว่า ยืมมั้ย เป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้บริโภค และเป็นไอเดียธุรกิจที่กล้าแหวกดี (ไม่อย่างงั้นบริษัทใหญ่ๆ คงไม่กล้ามาลงทุนกันหรอก)
มีใครลองแล้วบ้าง ช่วยแชร์หน่อยครับ
"ยืมมั้ย" กับ "ซื้อมือถือใหม่" อันไหนคุ้มกว่ากัน?
เราเลยขอเอามาเปรียบเทียบในมุมมองของคนทำงานกินเงินเดือนละกันนะ ไม่นับพวกซื้อสดงดเชื่อเบื่อทวงพวกนั้นละกัน และก็ขอใช้มือถือเป็น iPhone xs max 64GB มาเทียบครับ
มาเริ่มที่ซื้อมือถือใหม่กันก่อน ขอเอาเป็นค่ายที่คิดว่าโอสุด นั่นคือ AIS ละกัน
แพคที่ผมหยิบมาจะเป็นอันบนสุด เพราะคิดว่าถูกสุดแล้ว ราคาเครื่องคือ 35,300.- ค่าบริการล่วงหน้า 1,500.-
ส่วนแพคเกจคือ 699.- ต่อเดือน รายละเอียดอย่างที่เห็น หักค่าบริการล่วงหน้าก็เหลือประมาณ10 เดือน
รวมแล้ว 35,300 + 1,500 + (699*10) = 43,790 บาท
ต่อไปมาดูของยืมมั้ยกันบ้างในเครื่องรุ่นเดียวกันคือ xs max 64GB เหมือนกัน
สัญญาเช่า 1 ปี ค่ายืมแบบผ่อน10เดือน เดือนละ 4,248.- รวมค่าประกัน รวมค่าบริการซิมแล้ว
(โปรฯ เป็นโปรฯ พิเศษจาก AIS เน็ต 4MB unlimited ค่าโทรใน AIS 1บาท/ชม. ค่าอื่น 1บาท/นาที)
หลังจากครบสัญญาได้เงินคืน 15,000.- ค่ามัดจำรวมแล้ว (4,248*10) - 15,000 = 27,480 บาท
พอเอามาหักลบ 43,790 - 27,480 = 16,310 บาท
นั่นหมายความว่า พอครบ1ปี คนที่ใช้ยืมมั้ยจะเสียเงินน้อยกว่า 16,310 บาท แต่จะไม่ได้มือถือเป็นของตัวเอง นั่นหมายความว่าคนที่ซื้อใช้ จะคุ้มกว่ายืมจากแอพฯยืมมั้ยก็ต่อเมื่อ ขายต่อได้ในราคาสูงกว่า 16,310 บาท ซึ่งก็อาจดูเหมือนง่าย แต่เวลาคำนวณก็ฝากคิดเรื่องราคาเครื่องที่จะตกลงเมื่อรุ่นใหม่ออกมาด้วย
และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้ยืมมั้ยได้เปรียบนั่นก็คือ การประกันตัวเครื่อง ที่รับประกันหมดทั้งจอแตก ตกน้ำ เสียหาย (น่าจะรับประกันโดยเมืองไทยประกันภัย)
สรุป / คหสต.
แอพฯ ยืมมั้ย ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับคนที่เปลี่ยนมือถืออยู่แล้วทุกปี เพราะแน่นอนว่า รุ่นใหม่ออกมาไม่ขาดสายอยู่แล้ว สำหรับคนที่คิดว่าแพง นั่นอาจเป็นเพราะคิดว่า ทำไมจ่ายตังค์ไปแล้ว ไม่ได้มือถือเป็นของตัวเอง สุดท้ายต้องเอาไปคืนเค้าอยู่ดี แต่ถ้ามองในมุมของคนที่ไม่ค่อยรักษามือถือ ใช้แล้วเปลี่ยนบ่อย หรือใช้ไปใช้มา สุดท้ายขายไม่ออก ทิ้งเป็นซากอยู่ในลิ้นชัก อันนี้ก็ทำให้แอพฯ นี้น่าสนใจขึ้นมาได้ เพราะไม่ต้องนั่งห่วงเรื่องพังหรือขายต่อ เพราะเขารับเครื่องคืน ค่าซ่อมก็ออกแค่บางส่วน ไม่ต้องจ่ายเต็มเหมือนเวลาทำพังเอง หรืออย่างตอนจอแตก เราเองก็มองว่าคุ้ม มีประกันดูแลตลอด เสียก็แค่ 10 % อย่างถ้าเสียค่าจอจริงๆ อย่างต่ำก็เข้าเนื้อเกือบ 8,000 แต่แอพนี้เสียแค่ 800 ก็ถือว่าได้อยู่ และที่สำคัญน่าจะเหมาะกับบริษัทใหญ่ๆ เหมือนกัน เพราะไม่ต้องมาทนแบกรับความเสี่ยง
ต้องรอดูกันต่อไปว่า กระแสจะเป็นยังไงต่อไป ซึ่งส่วนตัวมองว่า ยืมมั้ย เป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้บริโภค และเป็นไอเดียธุรกิจที่กล้าแหวกดี (ไม่อย่างงั้นบริษัทใหญ่ๆ คงไม่กล้ามาลงทุนกันหรอก)
มีใครลองแล้วบ้าง ช่วยแชร์หน่อยครับ