แชร์ประสบการณ์ สิ่งที่ Bodyslam เคยทำกับผม


สวัสดีครับ

อยู่ดีๆ วันนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่องที่ Bodyslam เคยทำกับผมทั้งชีวิต และเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยทีเดียว
——————
“ความเชื่อ”

“เพลงอะไรวะ เห็นฟังทุกวัน” ผมถามกับเพื่อนสนิทที่มันชอบบอดี้แสลมมาก
“ลองฟังดู”
”อ่าวเชี่ย เสียงน้าแอ๊ดนี่หว่า มันเข้ากันเหรอวะ สตริงกับเพื่อชีวิต” เสียงหัวเราะของผมดังขึ้น ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีคนทำเพลงแบบนี้ออกมา ดูตลกดี มันโคตรต่างขั้วกันเลย

หลังจากนั้นผ่านไปหลายปี จนถึงคราวที่ผมต้องใช้ “ความเชื่อ” อีกครั้ง

ในช่วง ม.6 ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมยังไม่มีที่เรียนอย่างเป็นทางการ หลายคนสอบติดโควตา ได้ที่เรียนดีๆ ไปหลายที่แล้ว แต่ผมพึ่งได้สมัครเรียนที่หนึ่ง เป็นโครงการทุนครับ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเรียนเลยนะ แต่พ่อแม่ผมอยากให้เรียน ผมก็เออออห่อหมก ไปสอบให้แต่ดันสอบผ่านรอบแรก

ในช่วงระหว่างรอสอบรอบที่สอง บอกตรงๆ ตอนนั้นคือเครียดมาก ใจหนึ่งก็อยากสละสิทธิ์ไปหาเรียนอย่างอื่น อีกใจก็อยากสอบติดให้พ่อกับแม่
โดนพ่อกับแม่กล่อมอยู่ทุกวัน จนตัดสินใจว่าเอานี่แหละ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไหนๆ ก็สอบมาแล้ว ก็ลงมืออ่านหนังสือครับ ด้วยการสอบครั้งนี้ เป็นการแข่งกับตัวเองล้วนๆ ครับ ถ้าคุณผ่านเกณฑ์ คุณก็ได้เข้าไปเรียนครับ

ช่วงนั้นหากำลังใจในการอ่านหนังสือมากครับ เพราะอ่านกันเอาเป็นเอาตายมาก นอนตีสอง ตื่นเจ็ดโมงเพื่อมาอ่านหนังสือ พ่อกับแม่ก็โทรมาให้กำลังใจทุกวัน ตัวเองก็ต้องหากำลังใจ ผมกับเพื่อนด้วยเป็นคนที่ชอบฟังเพลงเหมือนกัน ก็จะหาเพลงมาฟังช่วงเวลาพักครับ จนผมมาได้ยินเพลงนี้อีกครั้ง

”ๆ เพลงเมื่อกี้ชื่ออะไรวะ เหมือนกุเคยได้ยิน”
“ความเชื่อ ของ บอดี้แสลม ไม่เคยฟังเหรอวะ”
”ส่งไฟล์ให้กุหน่อย กุอยากได้ไปลองฟัง”

คืนนั้น ก่อนนอน ผมใส่หูฟังแล้วเปิดไฟล์ที่เพื่อนพึ่งส่งมาให้
”ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อย ได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป”
ท่อนฮูคนี้ คืนนั้นผมกลับมารีฟังซ้ำๆ พร้อมกับแหงนมองเพดาน จากที่เคยหัวเราะ วันนี้ผมกลับน้ำตาซึม เสียงของอาแอ๊ดมันทรงพลังมาก เหมือนเสียงของอาบอกผมว่า “อย่าหยุด ต้องสู้ต่อไป” แล้วผมก็ทำแบบนี้ซ้ำๆ ทุกคืนจนถึงวันก่อนสอบ

วันสอบ ผมตื่นเต้นมาก เหลือเวลาอีก 15 นาทีผมต้องเข้าห้องสอบ ตอนนั้นคือลนมาก ผมตัดสินใจวางหนังสือเก็บใส่กระเป๋า แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสียบหูฟัง ผมอยากได้ยินเพลงนี้อีกครั้ง ความรู้สึกหลังฟังตอนนั้นคือ เพลงนี้กำลังอวยพรผม ให้ผมทำให้เต็มที่ ผลที่ได้จะเป็นยังไงไม่ต้องสนใจมันแล้ว ผมก็ปิดโทรศัพท์ แล้วก็ส่งให้กรรมการเข้าห้องสอบ

หลังจากรอมาหลายเดือน ผมออกมา ผมสอบติดอย่างที่พ่อแม่ผมหวังไว้ ผมดีใจมาก ผมได้เห็นน้ำตาของพ่อกับแม่ เพราะความยินดี ครั้งแรกในชีวิตที่ผมจำความได้ ขอบคุณ “ความเชื่อ” ครับ แล้วก็กลายมาเป็นธรรมเนียม ถ้าใครที่รู้จักผมก็จะรู้ดี ก่อนเข้าห้องสอบ เพื่อนหลายคนกำลังทวนหนังสือ แต่ผมจะหยิบหูฟังมาฟังเพลงนี้ก่อนเข้าห้องสอบทุกครั้ง
——————
“แสงสุดท้าย”

หลังจากที่ผมเข้ามหาลัยได้ ผมก็เริ่มมาติดตามบอดี้แสลม อย่างจริงจัง เริ่มหาคอนเสิร์ทเก่าๆ มาดู หาเพลงอัลบั้มเก่าๆ มาฟัง ตั้งแต่สมัยอยู่ Music Bug กลายเป็น ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ ไปเสียอย่างนั้น

และแล้วโอกาสแรกของผมก็มาถึง เมื่อรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง จัดกิจกรรมแบบ Exclusive Mini Concert ผมก็ไม่พลาด นี่เป็นโอกาสแรกที่ผมจะได้เจอแรงบันดาลใจของผมแบบเป็นๆ ครั้งแรก หลังจากที่ได้ยินแต่เสียงมานาน แล้วสวรรค์ก็เข้าข้างผม ผมได้บัตรเข้าร่วมกิจกรรม จำได้ว่า ตอนไปเข้าแถวนั้นใจมันเต้นแรงมาก ผมไปตั้งแต่บ่ายสี่โมง เพื่อรอเข้าฮอลล์ ผมจำได้ว่า ผมยืนอยู่ห่างจากเวทีประมาณ 2 เมตรได้ มันใกล้มาก ไม่คิดว่าครั้งแรกของผมจะพิเศษขนาดนี้

วินาทีที่พี่ๆ ปรากฎตัวผมมองหน้าพี่ตูน พี่ปิ๊ด พี่ยอด พี่ชัช (แอบเห็นพี่โอมด้วย ตอนนั้นยังไม่รู้จัก) มันใกล้มากจริงๆ วันนั้นสิ่งที่จำได้คือมันสนุกมาก ไม่แปลกใจที่พี่ๆ จะมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ มาถึงเพลง “ความเชื่อ” พี่ตูนอยากได้นักร้องเพิ่ม การได้ร้องเพลงกับศิลปินในดวงใจ มันคงเป็นจุดสูงสุดของแฟนคลับแล้ว ผมยกมือสุดแขน หวังว่าพี่ตูนจะมองมาทางผมบ้าง ผมมั่นใจว่าร้องได้ทุกคำไม่ผิดเพี้ยน การันตีด้วยการฟังเพลงนี้ก่อนนอนตลอดหลายคืนที่ผ่านมาของผม ผมมั่นใจว่าผมทำได้ แต่สุดท้ายคนที่พี่ตูนเลือก ไม่ใช่ผม แอบเสียใจเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรครั้งหน้าก็ได้วะ (ผมคิดในใจ จนทุกวันนี้ ไปตามไปให้กำลังใจพี่ๆ หลายงาน แต่ก็โดนเทเหมือนเคย ถ้าพี่ๆ ผ่านมาอ่าน หวังว่าสักวันหนึ่งผมจะมีโอกาสนั้นบ้างนะครับ : )) ความสนุกก็มาถึงช่วงสุดท้าย ปิดท้ายด้วย แสงสุดท้าย มันเป็น First Impression ที่พิเศษจริงๆ ครับ

จนต่อมาอีกไม่นาน พี่ๆ ประกาศคอนเสิร์ตใหญ่ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ผมตื่นเต้นมาก และบอกตัวเองว่า “พลาดงานนี้ไม่ได้” แต่สุดท้ายผมก็พลาด เพราะติดภารกิจทางการศึกษาที่สำคัญจริงๆ จนผมได้มาดูย้อนหลังผ่านดีวีดี (คอนเสิร์ตแรกที่เคยดูและซื้อแผ่นเก็บไว้ และเป็นคอนเสิร์ตที่ผมดูแล้วชอบที่สุดและดูไม่ต่ำกว่าร้อยรอบจริงๆ ครับ) มันยิ่งตอกย้ำว่าผมพลาดจริงๆ หนึ่งในนั้นควรจะมีผมอยู่ด้วย จนผมปณิธานกับตัวเองผมต้องไปคอนเสิร์ตใหญ่ของบอดี้แสลมสักครั้งในชีวิต

เมื่อเข้ามาเรียนในมหาลัย มันไม่ได้ง่ายแบบที่ผมคิด ผมเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมมากกว่าเรียน จนทำให้การเรียนมีปัญหา ผมต้องซ้ำชั้นเนี่องจากไม่ผ่านรายวิชาหนึ่ง แต่ทั้งปีเปิดเรียนแค่ครั้งเดียว นั่นคือผมต้องไปเรียนกับน้องรุ่นต่อไป ทั้งที่ตกแค่วิชาเดียว ตอนนั้นคือแบบทำอะไรไม่ถูก พยายามทำทุกทาง แต่ผลสรุปคือ ผมต้องซ้ำชั้นครับ การซ้ำชั้นมันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคณะอื่น แต่สำหรับคณะผม ตารางเรียนในปีถัดไปมันแน่นมากครับ ถ้าคุณจะขึ้นปีสองแล้วหาเวลามาเรียนซ่อมด้วย เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของผมมาก ผมไปไม่ถูกจริงๆ ช่วงแรกนี่ตื้อไปเลย อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เหมือนตัวเองอยู่ในโลกสมมุติ หลอกตัวเองว่ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องจริง จนมีความคิดทำร้ายตัวเองแวบเข้ามาในหัว ผมแปลกใจมาก แน่นอนผมรู้ว่า ผมไม่อยากทำ มันต้องไม่จบแบบนี้ สุดท้ายผมก็ลบความคิดบ้าๆ นี้ออกไปได้ (ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต) พอเริ่มตั้งสติได้ ผมพยายามใช้ชีวิตต่อไป พยายามค่อยแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ

มีอยู่วันหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นวันสุดท้ายสอบ Anatomy ผมอยู่ห้องกายวิภาคเป็นคนสุดท้าย ผมมองดูนาฬิกา น่าจะประมาณตีสามได้ ผมยังไม่ง่วง แต่ถ้าผมยังไม่นอน จะตื่นสายไปสอบเอาได้ ผมปิดห้อง เดินมาโรงอาหารคณะรับลมเย็นๆ ก่อนกลับ เพลงในโทรศัพท์ผมสุ่มเล่นเพลง “แสงสุดท้าย” แน่นอนเพลงนี้ผมเคยฟัง เป็นเพลงที่ดนตรีมันส์มาก เอาเป็นว่าไปคาราโอเกะทีไรต้องมีเพลงนี้ แต่คืนนี้ด้วยความเงียบ ที่มีแต่เสียงเพลง ผมได้เข้าใจสิ่งที่พี่ๆ ต้องการสื่อสารกับเราจริงๆ สักที มันเหมือนเป็นภาคต่อของ “ความเชื่อ” ที่ผมเคยฟังเมื่อหลายปีที่แล้ว 

“นาทีที่ความฝันนั้นพร้อมเป็นเพื่อนตาย เส้นทางนี้ฉันยังมีจุดหมาย ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร จะไปจนถึงแสงสุดท้าย...”

ผมแหงนมองดวงจันทร์ พร้อมกับร้องเพลงท่อนสุดท้ายลั่นโรงอาหาร
ขอบคุณตัวเองในตอนนั้นที่ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าใจเพลงนี้แบบจริงๆ สักที
สุดท้ายอัลบั้มนี้กลายมาเป็นสตูดิโออัลบั้มที่ผมชอบมากที่สุดของ Bodyslam
——————
“ไม่แก่ตาย”

หลังจากที่ต้องเผชิญปัญหาทางด้านการเรียนที่ค่อนข้างจะหนักหนา
ในวันนี้ผมเรียนจบจริงๆ สักที ตอนนี้ผมต้องฝึกงาน เพื่อรอไปทำงาน

ในช่วงนี้ผมนี้ระหว่างรอฝึกงาน ผมก็ได้มีโอกาสพักผ่อน ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ
ได้ไปเที่ยวคนเดียว ไปดูคอนเสิร์ตคนเดียว และอีกมากมาย

ในช่วงกลางปีที่แล้ว มีการประกาศคอนเสิร์ตใหญ่ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โอกาสของผมมาแล้ว ผมทำทุกทาง รีบเคลียร์ตารางการทำงานให้วันหยุดนั้นว่าง เพื่อทำสิ่งที่ต้องทำครั้งหนึ่งในชีวิตของผมให้สมบูรณ์ 

ในวันจองบัตรผมรีบดูคนไข้ รีบบึ่งรถไปที่ TTM สิบโมงตรงมีคนมารอต่อแถวจำนวนมาก ผมรออยู่ประมาณครึ่ง ชม. เช็ค ในทวิตบัตรเริ่มเหลือน้อยแล้ว ถ้าผมรออยู่ตรงนี้ ผมอาจจะพลาด ผมตัดสินใจไปอีกที่ เนื่องจากมีคนบอกว่าคิวน้อยกว่า เมื่อไปถึงคิวว่าง ผมรีบเดินเข้าไปถาม
“มีบัตรเหลือไหมครับ”
“สักครู่นะคะ” ตอนนั้นคือลุ้นมาก
“เหลือค่ะ แต่เหลือแต่วันอาทิตย์นะคะ”
ตอนนั้นคือแบบชั่งใจอยู่ คือเพื่อนว่างแค่วันเสาร์ ถ้าไปอีกวันต้องไปดูคนเดียว แต่สุดท้ายก็ปฎิเสธไป อยากลองไปกดเองในเว็บ เพื่อให้ได้วันเสาร์
แต่ปาฏิหาริย์มาก กลับมาถึง นั่งกดอยู่ ครึ่ง ชม. ปรากฎว่าได้บัตร ตอนนั้นดีใจ ร้องลั่นห้อง 

และคืนวันที่ 9 พี่ๆ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันคุ้มค่ากับการเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมต้องทำจริงๆ จัดทุกปีนะครับ อยากไปรับพลังงานดีๆ แบบนี้บ่อยๆ กลับมาทำงานแปปเดียวก็หมดแล้ว

อีกหนึ่งในสิ่งที่ผมได้เริ่มทำหลังจากไม่ได้ทำมานานมากคือ การออกกำลังกาย ครับ

ในช่วงเรียนแทบจะไม่มีเวลาได้ออกกำลังกายเลย เอาเป็นว่าชีวิตมีแค่ เรียน / กิน / อยู่เวร / อ่านหนังสือ /นอน ชีวิตช่วงนั้นมีแค่นี้จริงๆ ครับ กระแสการออกกำลังกายตอนนั้นมาแรงมาก โครงการก้าวคนละก้าว กลายเป็ยโครงการที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจการออกกำลังกายกันมาก งานวิ่งผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด เงินมูลค่าพันล้าน ที่ได้มาแลกกับชีวิตของชายที่ชื่อ “อาทิวราห์ คงมาลัย” เสี่ยงกับการไตวายกะทันหัน, กล้ามเนื้อสลายขั้นรุนแรง มันเป็นโครงการที่บ้ามาก แย่ที่สุดคือผู้ชายคนนี้อาจจะต้องเสียชีวิตระหว่างการวิ่ง 2,215 กม. 

ท้ายที่สุดมันก็ผ่านมาได้ด้วยดี รพ. ที่ผมทำงานอยู่ก็เป็น รพ. หนึ่งที่เข้าร่วมโครงการนี้ หลังจากจบโครงการไม่กี่เดือน ผมเริ่มเห็นเตียงใหม่ๆ บนหอผู้ป่วยที่ผมเคยทำงานอยู่ เขาเรียนมันว่า “เตียงพี่ตูน” หลายสิบเตียงเริ่มมีคนมาใช้บริการ ไม่กี่เดือนถัดมา ผมมาฝึกงานที่หน่วยศัลยกรรม เกือบปีที่ผมไม่ได้เข้ามาห้องผ่าตัด มาคราวนี้ผมเห็นของใหม่หลายชิ้น ติดสติ๊กเกอร์สีชมพู “ก้าวคนละก้าว” พี่ตูนคงดีใจถ้าได้มาเห็นว่าหยาดเหงื่อของเขา และน้ำใจคนไทยทุกคน มันทำให้หลายชีวิตเหมือนเกิดใหม่ 

หลังจากนั้นไม่นานพี่ตูนก็มาเยี่ยมที่ รพ. ผม ดูภาพก็รู้ว่าพี่ตูนมีความสุข ตอนนั้นแอบเสียใจเล็กน้อย ผมติดภารกิจดูแลคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินไม่สามารถไปเจอไอดอลในดวงใจได้ หวังว่าพี่ตูนจะแวะมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน

ในช่วงเย็นผมออกไปวิ่งตามปกติ วันนั้นวางแผนว่าจะไปวิ่งในมหาลัย และอะไรดลใจก็ไม่รู้ให้ผมเลี้ยวรถไปที่บึงทุ่งสร้าง เมื่อไปถึงผมเห็นนักวิ่งเกาะกลุ่มกันทำอะไรสักอย่าง เลยแวะเข้าไปดู สิ่งที่ผมเห็นคือ พี่ตูน กำลังยืนถ่ายรูปกับนักวิ่งอยู่ วินาทีนั้นผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปถ่ายรูปแต่ก็เกรงใจพี่ตูน แต่อีกใจก็อยากจะเข้าไปถ่ายรูปคู่ เพราะมันคงเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้ถ่ายรูปคู่แบบนี้ 

สุดท้ายผมก็เดินเข้าไปต่อคิวขอถ่ายครับ จำได้ว่าตื่นเต้นมาก ผมยื่นกล้องให้พี่ตูน พี่ตูนยิ้มแล้วถือกล้องไปกดชัตเตอร์ อยากพูดอะไรตั้งหลายอย่าง อยากให้กำลังใจ (ซึ่งทุกอย่างที่ผมอยากพูด ทั้งหมดอยู่ในบทความนี้แล้วครับ) แต่สุดท้ายก็ไแต่พูดว่า “ขอบคุณครับ” วันนั้นผมวิ่งรอบบึงด้วย Pace 6 ซึ่งผมไม่เคยทำได้มาก่อน และก็เป็นครั้งเดียวที่ทำได้ (รูปในวันนั้นเป็นรูปคู่รูปเดียวที่ผมเคยถ่ายคู่กับพี่ตูน) และก็ได้มีโอกาสวิ่งกับพี่ตูนในโครงการก้าวคนละก้าวที่จัดที่ขอนแก่น และล่าสุดคืองานของ Dutch Mill Passion Partner Run 2019

ทุกวันนี้ เพลงของคนกลุ่มนี้ ก็จะถูกเปิดก่อนที่จะออกไปทำงาน และหลังจากที่เหน็ดเหนี่อยจากการทำงานทั้งวันของผม

“ไม่หยุดไม่สุดจนหมดภาระ เดินทางต่อไปไม่สนชัยชนะ ถ้าคนยังไม่สบาย คนอย่างกูไม่มีวันแก่ตาย”

สำหรับผม Bodyslam ไม่ใช่ศิลปินครับ แต่คนเหล่านี้คือ “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ครับ

พี่เคยพูดไว้ว่า “ไม่มีทุกคนไม่มี Bodyslam ในวันนี้”
แต่สำหรับผม “ไม่มี Bodyslam ไม่มีผมในวันนี้”

รัก

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่