แชร์ประสบการณ์ผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวใหญ่ที่เกาะลอมบก อินโดนีเซีย ปี 2561

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป
พอดีเมื่อสองวันที่แล้วเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางที่เกาะลอมบก ที่ประเทศอินโดนีเซีย ข้างๆเกาะบาหลี
จขกท.และแฟนก็ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงอยากจะมาเล่าย้อนเหตุการณ์ประสบการณ์ให้ฟังกันนะครับ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่จะมาแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ คือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวของวันที่ วันที่ 5 สิงหาคม 2561 มีขนาด 7.0 ริกเตอร์ ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวครั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในบริเวณนี้ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 500 คน มีบาดเจ็บจำนวนมาก และต้องอพยพคนแสนกว่าคน และบ้านเรือนพังเสียหายจำนวนมาก


มาเริ่มกันเลยนะครับ 

ในวันทีเกิดแผ่นดินไหว เป็นวันท้ายๆของการเดินทางของเรา เราวางแผนที่จะอยู่ชิวๆ เดินเที่ยวรอบเกาะ เล่นน้ำในแบบคนไม่พลุกพล่าน เราจึงเลือกที่จะพักที่เกาะ Gili Meno ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆที่ความเจริญน้อยที่สุดและมีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในบรรดาทั้งสามเกาะ

เราพักที่โรงแรม Balenta Bugalows ซึ่งอยู่ฝากที่เงียบสงบมากที่สุดของเกาะนี้


นี่คือโรงแรมที่เราจองเอาไว้ และคาดว่าจะใช้เป็นที่พักของคืนนี้ แต่ไม่ใช่เลย....


หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จก็ออกมารอชมพระอาทิตย์ตกหน้าโรงแรม


บรรยากาศชิวมาก คนไม่พลุกพล่าน สงบมากถ้าเทียบกับเกาะ Gili Trawangan


ก่อนเกิดแผ่นดินไหว เราไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม


หลังจากกินข้าวเสร็จ พระอาทิตย์ก็ตกแล้ว เริ่มมืด เราทั้งสองคนก็ไปนั่งจิบเบียร์ชิวๆ บนโซฟาเม็ดโฟมบริเวณริมชายหาด (โซฟารูปด้านบน)
คลื่นทะเลกำลังดี ลมโชยๆ วิวแสงไฟของบ้านเรือนบนเกาะตรงข้ามสวยงามมาก ฟินสุดๆ แต่....

ระหว่างที่เรานั่งชิวได้ไม่กี่นาที ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงเหมือนกับว่าพื้นดินจะแยกออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงคนกรี๊ดร้อง บ้านเรือนไฟดับเกือบหมด เหลือไว้เพียงไฟดวงที่ใช้เครื่องปั่นไฟ 

ขณะเกิด จขกท.ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ด้วยความงุนงง ก่อนที่แฟนจขกท.จะตะโกนว่า "แผ่นดินไหว แผ่นดินไหว" จขกท.เลยดึงสติขึ้นมาได้ ก่อนจะวิ่งไปรวมตัวกับนักท่องเที่ยวคนอื่นบริเวณหน้าร้านอาหารที่มีไฟติดอยู่ ทุกคนต่างถามไถ่กันว่า โอเคมั้ย เป็นไรมั้ย ยังไม่รู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะมืดมาก


หลังจากนั้นก็เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาเรื่อยๆจนนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างเริ่มตื่นตะหนกและพูดถึง "สึนามิ" ขึ้นมา

คนที่มีมือถือก็พยายามเปิดมือถือเผื่อติดตามข่าวสารว่ามีการแจ้งเตือนภัยสึนามิหรือไม่ แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่มีเนื่องจากไฟดับจากแผ่นดินไหวมาเป็นระลอกๆ

ทุกคนยังรวมตัวกันหน้าร้านอาหารต่อไป

จขกท.พยายามเปิดไฟมือถือส่องไปดูที่ชายหาดว่าน้ำทะเลลดลงมั้ย ด้วยความกังวล เคยอ่านว่าถ้าน้ำทะเลลดจะเป็นสัญญาณบอกเหตุของสึนามิ 
แต่ยังไม่มีวี่แววน้ำลด

เวลาผ่านไปสักพัก ไม่รู้ว่าเพราะอากาศเริ่มหนาว หรือเพราะความกลัว ทำให้เราต้องการเสื้อกันหนาว
เราเลยตัดสินใจกลับไปที่โรงแรมเพื่อไปเอาเสื้อ พอถึงหน้าโรงแรมก็เจอกับพนักงานผู้ดูแลโรงแรม ยืนอยู่กับแขกที่เข้าพักหน้าโรงแรม พอเขาเห็นเราเขาก็วิ่งเข้าไปเอาผ้าห่มมาให้

จขกท.พยายามถามผู้ดูแลว่า เกาะ Gili Meno นี้มีภูเขาหรือที่สูงๆให้หนีไปบ้างมั้ย
เขาบอกว่าเกาะนี้เป็นเกาะราบ ไม่มีเนินเขาอะไรเลย มีแต่ลานกว้างที่อยู่กลางเกาะที่ดูเป็นที่ที่ดูจะปลอดภัยที่สุด

พนักงานโรงแรมจึงบอกว่าเดี๋ยวจะพาเรากับผู้เข้าพักคนอื่นๆไปรวมกันกับชาวบ้านที่สนามหญ้ากลางเกาะ ก่อนจะไปจขกท.วิ่งเข้าไปเอาพาวเวอร์แบงค์ในบ้านพัก (เสี่ยงมากแต่แบตมือถือใกล้จะหมด) ก่อนที่จะเดินตามเขาไปด้วยความระมัดระวัง ไม่เข้าใกล้กำแพงหรือเสา กลัวจะล้มใส่ เพราะแผ่นดินก็ยังคงไหวต่อไป ไม่หยุด

เวลาแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง พนักงานโรงแรมที่นับถือศาสนาอิสลามก็จะสวดถึงพระเจ้า ที่พอจะเดาออกเพราะกล่าวถึงนามของพระองค์ และยังหันมาบอกเราว่า “Guys, whatever you believe, let's pray together " เพราะเห็นเราสองคนอยู่เงียบๆ เพราะยังช๊อกอยู่

ระหว่างทางเราเจอฝรั่งสองคนตะโกนเรียกให้เรารีบขึ้นไปบนต้นไม้ที่เขาสองคนอยู่ พร้อมบอกว่ามีการประกาศเตือนภัยสึนามิ ให้รีบๆขึ้นมาบนต้นไม้
จขกท.กับแฟนก็ลังเลอยู่แปบนึง ก่อนบอกว่าขอไปรวมกันกับคนอื่นๆที่สนามกลางแทน (กลัวตกจากต้นไม้กับกลัวงู)


เมื่อไปถึงลานกว้างกลางเกาะก็เห็นผู้คนมารวมตัวกันมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน ตรงกลางลานมีเครื่องปั่นไฟและน้ำเปล่าให้คนไปดื่มได้

ระหว่างกันนั้นเราก็หาที่นั่ง และพยายามเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อเช็คข่าวสึนามิและพยายามส่งข้อความถึงญาติๆที่ไทย แต่มือถือไม่มีสัญญาณ โชคดีที่บังเอิญไล่ลองต่อสัญญาณไวไฟของคนอื่นจนได้

ก่อนอื่นเรากังวลเรื่องสึนามิ เราจึงหาข้อมูลเบอร์โทรของสถานทูตไทยในจาร์การต้า พอได้ก็โทรไป
ทางสถานทูตเหมือนจะยังไม่รู้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เราก็วางสายแบบงงๆกันไป

จขกท.เลยติดต่อเพื่อนคนอินโดให้เขาหาข้อมูลให้
เขาบอกว่ารัฐบาลมีการประกาศเตือนภัยสึนามิในบริเวณโดยรอบเกาะลอมบก
ความกังวลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

สารภาพว่าจขกท.คิดอยากจะหาต้นมะพร้าวที่อยู่ใกล้ที่สุด
ภาพในหัวคือจะเอาตัวเองผูกกับต้นมะพร้าวไม่ให้ลอยไปตามคลื่นสึนามิ

แต่ไม่มีทางเลือก ทุกคนนั่งกันอยู่อย่างใจเย็นเหลือเกิน.... เราจึงเลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ

พอตกดึกหน่อย มีการเรียกประชุมคนบริเวณตรงกลางสนาม และมีฝรั่งคนนึงประกาศว่า ไม่น่าจะเกิดสึนามิแล้ว แต่อยากให้ทุกคนนอนกันที่สนามด้วยกันเพื่อความปลอดภัย

เราก็โล่งใจขึ้นหน่อย จึงหาที่นอนบนดินในสนาม แต่นอนไม่หลับ เวลาเคลิ่มๆ ก็จะสะดุ้งตื่นเพราะแรงสั่งสะเทือนของอาฟเตอร์ช็อก


พอเริ่มเช้า ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกับไปเอาของที่โรงแรม และมุ่งตรงไปยังท่าเรือของเกาะ เพื่ออพยพ


ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม เราก็เจอกับซากอาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อคืน


บ้าน ประตูบ้าน เสา ก็พังลงมา


ภาพด้านล่าง คือ ซุ้มทางเข้าโรงแรมของ จขกท.เอง วิวก็ยังสวยอยู่ แต่ไม่มีอารมณ์เที่ยวแล้ว....


หลังจากมาเอากระเป๋าเสร็จ เราก็รีบวิ่งไปจุดรับผู้อพยพ ที่ทางการรัฐบาลอินโดนีเซียส่งหน่วยกู้ภัยมารับที่เกาะ 

ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งชาวบ้านต่างก็มาเขาแถวรอขึ้นเรืออพยพ การอพยพค่อนข้างจะช้า เพราะเรือลำใหญ่ไม่สามารถเทียบท่าเรือด้านซ้ายของเกาะ Gili Menoได้ จึงต้องรอเรือลำเล็กมาลำเลียงคนไปยังเรือกู้ภัยลำใหญ่ ซึ่งถ้าเรือลำใหญ่เต็มก็ต้องรอไปส่งคนยังเกาะลอมบกก่อนที่จะกลับมารับเราอีกรอบ

สิ่งที่รู้สึกดีมากๆ คือ ชาวบ้านคนอินโดนีเซียเสียสละให้กับนักท่องเที่ยวขึ้นเรือไปก่อน


เราเข้าแถวรอไปเกือบสามชั่วโมง กว่าจะถึงคิวเรา พอได้ขึ้นเรือกู้ภัยลำใหญ่จขกท.น้ำตาเกือบจะไหล รู้สึกแบบว่ารอดแล้วโว้ยยยย


มาถึงท่าเรือของเกาะลอมบกแล้ว


คนเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน

เราพยายามหารถไปยังสนามบินลอมบก พยายามเรียกบลูเบิร์ด(แอพเรียกแท็กซี่เหมือนGrab) แต่ก็ไม่มีรถเลย

เราเลยออกไปตามถนนเพื่อหาแท็กซี่ แล้วราคาที่เราได้คือ 3 ล้านรูเปียร์ !!!!!!!! (เกือบๆ 6500 บาท) ตกใจแค่นี้ไม่พอ ราคาที่ว่าคือ ต่อ 1 คน  !!!!!!!!!!
ไม่มีเงินครับ สารภาพเลย เราจึงขอถอยกลับมานั่งที่ท่าเรือก่อน


สวรรค์ทรงโปรดมาก พอเราได้กลับเข้ามานั่งที่ท่าเรือ มีรถบรรทุกที่เหมือนใช้ในการทหารเข้ามา แล้วเราก็ประกาศให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปฟรีๆ
น้ำตาจะไหลที่ไม่ได้ตัดสินใจนั่งแท็กซี่ 13000 บาท คันตะกี้


พอได้ขึ้นรถมาแล้ว เราก็ขับรถพาเราไปยังเมือง มาตาราม เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกาะลอมบก ระหว่างทางเราก็ได้เห็นถึงความเสียหายของบ้านเรือน


มัสยิททั้งหลัง บ้านทั้งหลังพังทลายลงมาได้น่ากลัวมาก


เมื่อมาถึงสถานที่ราชการของทหารในเมืองมาตาราม ก็มีรถตู้เอกชนมารอรับนักท่องเที่ยว ใครอยากไปจุดไหนก็ขึ้นรถได้เลย แต่ต้องเสียตังค์นะครับ (ซึ่งราคาดูแพงนิดหน่อย)

ส่วนจขกท.ได้จองโรงแรมคืนสุดท้ายไว้ในเมืองมาตารามไว้ แต่เมื่อติดต่อไปยังโรงแรม ทางโรงแรมบอกว่าโรงแรมได้รับความเสียหายจนไม่สามารถรับแขกได้

จขกท.เลยตัดสินใจไปสนามบินดีกว่า อาคารดูแข็งแรง น่าจะปลอดภัยกว่าในเมืองมาตาราม แต่ด้วยความงก เราเปิดแอพบลูเบิร์ดเพื่อเช็คราคารถแท็กซี่ไปยังสนามบิน ปรากฏว่าราคาถูกกว่าราคาของรถตู้ครึ่งต่อครึ่งเลย เราจึงเรียกบลูเบิร์ดแทน

เมื่อมาถึงสนามบิน เราพยายามเช็คตั๋วเครื่องบินกลับไทย แต่ไม่มีว่างเลย เราจึงเลือกที่จะค้างคืนที่สนามบิน 1 คืน กับเกือบ 1 วัน เพื่อรอไฟล์เครื่องที่จองเอาไว้แต่เดิม

ทางสนามบินก็มีการอำนวยความสะดวก แจกผ้าห้ม แจกขนม(เค้ก)ให้กับนักท่องเที่ยวที่พักที่สนามบิน

บริเวณด้านหน้าประชาสัมพันธ์ของสนามบิน จะมีตัวแทนสถานทูตหลายๆประเทศมาตั้งบูทเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนชาตินั้นๆ เท่าที่จำได้มี ของ สิงค์โปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กลุ่มประเทศเครืออียู เป็นต้น แต่ไม่มีของประเทศไทย....

ตอนแรกก็แอบน้อยใจนะ 55555 ทำไมไม่มีของไทย แต่ไม่นานจากนั้นก็มีคนจากสถานทูตไทยโทรเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบเรา ก็คือว่าดีใจนะ ไม่น้อยใจแล้วก็ได้ 
ระหว่างพักที่สนามบิน ก็ชอบมีเหตุการณ์ที่ระหว่างทุกคนก็นอนๆกันอยู่ แล้วเกิดอาฟเตอร์ช็อกขึ้น ก็จะมีคนกรี๊ด แล้วทุกคนก็กระโดดลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งไปรวมตัวกันบริเวณลานกว้าง เป็นแบบนี้หลายรอบเลย

ในท้ายสุด เราทั้งคู่ก็เดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณรัฐบาลและชาวบ้านอินโดนีเซียที่ให้การดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

สุดท้ายนี้ เราอยากจะแนะนำเพื่อนๆว่าถ้าอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ควรจะหาเบอร์โทรของสถานทูตไทยเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน
จะให้ดีอีกคือควรจะซื้อประกันการเดินทางเอาไว้ด้วยเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

วันนี้ก็มาเล่าแต่เพียงเท่านี้นะครับ เล่าเฉพาะถึงเหตุการณ์ที่จำได้ ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านนะครับ 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่