แชร์เรื่องราวและประสบการณ์ของการเป็นผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์

ตั้งใจจะทำกระทู้นี้มานานแล้วค่ะ อยากเอาไว้บันทึกการรักษาของตัวเอง
แล้วก็ให้กับคนที่ต้องการหาข้อมูล แต่เพิ่งมีโอกาสได้เริ่ม
ขอเริ่มเรื่องจากการเป็นคนที่มีความเชื่อผิด ๆ ของร่างกาย
คิดเสมอว่าร่างกายมีระบบจัดการเชื้อโรคได้เอง (ซึ่งก็เป็นความจริง)
เวลาป่วยจะให้ร่างกายต่อสู้กับโรคภัยเองก่อนสักระยะ
ถ้าไม่ไหวหรือเป็นนานเกินไปจะหาหมอ
แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะไม่สามารถต่อสู้กับมันได้

เริ่มสังเกตุว่าตัวเองมีอาการบวมเป็นก้อนที่คอ
ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดใด ๆ เลยคิดว่ามันเป็นปกติ เดี๋ยวคงยุบเอง
จนเวลาผ่านไปนานนนนนนน เกือบปีได้ค่ะ
รุ่นพี่เห็นอาการที่คอเรา แล้วบอกให้เราไปหาหมอ
เพราะมันไม่ใช่อาการปกติของคนทั่วไป
จำได้ว่าช่วงนั้นที่คอบวมมีอาการความเครียดค่ะ
นอนไม่พอ ทานข้าวไม่ลง จึงทำให้คอบวมจนผิดปกติ
สรุปผลจากการตรวจของอาหมอบอกว่าเป็นไทรอยด์ (17.08.2016)


อาหมอให้ยาไทรอยด์มากิน 1 อาทิตย์ สรุปไม่มีอาการยุบลง
อาหมอแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล เจาะก้อนที่คอดูว่าเป็นอะไร (31.08.16)


ค่ะ.. อาการกังวลเริ่มเข้ามา และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้านทันที
คุณหมอที่โรงพยาบาลเอาเข็มเจาะน้ำที่คอไปตรวจ
ไม่นานก็ให้ไปฟังผล หมอแจ้งเราว่าที่เจาะคอไปตรวจ
ค่าออกมาเป็นผลไม่ดีต้องผ่าตัดไทรอยด์ข้างขวาเอาออกมาตรวจ (19.10.16)



ได้ผลจากการผ่าตัดชิ้นเนื้อ สรุปเป็นมะเร็งไทรอยด์ (26.10.2016)
ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็ตกใจมาก
แต่คุณหมอน่ารักค่ะ ยิ้มและพูดว่าไม่ต้องกังวล รักษาหาย
ด้วยความที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ก็เครียดค่ะ
คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะตายหรือป่าว ร้ายแรงขนาดไหน
ร้องไห้คนเดียว แต่เมื่อเวลามีใครมาถาม ก็บอกกับทุกคนว่าโอเค
คุณหมอแนะนำให้เราผ่าตัดข้างซ้ายออก
เพราะกลัวอีกข้างเป็นมะเร็งเหมือนกัน
ได้โทรไปขอคำแนะนำจากญาติก็แนะนำให้ตัดออกไป
อยู่ในร่างกายเราจะไม่คุ้มเสีย และได้เข้าผ่าตัดไทรอยด์อีกครั้ง (03.11.06)


หลังจากพักฟื้นและรักษาตัวให้แผลหายดี
วิธีการรักษาตัวขั้นต่อไปก็เริ่มขึ้น
“กลืนแร่รังสีไอโอดีน” ที่โรงพยาบาลศิริราช (18.11.16)


คุณหมอให้คิวกลืนแร่ช่วงต้นเดือนมกราปี 2017
ในช่วงก่อนที่จะเข้ากลืนแร่ 2 อาทิตย์
จะต้องงดอาหารที่มีไอโอดีน ช็อคโกแลต นม
เพราะฉะนั้นเลยต้องทำอาหารกินเองสะส่วนใหญ่


และแล้ววันกลืนแร่ก็มาถึง (13.01.17)
การกลืนแร่รังสีเข้าไปจะมีผลต่อคนรอบข้าง
ทางโรงพยาบาลได้ให้เรานอนค้างเป็นเวลา 2 คืน
ในห้องพักสำหรับคนที่กลืนแร่รังสีโดยเฉพาะ
เพราะผนังจะมีกำแพงกั้นรังสีเอาไว้
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่จะเอารังสีไอโอดีน
(มาในรูปแบบแคปซูล) เอามาให้เราทานที่ห้องพัก
จำได้แม่นว่าตอนกลืนลงไป ตัวยาโดนลิ้นนิดนึง
ทานยาไปช่วงวันศุกร์ตอนเช้ายังไม่มีอาการ
แต่จะมีอาการพะอืดพะอมช่วงเช้าวันเสาร์
เวียนหัว ทานไม่ได้ แต่พยายามฝืน

เช้าวันอาทิตย์อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
ยังมีอาการคล้ายเมื่อวานอยู่
เจ้าหน้าที่ให้กินวิตามินซี ของเปรี้ยว และน้ำ
เพื่อให้เราขับถ่ายรังสีออกจากต่อมน้ำลาย
เวลาปัสสาวะก็ให้กดน้ำ 2 ครั้ง
อาหารทุกอย่างเจ้าหน้าที่จะจัดให้โดยใส่ถุง
ภาชนะจะมีเฉพาะห้องพักนั้นๆ


แล้ววันจันทร์ก็มาถึง อาการยังรู้สึกแย่อยู่ (17.01.17)
พะอืดพะอมและเวียนหัว (ผลข้างเคียงจากการกลืนยา)
ก่อนออกจากโรงพยาบาลจะมีการสแกนค่ารังสี
ผลที่ออกมาได้เป็นผู้ป่วยที่มีค่ารังสีสูงที่สุด
(ผู้ป่วยที่กลืนแร่พร้อมกันมีทั้งหมด 7 คน)
เนื่องมาจากทานน้ำและของเปรี้ยวน้อย
ออกจากโรงพยาบาลก็กลับบ้าน
พักฟื้นแยกจากคนอื่น หนึ่งอาทิตย์
มีอาการลิ้นไม่รับรสเค็ม (ผลข้างเคียง)
เป็นสักระยะค่ะเกือบเดือนได้ แล้วอาการก็กลับมาเป็นปกติ

และก็มีอาการต่อมน้ำลายบวมค่ะ
ปวด บวม กลืนอาหารและน้ำลำบาก
เป็นอยู่สองปีค่ะ ในช่วงเดือน 6 (ปีที่สามไม่มีอาการคอบวม)
คุณหมอที่โรงพยาบาลศิริราชแจ้งว่า
เป็นผลข้างเคียงจากการกลืนแร่
ถ้าเริ่มรู้สึกปวดคุณหมอให้เอาผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ
ทานน้ำและของเปรี้ยวเยอะๆ
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ


ตอนนี้กลายเป็นคนไม่มีไทรอยด์
ก็จะต้องกินยาไทรอยด์รักษาระดับฮอร์โมน
และกินยาแคลเซียม 3 เม็ด/วัน
เพราะไทรอยด์เป็นต่อมที่ผลิตแคลเซียมในร่างกาย
ต้องเดินทางรักษาทั้ง 2 โรงพยาบาล
โรงพยาบาลรัฐ ใกล้บ้าน และโรงพยาบาลศิริราช
และอัลตร้าซาวด์ตรงที่เคยผ่าตัด
ติดตามอาการค่ามะเร็งทุก ๆ ปี

การแชร์ประสบการณ์อาจจะไม่ได้ละเอียดมาก
ถ้าใครมีคำถามอยากถาม ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะทุกท่าน

เม่าอดีต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่