"ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอนอายุ 8 ขวบ คือที่เริ่มเป็นเพราะตอนนั้น มีโค้ชชาวบราซิล ชื่อ โรนัลโด้ ที่มีประสบการณ์จาก เซา เปาโล มาเปิดอคาเดมีที่ประเทศไทย ชื่อ ไอ แอม สปอร์ต ผมก็ได้ฝึกประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมที่เน้นเรื่องทักษะ เบสิคต่างๆ ทั้งหมดเลย ตลอด 1 ปี ผมฝึกมาตลอด ไม่เคยได้ลงเล่น ไม่เคยลงแข่ง เราเน้นที่การฝึกทักษะเพียงอย่างเดียว"
"หลังจากนั้น ผมก็ได้ไปเรียนกับ อาจารย์ มานิต เป็นอคาเดมี แถวๆ กม.8 ก็ได้มาซ้อมเบสิคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และก็เริ่มได้ลงแข่งขันบางรายการ ฟุตบอล 7 คน บ้าง ตอนนั้นก็อายุ 9 ขวบ"
"หลังจากได้สักประมาณหนึ่ง ก็ได้ไปคัดฝีเท้ากับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ก็ได้เล่นที่คริสเตียนประมาณ 2 ปี ก็ย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพ ช่วงนั้นก็มีโอกาสไปเล่นฟุตบอล ยูธ ลีก U13 กับ อัสสัมชัญ ธนบุรี"
"ตอนนั้นก็ได้แชมป์เลยครับ ต่อเนื่องจากนั้นก็ไปรวมทีมกับเพื่อนแล้วคว้าแชมป์ ช้าง เอฟเวอร์ตัน จูเนียร์ คัพ กับทีม KC-15 ที่เป็นการรวมตัวกันของนักเตะจากหลายที่"
- โบยบินสู่เยอรมัน
"ตอนนั้นแม่เห็นว่าผมจริงจังกับฟุตบอล แม่ก็เลยเริ่มหาข้อมูล ที่จะสนับสนุนได้มากที่สุด แม่ก็เลยหาจนเจอว่ามีโรงเรียนกีฬาที่เยอรมันน่าสนใจ คือโรงเรียนนี้จะพยายามพัฒนาทักษะ สมรรถภาพต่างๆได้ดี แม่ก็เลยส่งผมไปเรียนที่เยอรมัน ตอนนั้นก็อายุ 14 ปี"
"ผมก็ฝึกกับโรงเรียนที่นั่นประมาณ 2 ปี ก็ได้เข้าสู่ระบบสโมสรกับ ทีเอสวี โรเซนไฮม์ เมื่อปีที่แล้ว สถิติที่ขึ้นตามเว็บไซต์มันก็ของจริงครับ แต่ลีกมันไม่ใช่ลีกผู้ใหญ่หรือลีกอาชีพ มันเป็นแค่ลีก U19 เท่านั้น"
"ณ ตอนนี้ ก็รอโอกาสครับ เพราะว่าตามกฏของทวีปยุโรป การจะเซ็นสัญญาจ้างงานนักเตะนั้น ต้องมีอายุ 18 ปี ขึ้นไปเสียก่อน ถึงจะเล่นฟุตบอลอาชีพได้ ซึ่งเดือนตุลาคมนี้ ผมก็จะอายุ 18 ปี แล้วครับ"
"โอกาสก็ถือว่ามีสูง เพราะว่าตอนนี้ผมก็ได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ทีมก็อยู่ในระดับ 4 คือทีมระดับนี้ยังถือเป็นระดับกึ่งอาชีพอยู่ แต่ก็ต้องเจอกับทีมแกร่งๆหลายทีม เพราะลีก 3 ขึ้นไป ก็จะเป็นลีกระดับอาชีพ ก็มีทีมอาชีพ หลายทีมตกชั้นลงมา เป็นต้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเก็บประสบการณ์สำหรับดาวรุ่ง"
"ในปีที่ผ่านมา ก็เจอกับทีมดังๆ หลายทีม อาทิ ทีมสำรองของ เอาส์บวร์ก, ทีมสำรองของเนิร์นแบร์ก เป็นต้น"
- สิ่งที่ได้จากเยอรมัน
"ที่เยอรมัน จะพยายามสอนเรื่องทัศนคติเป็นหลัก ทั้งในและนอกสนาม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะแข่ง เราต้องคิดอย่างไรก่อนแข่ง เราก็ต้องเตรียมสมองให้พร้อม โฟกัสไปที่การแข่ง โค้ชบอกนักเตะทุกคนต่างมีความสามารถไม่ต่างกัน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของทัศนคติ"
"ถ้าทุกคนมีความสามารถเท่ากัน ทัศนคติ จะเป็นตัวตัดสิน อย่างเช่น หากการแข่งขันใกล้จะหมดเวลา แต่สกอร์ยังเสมอกัน คนที่ทัศนคติดีกว่า ก็จะมีแรงฮึด กูเอา ก็จะเอาชนะได้ แต่ถ้าทัศนคติไม่ดี ก็จะเล่นแบบรอให้เวลาหมด และค่อยไปตัดสินกันใหม่เป็นต้น"
"นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของกายภาพ ในการพัฒนาร่างกาย จะมีโค้ชที่คอยให้ความรู้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาร่างกายของเยาวชน ถ้าใครมีอาการบาดเจ็บ เขาจะต้องดูแลอย่างเต็มที่ ไม่แตกต่างจากนักเตะอาชีพ ที่มีเงินเดือนหลักแสนหรือหลักล้าน ทุกอย่างต้องพิถีพิถัน พอเจ็บก็ต้องตรวจสอบ ไม่ใช่เข้าสนามเลย ต้องผ่านการทดสอบของโค้ชให้ได้ก่อน ถึงจะกลับมาเล่นได้"
- การติดทีมชาติไทย U19 ครั้งแรก
"การมาที่ไทย ก็ยอมรับว่า มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของแท็คติกและสไตล์การเล่น มันไม่มีแบบไหนดีกว่าแบบไหน มีแค่แบบไหนที่เหมาะสมมากกว่า"
"ผมพยายามปรับตัวให้ได้โดยเร็ว การซ้อมของไทยก็ค่อนข่างหนัก แต่ผมเข้าใจเพราะทีมชาติกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ก็ต้องพร้อมที่สุด ขณะที่เยอรมัน เป็นการซ้อมแบบในลีก ก็จะมีจังหวะของแต่ละสัปดาห์แตกต่างกันไป แต่ความเข้มข้นของการซ้อมก็ค่อนข้างหนัก"
"นัดแรกของผมกับทีมชาติไทย U19 ก็ถือว่าเจอของหนักเลย คือต้องเจอกับทีมอย่างสมุทรปราการ ซิตี้ ตอนนั้นเขาก็จัดชุดเต็มลงสนามเลย ตอนนั้นผมยังไม่คุ้นกับอากาศและเพื่อนร่วมทีม ผมก็พยายามเต็มที่ แต่ก็แพ้ไปแบบขาดลอย มันทำให้ผมรู้เลยว่า ฟุตบอลอาชีพ มันไม่เคยง่ายเลย ตอนนั้นเขาเอาตัวจริงลงด้วย ซึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องดี ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในระดับไหน เราต้องทำงานหนักต่อไปอย่างไร ดีกว่าเขาเอาตัวสำรองลงมาแล้วเราชนะ"
"หลังจากนั้นก็ได้ไปแข่งที่จีน ก็ทำให้ได้รู้จักเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆมากขึ้น ดีใจที่ได้ร่วมทีม เพราะหลายคนก็มีคุณภาพ ตอนที่ยิงประตูแรกได้ก็ยอมรับว่าดีใจมาก ผมพยายามเต็มที่ เพราะอยากให้ทีมชนะ"
- ความคาดหวังและความกดดัน สำหรับชิงแชมป์อาเซียน
"ตัวผมไม่ค่อยได้เล่นโซเชียล มีเดีย เท่าไหร่ ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็จะให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ว่าต้องทำอย่างไร พ่อแม่ก็เล่าให้ฟังเสมอ สิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องพัฒนาต่อไป สิ่งที่ดีก็ต้องเก็บไว้ ไม่ควรไปเอามาคิดมาก หรือทำให้สิ่งรอบข้างส่งผลกระทบต่อตัวเรา"
"ผมอยากจะมีชือให้ได้ก่อน ในทัวร์นาเมนต์นี้ แน่นอนผมเองก็ต้องการคว้าแชมป์ รวมถึงทีมอื่นๆก็เช่นกัน ผมว่าเราเตรียมตัวมาอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อในทีมทุกคนทั้งสตาฟฟ์โค้ชและเพื่อนร่วมทีม"
ที่มา
http://www.facebook.com/ThailandNTOFFICIAL/posts/2119369605039260?__tn__=K-R
ชื่อ อชิตพล คีรีรัมย์
ส่วนสูง 181 เซนติเมตร
อายุ 17 ปี
ตำแหน่ง กองหน้า , ปีกซ้าย , ปีกขวา
สถิติในลีกเยาวชนเยอรมัน รุ่น 19 ปี
ลงเล่น 23 เกม ยิง 25 ประตู
สถิติในทีมชาติไทย รุ่น 19 ปี
ลงเล่น 3 เกม ยิง 3 ประตู
ปล. แถมสมัยเรียนให้ น่าจะเป็นเด็กเรียนดี
บทสนทนา ของ อชิตพล คีรีรมย์ : "ไม่เล่นโซเชียล" "วิ่งบี้แบบดุดัน"
"หลังจากนั้น ผมก็ได้ไปเรียนกับ อาจารย์ มานิต เป็นอคาเดมี แถวๆ กม.8 ก็ได้มาซ้อมเบสิคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และก็เริ่มได้ลงแข่งขันบางรายการ ฟุตบอล 7 คน บ้าง ตอนนั้นก็อายุ 9 ขวบ"
"หลังจากได้สักประมาณหนึ่ง ก็ได้ไปคัดฝีเท้ากับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ก็ได้เล่นที่คริสเตียนประมาณ 2 ปี ก็ย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพ ช่วงนั้นก็มีโอกาสไปเล่นฟุตบอล ยูธ ลีก U13 กับ อัสสัมชัญ ธนบุรี"
"ตอนนั้นก็ได้แชมป์เลยครับ ต่อเนื่องจากนั้นก็ไปรวมทีมกับเพื่อนแล้วคว้าแชมป์ ช้าง เอฟเวอร์ตัน จูเนียร์ คัพ กับทีม KC-15 ที่เป็นการรวมตัวกันของนักเตะจากหลายที่"
- โบยบินสู่เยอรมัน
"ตอนนั้นแม่เห็นว่าผมจริงจังกับฟุตบอล แม่ก็เลยเริ่มหาข้อมูล ที่จะสนับสนุนได้มากที่สุด แม่ก็เลยหาจนเจอว่ามีโรงเรียนกีฬาที่เยอรมันน่าสนใจ คือโรงเรียนนี้จะพยายามพัฒนาทักษะ สมรรถภาพต่างๆได้ดี แม่ก็เลยส่งผมไปเรียนที่เยอรมัน ตอนนั้นก็อายุ 14 ปี"
"ผมก็ฝึกกับโรงเรียนที่นั่นประมาณ 2 ปี ก็ได้เข้าสู่ระบบสโมสรกับ ทีเอสวี โรเซนไฮม์ เมื่อปีที่แล้ว สถิติที่ขึ้นตามเว็บไซต์มันก็ของจริงครับ แต่ลีกมันไม่ใช่ลีกผู้ใหญ่หรือลีกอาชีพ มันเป็นแค่ลีก U19 เท่านั้น"
"ณ ตอนนี้ ก็รอโอกาสครับ เพราะว่าตามกฏของทวีปยุโรป การจะเซ็นสัญญาจ้างงานนักเตะนั้น ต้องมีอายุ 18 ปี ขึ้นไปเสียก่อน ถึงจะเล่นฟุตบอลอาชีพได้ ซึ่งเดือนตุลาคมนี้ ผมก็จะอายุ 18 ปี แล้วครับ"
"โอกาสก็ถือว่ามีสูง เพราะว่าตอนนี้ผมก็ได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ทีมก็อยู่ในระดับ 4 คือทีมระดับนี้ยังถือเป็นระดับกึ่งอาชีพอยู่ แต่ก็ต้องเจอกับทีมแกร่งๆหลายทีม เพราะลีก 3 ขึ้นไป ก็จะเป็นลีกระดับอาชีพ ก็มีทีมอาชีพ หลายทีมตกชั้นลงมา เป็นต้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเก็บประสบการณ์สำหรับดาวรุ่ง"
"ในปีที่ผ่านมา ก็เจอกับทีมดังๆ หลายทีม อาทิ ทีมสำรองของ เอาส์บวร์ก, ทีมสำรองของเนิร์นแบร์ก เป็นต้น"
- สิ่งที่ได้จากเยอรมัน
"ที่เยอรมัน จะพยายามสอนเรื่องทัศนคติเป็นหลัก ทั้งในและนอกสนาม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะแข่ง เราต้องคิดอย่างไรก่อนแข่ง เราก็ต้องเตรียมสมองให้พร้อม โฟกัสไปที่การแข่ง โค้ชบอกนักเตะทุกคนต่างมีความสามารถไม่ต่างกัน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของทัศนคติ"
"ถ้าทุกคนมีความสามารถเท่ากัน ทัศนคติ จะเป็นตัวตัดสิน อย่างเช่น หากการแข่งขันใกล้จะหมดเวลา แต่สกอร์ยังเสมอกัน คนที่ทัศนคติดีกว่า ก็จะมีแรงฮึด กูเอา ก็จะเอาชนะได้ แต่ถ้าทัศนคติไม่ดี ก็จะเล่นแบบรอให้เวลาหมด และค่อยไปตัดสินกันใหม่เป็นต้น"
"นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของกายภาพ ในการพัฒนาร่างกาย จะมีโค้ชที่คอยให้ความรู้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาร่างกายของเยาวชน ถ้าใครมีอาการบาดเจ็บ เขาจะต้องดูแลอย่างเต็มที่ ไม่แตกต่างจากนักเตะอาชีพ ที่มีเงินเดือนหลักแสนหรือหลักล้าน ทุกอย่างต้องพิถีพิถัน พอเจ็บก็ต้องตรวจสอบ ไม่ใช่เข้าสนามเลย ต้องผ่านการทดสอบของโค้ชให้ได้ก่อน ถึงจะกลับมาเล่นได้"
- การติดทีมชาติไทย U19 ครั้งแรก
"การมาที่ไทย ก็ยอมรับว่า มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของแท็คติกและสไตล์การเล่น มันไม่มีแบบไหนดีกว่าแบบไหน มีแค่แบบไหนที่เหมาะสมมากกว่า"
"ผมพยายามปรับตัวให้ได้โดยเร็ว การซ้อมของไทยก็ค่อนข่างหนัก แต่ผมเข้าใจเพราะทีมชาติกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ก็ต้องพร้อมที่สุด ขณะที่เยอรมัน เป็นการซ้อมแบบในลีก ก็จะมีจังหวะของแต่ละสัปดาห์แตกต่างกันไป แต่ความเข้มข้นของการซ้อมก็ค่อนข้างหนัก"
"นัดแรกของผมกับทีมชาติไทย U19 ก็ถือว่าเจอของหนักเลย คือต้องเจอกับทีมอย่างสมุทรปราการ ซิตี้ ตอนนั้นเขาก็จัดชุดเต็มลงสนามเลย ตอนนั้นผมยังไม่คุ้นกับอากาศและเพื่อนร่วมทีม ผมก็พยายามเต็มที่ แต่ก็แพ้ไปแบบขาดลอย มันทำให้ผมรู้เลยว่า ฟุตบอลอาชีพ มันไม่เคยง่ายเลย ตอนนั้นเขาเอาตัวจริงลงด้วย ซึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องดี ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในระดับไหน เราต้องทำงานหนักต่อไปอย่างไร ดีกว่าเขาเอาตัวสำรองลงมาแล้วเราชนะ"
"หลังจากนั้นก็ได้ไปแข่งที่จีน ก็ทำให้ได้รู้จักเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆมากขึ้น ดีใจที่ได้ร่วมทีม เพราะหลายคนก็มีคุณภาพ ตอนที่ยิงประตูแรกได้ก็ยอมรับว่าดีใจมาก ผมพยายามเต็มที่ เพราะอยากให้ทีมชนะ"
- ความคาดหวังและความกดดัน สำหรับชิงแชมป์อาเซียน
"ตัวผมไม่ค่อยได้เล่นโซเชียล มีเดีย เท่าไหร่ ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็จะให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ว่าต้องทำอย่างไร พ่อแม่ก็เล่าให้ฟังเสมอ สิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องพัฒนาต่อไป สิ่งที่ดีก็ต้องเก็บไว้ ไม่ควรไปเอามาคิดมาก หรือทำให้สิ่งรอบข้างส่งผลกระทบต่อตัวเรา"
"ผมอยากจะมีชือให้ได้ก่อน ในทัวร์นาเมนต์นี้ แน่นอนผมเองก็ต้องการคว้าแชมป์ รวมถึงทีมอื่นๆก็เช่นกัน ผมว่าเราเตรียมตัวมาอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อในทีมทุกคนทั้งสตาฟฟ์โค้ชและเพื่อนร่วมทีม"
ที่มา
http://www.facebook.com/ThailandNTOFFICIAL/posts/2119369605039260?__tn__=K-R
ชื่อ อชิตพล คีรีรัมย์
ส่วนสูง 181 เซนติเมตร
อายุ 17 ปี
ตำแหน่ง กองหน้า , ปีกซ้าย , ปีกขวา
สถิติในลีกเยาวชนเยอรมัน รุ่น 19 ปี
ลงเล่น 23 เกม ยิง 25 ประตู
สถิติในทีมชาติไทย รุ่น 19 ปี
ลงเล่น 3 เกม ยิง 3 ประตู
ปล. แถมสมัยเรียนให้ น่าจะเป็นเด็กเรียนดี