ศรีลังกา ถ้าคิดจะมา ไม่ยากอย่างที่คิด! ก่อนอื่นเลยต้องขอพูดว่า AYUBOWAN หรือ อายุบวร ซึ่งเป็นการกล่าวคำทักทายของชาวศรีลังกานั่นเอง...ถ้าจะให้พูดถึงประเทศศรีลังกาใครหลายคนคงจะนึกถึงประเทศที่เหล่าชาวพุทธเดินทางไปแสวงบุญไม่ต่างอะไรกับประเทศอินเดีย แต่เราขอเคลียร์เลยว่าประเทศศรีลังกาแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนๆ ได้เดินทางไปสัมผัสอีกมากมายหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สถานที่ทางประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ ศาสนสถานที่สำคัญ ชายหาดที่เหมาะกับการเล่นเซิร์ฟบอร์ด และหากใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนว Lifestyle บอกเลยว่าแจ่มมาก
ยิ่งตอนนี้การเดินทางไปประเทศศรีลังกาก็ไม่ยากอีกต่อไปแล้วเพราะมีหลายสายการบินที่เปิดบินตรงโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนเพื่อนถูกใจเจ้าไหนก็เลือกบินกันได้ตามสะดวกเนอะ โอเค ถ้าทุกคนพร้อมกันแล้วล่ะก็ เตรียมตัวออกเดินทางไปตะลุยประเทศศรีลังกาพร้อมกับเรากันได้เลยจ้า โดยสถานที่ที่เราจะพาไปในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งบอกไว้เลยว่าแม้สถานที่จะไม่เยอะแต่ก็จัดมาให้ได้ชมกันแบบเต็มๆ เลยนะตัวเธอ จะมีที่ไหนบ้าง อุ๊ป! เลื่อนจอลงไปชมกันได้เล้ยยยย
ต้องบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าที่เรามาศรีลังกาในครั้งนี้เราไม่ได้มาเองนะจ๊ะ เพราะทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการท่องเที่ยวศรีลังกาได้เชิญสื่อมวลชนมาโปรโมทการท่องเที่ยว และทาง ppantip.com เองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่ามาถึงประเทศศรีลังกาทั้งทีเราก็ขอเริ่มต้นกันที่เมืองหลวงอย่าง Colombo กันสักหน่อย
ฮ่าๆ เดี๋ยวเราจะพานั่งรถตุ๊กๆ ออกไปเที่ยวชมภายในเมืองกัน
ว่าแล้วก็ แว๊นๆ แง๊นๆ บิดไปเลยลูกเพ่
(ในเมืองการเดินทางง่ายเพราะมีทั้งตุ๊กๆ และ Uber)
และจุดแรกที่เราแวะมาเยี่ยมชนกันมีชื่อว่า Independence Memorial Hall สำหรับสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญในเมืองโคลัมโบ
และประเทศศรีลังกาเลยก็ว่าได้เพราะนี้คือ Independence Square หรือ ลานประกาศอิสรภาพนั่นเองจ้า
เอาล่ะ ถึงเวลาของวิชาประวัติศาสตร์กันแล้วจ้าเด็กๆ
วันนี้คุณครูจะมาเล่าข้อมูลให้ฟังกันโดยสังเขปนะจ๊ะ ตั้งใจฟังล่ะ
ใครดื้อเดี๋ยวเอาไม้เรียวตีก้นลายเลย
การที่อิทธิพลของทางฝั่งตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศศรีลังกานั้นเริ่มจากประเทศโปรตุเกส และ ดัตช์ ที่คนไทยเรารู้จักกันในชื่อของ ชาวดัตซ์ ชัดดาวน์ แอ่แฮ่ ถึงกับปิดครื่องกันเลยที่เดียวเชียว หยอกเล่นนะๆ นอกจากนี้ประเทศอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เข้ามามีบทบาท โดยประเทศเหล่านี้ได้มาทำการค้าตามเมืองท่าด้านตะวันตกของประเทศ
และในปี พ.ศ. 2048 (ค.ศ. 1505) ประเทศโปรตุเกสได้เข้ายึดครองพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลและปกครองประเทศก่อนที่ชาวดัตช์จะเข้าครอบครองดินแดนศรีลังกาในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) ต่อมาประเทศอังกฤษสามารถครอบครองศรีลังกาเป็นเมืองขึ้นได้ในปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) ภายใต้อนุสัญญา Kandyan
และทางอังกฤษได้ใช้ศรีลังกาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย...ประเทศศรีลังกาได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ก็ถ้านับรวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติแล้วเกือบ 500 ปี เลยนะเนี่ย
อย่างของไทยเราก็ชื่อเดิมว่า สยาม ใช่ไหม ของศรีลังกาก็มีชื่อในอดีตเหมือนกันได้แก่ ลังกา ลังกาทวีป สิงหลทวีป และ ซีลอน ซึ่งชื่อเหล่านี้เป็นชื่อที่ใช้ในสมัยอาณานิคมจนถึง พ.ศ. 2517 จบไปแล้วจ้า กับวิชาประวัติศาสตร์ ต่อไปก็ขอกลับเข้าสู่โหมดนักรีวิวเหมือนเดิมเนอะ ฟิ้วววววว
จาก Independence Memorial Hall เราก็มาต่อที่ Jami Ul-Alfar Mosque มัสยิดสีแดงสวยสดใสที่คล้ายกับบ้านขนมหวาน หลายคนคงเคยเห็นภาพนี้จากนักรีวิวที่ได้เดินทางไปเที่ยวโคลัมโบกันมาแล้วในหลายๆ กระทู้ ซึ่งเหตุผลที่เราเดินทางมาก็เพื่อต้องการจะรู้ด้วยตาของตัวเองว่า มัสยิดแห่งนี้สวยอย่างที่เขารีวิวกันรึป่าว
ในย่านที่เรามาอยู่กันนี้จะเป็นถนนที่ชื่อว่า 2nd Cross Street บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยร้านค้าเยอะแยะมากมาย
คือแบบว่าทั้งผู้คนทั้งรถก็จะสวนไปสวนมากันวุ่นวายตามสไตล์ย่านการค้า แต่ภาพของมัสยิดสีแดงตัดขาว
ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเรา มันได้สะกดให้เราได้ตกอยู่ในภวังค์จนเสียงวุ่นวายรอบข้างนั้นหายไปเลย
เพราะของจริงที่เราได้มาเห็นด้วยตานี้มันช่างงดงามจริงๆ ด้วยสีที่สดใสตัดกับสีของท้องฟ้าและตัวอาคารในรอบๆ ย่านนี้ ทำให้ตัวมัสยิดดูโดดเด่นขึ้นมาในทันตา เราจึงตัดสินใจเข้าไปข้างในเผื่อจะได้เก็บภาพมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่พอเรากำลังจะก้าวขาข้ามเข้าไปปุ๊ป คนที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าก็บอกกับเราว่าเข้าไม่ได้ โอเค เราก็คิดว่านี่คงไม่ใช่ประตูสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ากัน เราเลยเดินไปเข้าที่ประตูที่อยู่ข้างกัน
แล้วทันใดนั้นเราก็พบว่า ประตูได้ถูกปิดเอาไว้ ด้วยความสงสัยอะนะ
เลยเดินกลับไปถามเข้าว่าวันนี้ปิดไม่ให้เข้าหรอ จริงได้คำตอบว่าในช่วงเดือนมิถุนายนที่เราไปนี้
ทางมัสยิดแห่งนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้านั่นเองจ้า รู้ทันทีเลยว่าตัวเองกลายร่างเป็น นก ตัวใหญ่เบ้อเร่อ
โอเค ไม่เป็นไรแม้จะไม่ได้เข้าไปแต่ได้มาชื่นชมความสวยงามของตัวอาคาร
ด้วยตาของตัวเองก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่
หลังจากที่ผิดหวังในการดั้นด้นมามัสยิดแดงนี้ แต่เขาดันปิดไม่ให้เข้า เราก็เลยขอแยกตัวออกมาเดินเล่น ถ่ายภาพระหว่างทางไปเรื่อยๆ สำหรับการเดินเที่ยวในเมือง ถือว่าค่อนข้างง่ายปลอดภัยกว่าอินเดียพอสมควร อ่อ! แล้วก็ผู้คนของเขามีความเป็นมิตรเป็นกันเองมาก เวลาที่ขอถ่ายรูปก็มักได้รอยยิ้มตอบกลับมาเสมอ ส่วนพวกที่เดินมาขอเงินก็มีนะ เราก็เจอเหมือนกันแต่ไม่เยอะ
เราเดินทอดน่องจากมัสยิดแดงข้ามถนนมาอีกฝั่งที่เป็นตลาดให้อารมณ์คล้ายกับพาหุรัดสำเพ็งของบ้านเราเลย คือมีของขายเยอะมากกกก ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายก็คือ มีตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบอะแหละจ้า โอ้ยยย พ่อคู๊ณณณณ แต่นี่เดินแชะภาพไปเพลินๆ ไปได้นะ ต้องค่อยระวังรถด้วย และด้วยความที่ว่าเราเดินคนเดียวจึงต้องระวังเป็นพิเศษยิ่งต่างที่ต่างถิ่นอะเนอะ
บอกเลยว่าใครชอบถ่ายภาพนะได้เดินกดชัตเตอร์กันมันมือแน่นอน
ยิ่งคนที่ชอบถ่ายแนววิถีชีวิตถ่ายผู้คนด้วยแล้วล่ะก็สนุกจนลืมอากาศร้อนไปเล้ยยยย
เมื่อเราเดินผ่านตลาดมาจนสุดถนนแล้ว ก็จะมาโผล่บริเวณถนนใหญ่ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นสถานีรถไฟ
ด้วยความที่โคลัมโบเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเลยทำให้สภาพแวดล้อมต่างๆ ดูแออัดไปหมด
ทั้งการจราจรที่ติดขัดไม่ต่างจากบ้านเราและผู้คนที่อาศัยกันอยู่หนาแน่น เลยทำให้ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
หากใครที่มีโอกาสไปเยือนโคลัมโบมาแล้วก็อาจจะมีทั้งชอบและไม่ชอบ แต่เราบอกไว้ก่อนว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้น่ากลัว
หรืออันตรายอย่างที่คิดเลย ใครที่ชอบเที่ยวแบบง่ายๆ แบบซิตี้ทัวร์ก็ลองดู ไม่ผิดหวังแน่นอน
[SR] เที่ยวศรีลังกา ตะลุยสถานที่สุดฮิต Colombo - Dambulla - Sigiriya - Kandy
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้