Everyday a good day
“เสียงฝนฤดูใบไม้ร่วง กับเสียงฝนฤดูฝน ไม่เหมือนกัน”
นานๆทีจะเจอหนังที่คนดูเงียบสนิททั้งโรง บรรยากาศชวนบรรลุธรรม แบบนี้
日日是好日 (นิจินิจิโคะเระโคจิทซึ) ทุกๆวันเป็นวันที่ดี เป็นหนังที่สร้างออกมาได้สวย เนื้อเรื่องลื่นไหล (ไร้ไคลแม็กซ์) ตามสไตล์ญี่ปุ่น แต่ในความเรียบง่ายนั้นแฝงไปด้วยรายละเอียดมากมาย การส่งสารถึงคนดูก็เป็นไปในหลายระดับ ทั้งองค์ประกอบภาพ เสียง อารมณ์ จนถึงสภาวะจิตของตัวละคร ที่เหมือนจะส่งคลื่นตรงเข้ามาที่จิตใจของผู้ชมที่พร้อมรับ เรียกได้ว่าเป็นหนังที่งดงามในหลากหลายมิติอย่างที่หนังทั่วๆไปยากที่จะทำได้
Everyday is a good day เล่าเรื่องการเดินทางของตัวเอกโนริโกะผ่านการฝึกชงชา(茶道sado) ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติตามแบบแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเกิดสมาธิตามวิถีเซน ในเรื่องเราจะเห็นตัวเอกเริ่มเรียนชงชาตั้งแต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ช่วงแรกรู้สึกเหมือนเด็กหัดเดิน จนถึงจุดที่สามารถสอนคนอื่นได้ กินเวลายี่สิบกว่าปี ระหว่างทางก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ทั้งสุข ทุกข์ พลัดพราก และบทเรียนต่างๆที่โนริโกะเรียนรู้ผ่านสภาวะจิตในห้องชงชา ซึ่งตามสไตล์ญี่ปุ่น การส่งสารจะเป็นไปโดยอ้อม หรืออ้อมมาก หรืออ้อมมากๆ อย่างความหมายของขนมญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง
อย่างน้อยที่สุดคนที่ดูเรื่องนี้ก็จะได้เพลิดเพลินไปกับภาพและเสียงที่ถูกร้อยเรียงมาเป็นอย่างดี ทั้งองค์ประกอบภาพ การให้แสง เสียงที่ถูกบันทึกมาแบบ HD สุดๆ ชวนให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศของหนัง
ในระหว่างการดำเนินเรื่องเราจะเห็นถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สื่อออกมาเป็นระยะๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก กับเพื่อน และที่เน้นที่สุดก็น่าจะเป็นความเป็นศิษย์อาจารย์ วิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ค่านิยมสังคม และนิยามของคำว่า “ความก้าวหน้า” ของแต่ละคน
อีกมุมนึงที่น่าสนใจคือ “หัวใจบริการ” หรือที่เรียกว่า Omotenashi ของญี่ปุ่น ที่คนญี่ปุ่นถึงกับเชื่อฝังหัวเลยว่า เป็นสิ่งที่ต้องเป็น Japanese born เท่านั้นถึงจะมี เราจะสังเกตได้จากธงอักษรที่อาจารย์ทาเคดะจัดสรรมาเป็นอย่างดีเพื่อให้รับกับสถาณการณ์หรือสภาวะของแขกที่จะมาในวันนั้น หรือแม้แต่ขนมที่เปลี่ยนไปก็มีความหมาย และเลือกมาเพื่อแขกสำคัญโดยเฉพาะ
ที่สัมผัสได้ชัดอีกอย่างคือวิถีการเรียนรู้ที่หนังบอกออกมาตรงๆว่า “การเรียนรู้บางอย่างต้องอาศัยเวลา ค่อยๆซึมซาบ และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ” ซึ่งเป็นวิถีการเรียนรู้แนวตะวันออกที่ผสานเอาการเรียนรู้ทางธรรมเข้ากับรูปแบบการปฏิบัติ (ญี่ปุ่นมี พิธีชงชา ยิงธนู จัดดอกไม้ จีนมีกังฟู อินเดียมีโยคะ) และหัวใจของการเรียนรู้แบบนี้คือความต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นในหนังว่า มีทั้งคนที่มาแล้วไป กับคนที่มีวินัยทำได้ต่อเนื่อง
ที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ Spiritual breakthrough ของตัวละครหลัก ที่เริ่มตั้งแต่เป็นคนซุ่มซ่าม จนวันนึงพัฒนาสติถึงขั้นที่สัมผัสคมจนสามารถแยกแยะเสียงของน้ำร้อนน้ำเย็น หรือเสียงฝนแต่ละฤดูได้ และให้เราเห็นว่า การชงชาช่วยให้สัมผัสถึงสภาวะจิตใจได้อย่างไร สำหรับผม ตอนที่ตัวเอกรู้สึกอิจฉาเด็กใหม่ที่ทำได้ดีเพียงเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อการชงชาเป็นอย่างมากจนอาจารย์ออกปากดุว่า “เรียนมาเป็นสิบปี ควรจะทำได้ดีกว่านี้” ไม่ใช่เป็นการดุเรื่องการชงชา แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตมากกว่า
สุดท้าย หนังบอกกับเราว่า เราจะกังวลกับอนาคตก็ได้ จะเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ณ ขณะนี้ ตรงหน้าเรานี้ มีสิ่งสวยงาม มีความสงบ ให้เราเข้าไปหลบพักผ่อนอยู่เสมอ ขอเพียงเรามีสติที่เข้มแข็ง เราจะสามารถเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก
“การสัมผัสถึงความร้อนในฤดูร้อน มองหิมะในฤดูหนาว ฟังเสียงฝนในฤดูฝน ทุกๆวันเป็นวันที่ดี มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
[CR] Everyday is a good day 日日是好日 ชีวิต ชา ความสุข
“เสียงฝนฤดูใบไม้ร่วง กับเสียงฝนฤดูฝน ไม่เหมือนกัน”
นานๆทีจะเจอหนังที่คนดูเงียบสนิททั้งโรง บรรยากาศชวนบรรลุธรรม แบบนี้
日日是好日 (นิจินิจิโคะเระโคจิทซึ) ทุกๆวันเป็นวันที่ดี เป็นหนังที่สร้างออกมาได้สวย เนื้อเรื่องลื่นไหล (ไร้ไคลแม็กซ์) ตามสไตล์ญี่ปุ่น แต่ในความเรียบง่ายนั้นแฝงไปด้วยรายละเอียดมากมาย การส่งสารถึงคนดูก็เป็นไปในหลายระดับ ทั้งองค์ประกอบภาพ เสียง อารมณ์ จนถึงสภาวะจิตของตัวละคร ที่เหมือนจะส่งคลื่นตรงเข้ามาที่จิตใจของผู้ชมที่พร้อมรับ เรียกได้ว่าเป็นหนังที่งดงามในหลากหลายมิติอย่างที่หนังทั่วๆไปยากที่จะทำได้
Everyday is a good day เล่าเรื่องการเดินทางของตัวเอกโนริโกะผ่านการฝึกชงชา(茶道sado) ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติตามแบบแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเกิดสมาธิตามวิถีเซน ในเรื่องเราจะเห็นตัวเอกเริ่มเรียนชงชาตั้งแต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ช่วงแรกรู้สึกเหมือนเด็กหัดเดิน จนถึงจุดที่สามารถสอนคนอื่นได้ กินเวลายี่สิบกว่าปี ระหว่างทางก็ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ทั้งสุข ทุกข์ พลัดพราก และบทเรียนต่างๆที่โนริโกะเรียนรู้ผ่านสภาวะจิตในห้องชงชา ซึ่งตามสไตล์ญี่ปุ่น การส่งสารจะเป็นไปโดยอ้อม หรืออ้อมมาก หรืออ้อมมากๆ อย่างความหมายของขนมญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง
อย่างน้อยที่สุดคนที่ดูเรื่องนี้ก็จะได้เพลิดเพลินไปกับภาพและเสียงที่ถูกร้อยเรียงมาเป็นอย่างดี ทั้งองค์ประกอบภาพ การให้แสง เสียงที่ถูกบันทึกมาแบบ HD สุดๆ ชวนให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศของหนัง
ในระหว่างการดำเนินเรื่องเราจะเห็นถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สื่อออกมาเป็นระยะๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก กับเพื่อน และที่เน้นที่สุดก็น่าจะเป็นความเป็นศิษย์อาจารย์ วิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ค่านิยมสังคม และนิยามของคำว่า “ความก้าวหน้า” ของแต่ละคน
อีกมุมนึงที่น่าสนใจคือ “หัวใจบริการ” หรือที่เรียกว่า Omotenashi ของญี่ปุ่น ที่คนญี่ปุ่นถึงกับเชื่อฝังหัวเลยว่า เป็นสิ่งที่ต้องเป็น Japanese born เท่านั้นถึงจะมี เราจะสังเกตได้จากธงอักษรที่อาจารย์ทาเคดะจัดสรรมาเป็นอย่างดีเพื่อให้รับกับสถาณการณ์หรือสภาวะของแขกที่จะมาในวันนั้น หรือแม้แต่ขนมที่เปลี่ยนไปก็มีความหมาย และเลือกมาเพื่อแขกสำคัญโดยเฉพาะ
ที่สัมผัสได้ชัดอีกอย่างคือวิถีการเรียนรู้ที่หนังบอกออกมาตรงๆว่า “การเรียนรู้บางอย่างต้องอาศัยเวลา ค่อยๆซึมซาบ และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ” ซึ่งเป็นวิถีการเรียนรู้แนวตะวันออกที่ผสานเอาการเรียนรู้ทางธรรมเข้ากับรูปแบบการปฏิบัติ (ญี่ปุ่นมี พิธีชงชา ยิงธนู จัดดอกไม้ จีนมีกังฟู อินเดียมีโยคะ) และหัวใจของการเรียนรู้แบบนี้คือความต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นในหนังว่า มีทั้งคนที่มาแล้วไป กับคนที่มีวินัยทำได้ต่อเนื่อง
ที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ Spiritual breakthrough ของตัวละครหลัก ที่เริ่มตั้งแต่เป็นคนซุ่มซ่าม จนวันนึงพัฒนาสติถึงขั้นที่สัมผัสคมจนสามารถแยกแยะเสียงของน้ำร้อนน้ำเย็น หรือเสียงฝนแต่ละฤดูได้ และให้เราเห็นว่า การชงชาช่วยให้สัมผัสถึงสภาวะจิตใจได้อย่างไร สำหรับผม ตอนที่ตัวเอกรู้สึกอิจฉาเด็กใหม่ที่ทำได้ดีเพียงเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อการชงชาเป็นอย่างมากจนอาจารย์ออกปากดุว่า “เรียนมาเป็นสิบปี ควรจะทำได้ดีกว่านี้” ไม่ใช่เป็นการดุเรื่องการชงชา แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตมากกว่า
สุดท้าย หนังบอกกับเราว่า เราจะกังวลกับอนาคตก็ได้ จะเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ณ ขณะนี้ ตรงหน้าเรานี้ มีสิ่งสวยงาม มีความสงบ ให้เราเข้าไปหลบพักผ่อนอยู่เสมอ ขอเพียงเรามีสติที่เข้มแข็ง เราจะสามารถเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก
“การสัมผัสถึงความร้อนในฤดูร้อน มองหิมะในฤดูหนาว ฟังเสียงฝนในฤดูฝน ทุกๆวันเป็นวันที่ดี มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้