ผมเคยดู The Lion King เมื่อตอนเด็กๆ ครับ จำได้ว่าดูจบผมเอาแมวที่บ้านมาชูเหนือหัวพร้อมร้องว่า "อาาาาาาาาาาาสิพันยาาาาาาาาาาาา"555

     การที่ Favreau จะหยิบหนังแอนิเมชั่นคลาสสิคขนาดนี้มารีเมคเป็น Live Action ผมว่าน่าสนใจนะ เพราะเขาทำให้เราว้าวมาแล้วกับ The Jungle Book แต่ผมว่านี่เป็นงานหินอีกเรื่องนึงเลย เพราะแอนิเมชั่นมันพอเหมาะในตัวมันแล้วครับ มันดูเพอร์เฟคที่สุดแล้วในบริบทการเป็นหนังแอนิเมชั่น เหมือนเราเอา Ben 10 มาทำเป็นหนัง Live Action อ่ะครับ แน่นอนว่ามันยากมากที่จะทำให้เอเลี่ยนทั้งสิบออกมาหน้าตาให้ดูสมจริงที่สุด

     ........................ แล้ว The Lion King ประสบปัญหานั้นครับ

     ” ซิมบ้า “ เกิดมาเพื่อเป็นราชาอย่างแท้จริง วันที่ซิมบ้าถือกำเนิด เหล่าฝูงสัตว์แซ่ซร้อง โห่ร้องลั่นป่าด้วยความยินดี ซิมบ้าถูกเลี้ยงแบบธรรมดาเหมือนสิงโตตัวน้อยๆซุกซนไปตามธรรมชาติ และพ่อของซิมบ้าห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปป่าต้องห้าม แต่ซิมบ้าซนถึงขนาดจะเอาชีวิตไม่รอดจากฝูงไฮยีน่าในป่าต้องห้ามนั้น เมื่อเติบโตขึ้นจึงเข้าใจชีวิตมากขึ้น ซิมบ้าถูก ” มูฟาซ่า “ พ่อของเขา สอนให้เข้าใจสัจธรรม และธรรมของเจ้าป่า ต้องเข้าใจและรักษาสมดุลของชีวิตสัตว์นักล่าทั้งหลายในป่านี้ไว้

     ” สการ์ “ อาของซิมบ้า เจ้านี่มันร้ายอย่างมากเพราะวางแผนฆ่ามูฟาซ่าและโยนความผิดให้ซิมบ้า โดยการคิดแผนร้ายกับฝูงไฮยี่น่าสัตว์ที่เป็นที่รังเกียจของสังคมสัตว์ในอาณาจักรสิงโต เพราะไอเจ้าฝูงไฮยีน่านี้ไปถึงไหน ความวอดวายบรรลัยเกิดขึ้นที่นั่น สิ่งที่สการ์ต้องการคือ ตำแหน่ง “เจ้าป่า” โดยไม่เคยสนใจว่าจะสร้างความเสียหายให้กับสังคมเท่าไหร่ ขออย่างเดียวให้ตนเองได้เป็นเจาป่าอยู่ท่ามกลางตำแหน่งใหญ่โต หลังจากสการ์ขึ้นครองอำนาจ สมดุลแห่งห่วงโซ่เปลี่ยนแปลง ฝูงสัตว์เริ่มอพยพหนีออกจากอาณาจักร เพราะรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตอีกต่อไปสังคมจากความอุดมสมบูรณ์ก็กลายเป็นความแห้งแล้งกันดาร

     แน่นอนครับว่า ตัวหนังฉบับนี้ต้องมีการนำไปเปรียบเทียบกับฉบับเก่าแน่ๆ ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ เหมือนกับเราไปกินผัดกะเพรานั่นแหละครับ ถ้าชอบแบบร้าน A แล้วคุณไปกินผัดกะเพราร้าน B ซึ่งผัดกะเพราร้าน B นี้นั้นเป็นผัดกะเพราะเหมือนกับร้าน A นั่นแหละ เพียงแต่ลายจานกับการตกแต่งหน้ามันดูน่าทานมากกว่า ถ้าคุณไม่ชอบต่อให้มันอร่อยขนาดไหนคุณก็ไม่มีทางพึงพอใจกับผัดกะเพราะจานนั้นครับ

     ส่วนตัวผมไม่ได้อะไรมากกับการทำหนังรีเมคแบบ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง" นะครับ ยกตัวอย่างเช่น Let Me In ที่คงเนื้อเรื่องเดิมไว้หมดจากต้นฉบับซึ่งผมชอบฉบับรีเมคมาก, The Omen ก็คงไว้ฉากต่อฉากแต่ก็ยังสนุก, Carrie ที่เนื้อเรื่องตามเดิมเพิ่มเติมคือเทคนิคดีขึ้นแต่ผมชอบ, Quarantine ก็ลอกมาแบบฉากต่อฉากแต่ก็ยังลุ้นเช่นกัน เพราะถ้าผกก. มีของพอ ถึงจะคล้ายยังไงมันก็ต้องมีความสนุกแฝงอยู่แน่นอน และ Favreau ก็ทำออกมาได้กลางๆ ครับ คือยังสนุกอยู่แต่ก็ยังรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้

     ผมว่าหนังไม่ได้แย่เท่าที่ร่ำลือกันมาหรอกครับ ถ้าอยากดูผมว่าไปดูเลย หนังมันก็ยังสนุกตามสไตล์ Disney นั่นแหละ เพียงแต่อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ The Jungle Book เด็ดขาดนะครับ เพราะผมว่า The Lion King ยังไปไม่ถึงฝั่งนั้นครับ และผมว่าถึงแม้หนังมันจะโดนด่าเยอะขนาดไหน ผมว่ายังไงหนังก็ยังคงมีสิทธิ์ลุ้นพันล้านแตกครับ เพราะว่าหนังมันทำมาแบบที่ Disney ทำมาตลอดนั่นแหละ(เช่นเดียวกับที่ทำกับ Aladdin) ยังไงผมว่าหนังก็รอดในด้านรายได้ครับ

     ผมว่าจุดแข็งของหนังคือ CG ที่ค่อนข้างเนียนตา มันเหมือนเรากำลังนั่งดู National Geographic + Animal Planet + Game of Thrones อยู่เลย ผมว่าเขาใส่มาแล้วมันละลานตาดี แต่มันก็จะมีจุดสังเกตุอยู่เล็กน้อยตรงที่ มันสมจริงจนบางฉากมันดูไร้อารมณ์ มันดูเรื่อยๆ มาก เหมือนดูสัตว์มาเดินๆๆๆ แล้วก็พูดๆๆๆ แล้วก็กลับมาเดินๆๆๆ กับพูดๆๆๆ อีกครั้ง ทำให้ช่วงแรกของหนังประมาณ 30 นาทีนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเรื่อยๆ เสียจนชวนหลับ

     ช่วงหลังหนังเริ่มสนุกขึ้นครับ คงเป็นเพราะเราปรับอารมณ์กับหนังได้แล้วมั้งครับ เราก็เลยไปกับหนังได้เรื่อยๆ ด้านเสียงพากย์ผมว่าทำได้ดีตามฉบับ Disney อาจจะไม่ได้ดีเลิศแต่ก็พากย์ได้ลื่นหูดี ผมว่าผมชอบเสียงของ Beyoncé ในเรื่องนี้นะ ฟังดูมีเสน่ห์ดี ผมว่าถ้าเธอหันมาทางด้านพากย์หรือว่าการแสดงอาจจะน่าสนใจนะเพราะเธอดูมีของมาก เพียงแต่ยังหาโอกาศปล่อยของไม่ได้

     สรุปสั้นๆ ถ้าใครที่เคยดู The Lion King เวอร์ชั่นเก่า มาดูหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ หนังก็สนุกดี(เพียงแต่อย่าไปเทียบกับ The Jungle Book) แต่ถ้าใครไม่ชอบอะไรเดิมๆ ก็อาจจะส่ายหัวกับฉบับนี้ได้ครับ เพราะฉบับนี้คล้ายฉบับเดิมค่อนข้างมาก แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ไปดู CG เนียนๆ ก็คุ้มแล้วครับ แต่สำหรับผม ผมไม่ผิดหวังครับ(เพราะไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว)

คะแนนเฉลี่ยรวม : 7/10

เรตหนัง : หนังดีที่ควรดู