ฮาโหลลลลลลลล ทุกคน ก่อนอื่นเราต้องออกตัวแรงๆก่อนว่า เราเป็นมือใหม่หัดเขียนกระทู้น้า จริงๆเราชอบอ่านกระทู้ห้อง blue planet มากๆ แต่ไม่กล้าเขียนรีวิวเลยสักครั้งนึง แต่ครั้งนี้ไปเที่ยวมามันประทับใจมากจริงๆ แล้วการเขียนบันทึกการเดินทางมันยังเป็น wish list อันนึงที่เราอยากลองทำดูสักครั้ง ก็เลยตั้งใจเขียนเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆได้อ่าน เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกันนะ
ทำไมเลือกไปอิตาลี…จริงๆก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอิตาลีอยู่ในหัวเลย เราอยากไปฝรั่งเศสเพราะเพื่อนสนิทเพิ่งไปมาแล้วรูปสวยมากๆ แต่ดันมีข่าวประท้วงกันหนักในช่วงนั้น และนอตเตอร์ดามยังไฟไหม้อีก เลยตัดใจว่าไม่ไปดีกว่า เอ้า!! แล้วจะไปไหนดีล่ะ พอดีมีพี่สาวคนนึงเล่าให้ฟังว่าที่เค้าเดินทางมาทั้งหมดในโซนยุโรปเค้าชอบอิตาลีที่สุดเลย เพราะแต่ละเมือง unique มาก ต้องลองไปเห็นกับตาซักครั้งนึง เราเลยเปิดใจเสิร์ชหาอ่านในพันทิปนี่แหละ ก็พบว่าอิตาลีน่าสนใจมากทีเดียว เลยเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมา การผจญภัยครั้งนี้มีผู้ร่วมทริปอยู่ 2 คนคือเราและสามีเรา ภาษาอังกฤษแค่พอสื่อสารได้ทั้งคู่ ภาษาอิตาเลียนไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ทักษะเอาตัวรอดน่าจะปานกลาง คุยๆกันก็คิดว่าถ้าไม่ประมาทก็น่าจะพอไหวละม้างงงงง อ้ะ…ว่าแล้วตัดสินใจกดจองตั๋วไปเลยจ่ะ
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/39059685
Day 1-2: Bangkok-Milan (21-22 June 2019)
พวกเราเดินทางไปอิตาลีครั้งนี้กับสายการบิน Etihad ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 20.45 น. แวะเปลี่ยนเครื่องครั้งนึงที่อาบูดาบีตอนประมาณเที่ยงคืน แล้วเดินทางต่อถึงสนามบิน Malpensa ที่มิลานตอน 7 โมงเช้า ผ่านตม.เรียบร้อยดี เจ้าหน้าที่มองหน้าเล็กน้อยแล้วก็ปั้มให้ผ่านไปอย่างง่ายดาย
พอมาถึงสนามบิน Malpensa เราก็มองหาว่าจะเดินทางไปที่พักที่มิลานยังไงดี แล้วก็พบว่ามี อยู่ 2 ทางเลือกคือรถไฟและรถบัส ซึ่งเราสองคนเลือกใช้บริการรถบัสของสนามบิน ราคาคนละ 10 ยูโร รถบัสสะอาดสะอ้านดี มีรอบรถทุกๆ 15 นาที เดินทางตรงเวลาและดูไม่น่ากลัวด้วย
นั่งรถบัสมาประมาณ 40 – 50 นาทีก็จะถึงบริเวณ Milano centrale ที่เป็นเหมือนสถานีขนส่งหลักของมิลาน โดยระหว่างทางจากสนามบินมามีฝนตกอยู่ตลอดและตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆๆๆ พอมาถึง Milano centrale ปรากฏว่าเรายังลงจากรถบัสไม่ได้ เพราะมีพายุลูกเห็บตกหนักมาก ก็ต้องนั่งรอในรถประมาณ 15 นาทีถึงจะออกไปได้ ระหว่างนั่งรอก็เปิดดูพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั้งวันจนถึงประมาณห้าโมงเย็น พวกเราก็เลยต้องยกเลิกแผนที่จะไป Lake Como T^T (คิดแล้วยังเศร้าไม่หาย นั่งเครื่องมาตั้งเป็นสิบๆชั่วโมงเพื่อมาเจอพายุลูกเห็บเนี่ยนะ!!! ทำไมมิลานใจร้ายกับพวกเราขนาดนี้ ฮือออ)
หลังจากลงรถบัสมาก็ลากกระเป๋ากันทุลักทุเลเข้าไปหาที่ฝากกระเป๋าที่ milano centrale ก่อน เพราะกว่าจะcheck in เข้าที่พักได้ก็ตั้งบ่ายสามโมงแน่ะ เราก็เดินไปตามป้ายจุดฝากสัมภาระ เดินไปเรื่อยๆจะเจอจุดฝากสัมภาระชื่อ “ KI point “ ค่าฝากกระเป๋าใบละ 6 ยูโรต่อ 5 ชั่วโมง ถ้าฝากเกินก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ แต่เราจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่
พอฝากกระเป๋าเสร็จ ก็ไปหาอะไรกินกันก่อน มื้อแรกที่อิตาลี แน่นอนต้องเริ่มต้นด้วย แมคโดนัล 555 กินกันตายไปก่อน ไปตั้งหลัก สงบสติอารมณ์กับเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาก่อนนนนน แมคโดนัลที่นี่มีแบบให้จิ้มๆที่จอ touchscreen สั่งเองจ่ายเงินเองก็สะดวกสบายดีไม่ต้องต่อคิว เครื่องมีจำนวนเยอะอยู่ หรือจะเดินไปสั่งกับพนักงานก็ได้ กินเสร็จแล้วก็เก็บถาดอาหารด้วยนะ
อ่ะๆมาเริ่มที่เที่ยวที่แรกกันซักทีเนอะ หลังจากทุกอย่างผิดแผนไปหมดตั้งแต่เริ่ม เราก็เลยหาที่เที่ยวในมิลานนี่แหละ ฝนก็ยังตกเปาะแปะให้น่ารำคาญอยู่ เพราะฉะนั้นที่แรกที่จะไปก็คือ ห้าง Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งเป็นห้างที่เก่าแก่มากๆในอิตาลี และเป็นห้างสวยคลาสสิคตลอดกาลมีแบรนด์เนมเกือบจะทุกอย่างมาเปิดรอขาชอปทั้งหลาย โดยเฉพาะพวก Gucci Prada ที่เป็นแบรนด์สัญชาติอิตาลีนี่มีเยอะเลย ร้านอาหารก็มีเยอะเช่นกัน แต่จริงๆแค่มาเดินชมความสวยงามก็คุ้มแล้วล่ะ
แล้วห้างนี้ยังมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าเอาส้นเท้าไปหมุนๆบนกระทิงที่เป็นกระเบื้องโมเสค 3 รอบตามเข็มนาฬิกาแล้วจะโชคดี นี่ก็เลยรีบไปหมุนๆ ขอให้เที่ยวในอิตาลีได้อย่างปลอดภัยและอากาศดีๆซักทีเถ้ออออออ เพี้ยง!!!
เดินออกจากห้างมาก็เจอกับ Duomo di Milano หรือมีชื่อเล่นว่ามหาวิหารเม่น เพราะมียอดมหาวิหารเยอะแยะไปหมด มหาวิหารนี้ใช้เวลาสร้างนานมากกกกกเป็นร้อยๆปีเลยนะ (ประมาณ 579 ปี) ก็เลยมีคนคุมการก่อสร้างหลายคนและหนึ่งในนั้นคือ ลีโอนาโด นาวินชี มันก็เลยสวยงามอลังการประทับใจตั้งแต่แรกเห็น มีรายละเอียดเล็กๆซ่อนไว้ตลอด ใครที่สนใจอยากขึ้น Top ของดูโอโมนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะประมาณคนละ 12 ยูโร แต่ถ้าเข้าชมด้านในดูโอโมจะฟรีค่ะ
รายละเอียดเยอะมากจริงๆค่ะ สวยไปหมดทุกอย่างถ้าฟ้าไม่เทาน่าจะสวยกว่านี้
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบอกเลยจ้าว่าสวยอันตราย จะมัวแต่เพลิดเพลินชมความสวยงามไม่ได้นะ เพราะเราโดนรับน้องที่นี่แหละ เหตุการณ์คือ ช่วงที่เราต่อแถวเพื่อจะเข้าไปชมด้านในของมหาวิหาร ก็มีกลุ่มคนเดินมาแทรกกลางระหว่างเรากับผู้ชายเอเชียที่อยู่ข้างหลังเราอยู่แล้ว ทำเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำอ้ะ แต่มีอยู่คน 2 คนนี่แหละที่ไม่ยอมเดินผ่านเราไป เพราะเค้าพยายามจะล้วงกระเป๋าเรา เรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติกำลังจะหันไปมองชัดๆ ตอนนั้นเอง…เราได้ยินเสียงผู้ชายเอเชียที่อยู่ข้างหลังเราตะโกนเสียงดังมากๆ น่าจะเป็นภาษาอิตาเลียน เหมือนด่าคนพวกนั้นอยู่ แล้วคนกลุ่มนั้นที่เดินมาแทรกก็รีบเดินหายไปอย่างไวเลย ส่วนเรามัวแต่ตกใจ เลยขอบคุณเค้าเป็นภาษาไทย 5555 (โอ้ยยยย เกือบไปแล้วดีที่ไม่มีอะไรหายไป)
เข้าไปชมด้านในมหาวิหารกันดีกว่า ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะเสื้อไม่แขนกุด แล้วก็กางเกงหรือกระโปรงต้องคลุมเข่าด้วยน้า การตกแต่งภายในค่อนข้างเรียบง่ายขัดกับภายนอกที่ดูอลังการไปหมดทุกอย่าง รู้สึกเงียบสงบมากๆ มีรูปปั้น มีเสาวิหาร และกระจกสีสวยๆให้ดู
ตรงกระจกสีนี้แต่ละอันก็จะเป็นภาพต่างๆเค้าบอกว่าเอาไว้สอนศาสนาให้คนที่ไม่มีความรู้ อ่านหนังสือไม่ออก ดูจากภาพจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เราดูเสร็จก็ไปเดินเล่นรอบๆแถวนั้นอีกนิดหน่อยก็ถึงเวลา check-in พอดีแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตกด้วย เลยตัดสินใจกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วนอนพักเอาแรงซัก 2-3 ชั่วโมงดีกว่า
ออกจากที่พักมาประมาณตอน 6 โมงเย็น เหมือนคำอธิษฐานก่อนหน้านี้จะเป็นผลแฮะ
ตอนนี้อากาศสดใสเฉยเลย ฟ้าเป็นสีฟ้า มีแดดจ้าเล็กๆ เสมือนไม่เคยมีพายุลูกเห็บเข้ามาก่อนเลยเมื่อบ่ายนี้ แต่เนื่องจากเราต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันไม่รู้จะไปไหนดี ก็กดๆดูเจอว่ามีร้านสตาร์บัคที่มิลานแถมเคลมว่าสวยที่สุดในโลกไปอีกกกกกก พวกเราที่ไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้วก็เลยต้องไปดูกับตาซะหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยจ้า ตัวตึกด้านนอกดูเก่าแก่เหมือนตึกส่วนใหญ่ที่อิตาลี แต่ข้างในตกแต่งสวยงามและใหญ่มาก คิดว่าที่เค้าทุ่มทุนสร้างเบอร์นี้เพราะจริงๆอิตาลีก็มีชื่อเสียงเรื่องกาแฟเอสเปรรรรสโซ (เน้นเสียงรอเรือ)ของเค้าอยู่แล้ว จะตีตลาดเค้าทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่นิดนึง
มีกาแฟแปลกๆเพียบเลย แถมขนมทุกอย่างทำออกมาชวนให้เสียเงินจริงๆ (ก็เสียจริงๆนั่นแหละ ) แล้วก็มีโซนขายของที่ระลึกพวกแก้วสตาร์บัคลายที่เป็นลิมิเต็ด มีเฉพาะที่มิลานเท่านั้นอะไรแบบนี้ นี่ก็กัดฟันซื้อกลับมาเป็นที่ระลึกใบนึง แล้วให้เหตุผลปลอบใจตัวเองว่า เอาน่า...ลดการใช้พลาสติกงายยยย T^T
ออกจากร้านสตาร์บัคเห็นฟ้าสดใสแล้วเลยเดินกลับไปถ่ายซ่อมที่ Duomo อีกครั้ง
เดินถ่ายรูปเล่น อารมณ์เริ่มจะดีนิดๆ
จะทุ่มนึงแล้วววว เริ่มรู้สึกหิวเลยเดินๆงงๆกันไปหาร้านกินข้าว แต่ว่ามาเจอร้านไอศกรีมเจลาโต้ก่อน คนเยอะด้วยมันต้องอร่อยแน่ๆ(ตรรกะนี้ใช้ตลอดทริป) คิดเสร็จก็เลี้ยวเข้าร้าน cioccolat italiani ไปในเสี้ยววินาที
ท้าดา!!!! อร่อยสมคำร่ำลือเนื้อไอศกรีมเหนียวหนึบ รสชาติถือว่าดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะ dark chocolate นี่มันดาร์กสะใจจริงๆ ค่าเสียหายประมาณ 4 ยูโรค่ะ แล้วก็เดินๆๆๆชมบ้านชมเมืองไปเรื่อย เข้าตรอกนู้นออกซอยนี้จนไปเจอร้านชื่อ Granio ก็สั่งสปาเกตตี้เส้นดำปลาหมึกกับพิซซ่ามาแบ่งกันกิน ส่วนตัวคิดว่าสปาเกตตี้เส้นดำปลาหมึกรสชาติมันเหมือนปลากระป๋องยังไงก็ไม่รู้อ่ะ พิซซ่าก็ทั่วๆไปนะ
แต่ร้านนี้ตลกอยู่อย่างนึงคือทางร้านเค้าถามว่าจะรับเครื่องดื่มอะไร เราก็บอกว่าน้ำเปล่าค่า แล้วเค้าถามต่ออีกว่า with gas? แต่พวกเราฟังเป็น with glass? เราก็ตอบว่า yes, please ละยังมีหน้าไปงงใส่เค้าอีกนะว่าจะถามทำไมอ่ะ น้ำก็ต้องดื่มกับแก้วสิ แล้วพอดื่มน้ำไปเลยอ๋อ... เค้าคงจะถามว่าจะรับน้ำแบบมี gas หรือไม่มี gas มองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่น โถ่วววววววว อีก 9 วันนี่จะรอดม้ายยย กินข้าวเสร็จก็กลับที่พัก พักผ่อนกันดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปรับรถที่เช่าไว้ แล้วเดินทางกันอีก 4 ชั่วโมงเพื่อไป...โดโลไมต์!!!
[CR] *** Review summer in Italy 10 วัน พีคทุกวัน!!! ตอนที่ 1 Milan-Dolomites***
ทำไมเลือกไปอิตาลี…จริงๆก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอิตาลีอยู่ในหัวเลย เราอยากไปฝรั่งเศสเพราะเพื่อนสนิทเพิ่งไปมาแล้วรูปสวยมากๆ แต่ดันมีข่าวประท้วงกันหนักในช่วงนั้น และนอตเตอร์ดามยังไฟไหม้อีก เลยตัดใจว่าไม่ไปดีกว่า เอ้า!! แล้วจะไปไหนดีล่ะ พอดีมีพี่สาวคนนึงเล่าให้ฟังว่าที่เค้าเดินทางมาทั้งหมดในโซนยุโรปเค้าชอบอิตาลีที่สุดเลย เพราะแต่ละเมือง unique มาก ต้องลองไปเห็นกับตาซักครั้งนึง เราเลยเปิดใจเสิร์ชหาอ่านในพันทิปนี่แหละ ก็พบว่าอิตาลีน่าสนใจมากทีเดียว เลยเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมา การผจญภัยครั้งนี้มีผู้ร่วมทริปอยู่ 2 คนคือเราและสามีเรา ภาษาอังกฤษแค่พอสื่อสารได้ทั้งคู่ ภาษาอิตาเลียนไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ทักษะเอาตัวรอดน่าจะปานกลาง คุยๆกันก็คิดว่าถ้าไม่ประมาทก็น่าจะพอไหวละม้างงงงง อ้ะ…ว่าแล้วตัดสินใจกดจองตั๋วไปเลยจ่ะ
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/39059685
Day 1-2: Bangkok-Milan (21-22 June 2019)
พวกเราเดินทางไปอิตาลีครั้งนี้กับสายการบิน Etihad ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 20.45 น. แวะเปลี่ยนเครื่องครั้งนึงที่อาบูดาบีตอนประมาณเที่ยงคืน แล้วเดินทางต่อถึงสนามบิน Malpensa ที่มิลานตอน 7 โมงเช้า ผ่านตม.เรียบร้อยดี เจ้าหน้าที่มองหน้าเล็กน้อยแล้วก็ปั้มให้ผ่านไปอย่างง่ายดาย
พอมาถึงสนามบิน Malpensa เราก็มองหาว่าจะเดินทางไปที่พักที่มิลานยังไงดี แล้วก็พบว่ามี อยู่ 2 ทางเลือกคือรถไฟและรถบัส ซึ่งเราสองคนเลือกใช้บริการรถบัสของสนามบิน ราคาคนละ 10 ยูโร รถบัสสะอาดสะอ้านดี มีรอบรถทุกๆ 15 นาที เดินทางตรงเวลาและดูไม่น่ากลัวด้วย
นั่งรถบัสมาประมาณ 40 – 50 นาทีก็จะถึงบริเวณ Milano centrale ที่เป็นเหมือนสถานีขนส่งหลักของมิลาน โดยระหว่างทางจากสนามบินมามีฝนตกอยู่ตลอดและตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆๆๆ พอมาถึง Milano centrale ปรากฏว่าเรายังลงจากรถบัสไม่ได้ เพราะมีพายุลูกเห็บตกหนักมาก ก็ต้องนั่งรอในรถประมาณ 15 นาทีถึงจะออกไปได้ ระหว่างนั่งรอก็เปิดดูพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั้งวันจนถึงประมาณห้าโมงเย็น พวกเราก็เลยต้องยกเลิกแผนที่จะไป Lake Como T^T (คิดแล้วยังเศร้าไม่หาย นั่งเครื่องมาตั้งเป็นสิบๆชั่วโมงเพื่อมาเจอพายุลูกเห็บเนี่ยนะ!!! ทำไมมิลานใจร้ายกับพวกเราขนาดนี้ ฮือออ)
หลังจากลงรถบัสมาก็ลากกระเป๋ากันทุลักทุเลเข้าไปหาที่ฝากกระเป๋าที่ milano centrale ก่อน เพราะกว่าจะcheck in เข้าที่พักได้ก็ตั้งบ่ายสามโมงแน่ะ เราก็เดินไปตามป้ายจุดฝากสัมภาระ เดินไปเรื่อยๆจะเจอจุดฝากสัมภาระชื่อ “ KI point “ ค่าฝากกระเป๋าใบละ 6 ยูโรต่อ 5 ชั่วโมง ถ้าฝากเกินก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ แต่เราจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่
พอฝากกระเป๋าเสร็จ ก็ไปหาอะไรกินกันก่อน มื้อแรกที่อิตาลี แน่นอนต้องเริ่มต้นด้วย แมคโดนัล 555 กินกันตายไปก่อน ไปตั้งหลัก สงบสติอารมณ์กับเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาก่อนนนนน แมคโดนัลที่นี่มีแบบให้จิ้มๆที่จอ touchscreen สั่งเองจ่ายเงินเองก็สะดวกสบายดีไม่ต้องต่อคิว เครื่องมีจำนวนเยอะอยู่ หรือจะเดินไปสั่งกับพนักงานก็ได้ กินเสร็จแล้วก็เก็บถาดอาหารด้วยนะ
อ่ะๆมาเริ่มที่เที่ยวที่แรกกันซักทีเนอะ หลังจากทุกอย่างผิดแผนไปหมดตั้งแต่เริ่ม เราก็เลยหาที่เที่ยวในมิลานนี่แหละ ฝนก็ยังตกเปาะแปะให้น่ารำคาญอยู่ เพราะฉะนั้นที่แรกที่จะไปก็คือ ห้าง Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งเป็นห้างที่เก่าแก่มากๆในอิตาลี และเป็นห้างสวยคลาสสิคตลอดกาลมีแบรนด์เนมเกือบจะทุกอย่างมาเปิดรอขาชอปทั้งหลาย โดยเฉพาะพวก Gucci Prada ที่เป็นแบรนด์สัญชาติอิตาลีนี่มีเยอะเลย ร้านอาหารก็มีเยอะเช่นกัน แต่จริงๆแค่มาเดินชมความสวยงามก็คุ้มแล้วล่ะ
แล้วห้างนี้ยังมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าเอาส้นเท้าไปหมุนๆบนกระทิงที่เป็นกระเบื้องโมเสค 3 รอบตามเข็มนาฬิกาแล้วจะโชคดี นี่ก็เลยรีบไปหมุนๆ ขอให้เที่ยวในอิตาลีได้อย่างปลอดภัยและอากาศดีๆซักทีเถ้ออออออ เพี้ยง!!!
เดินออกจากห้างมาก็เจอกับ Duomo di Milano หรือมีชื่อเล่นว่ามหาวิหารเม่น เพราะมียอดมหาวิหารเยอะแยะไปหมด มหาวิหารนี้ใช้เวลาสร้างนานมากกกกกเป็นร้อยๆปีเลยนะ (ประมาณ 579 ปี) ก็เลยมีคนคุมการก่อสร้างหลายคนและหนึ่งในนั้นคือ ลีโอนาโด นาวินชี มันก็เลยสวยงามอลังการประทับใจตั้งแต่แรกเห็น มีรายละเอียดเล็กๆซ่อนไว้ตลอด ใครที่สนใจอยากขึ้น Top ของดูโอโมนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนะประมาณคนละ 12 ยูโร แต่ถ้าเข้าชมด้านในดูโอโมจะฟรีค่ะ
รายละเอียดเยอะมากจริงๆค่ะ สวยไปหมดทุกอย่างถ้าฟ้าไม่เทาน่าจะสวยกว่านี้
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบอกเลยจ้าว่าสวยอันตราย จะมัวแต่เพลิดเพลินชมความสวยงามไม่ได้นะ เพราะเราโดนรับน้องที่นี่แหละ เหตุการณ์คือ ช่วงที่เราต่อแถวเพื่อจะเข้าไปชมด้านในของมหาวิหาร ก็มีกลุ่มคนเดินมาแทรกกลางระหว่างเรากับผู้ชายเอเชียที่อยู่ข้างหลังเราอยู่แล้ว ทำเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำอ้ะ แต่มีอยู่คน 2 คนนี่แหละที่ไม่ยอมเดินผ่านเราไป เพราะเค้าพยายามจะล้วงกระเป๋าเรา เรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติกำลังจะหันไปมองชัดๆ ตอนนั้นเอง…เราได้ยินเสียงผู้ชายเอเชียที่อยู่ข้างหลังเราตะโกนเสียงดังมากๆ น่าจะเป็นภาษาอิตาเลียน เหมือนด่าคนพวกนั้นอยู่ แล้วคนกลุ่มนั้นที่เดินมาแทรกก็รีบเดินหายไปอย่างไวเลย ส่วนเรามัวแต่ตกใจ เลยขอบคุณเค้าเป็นภาษาไทย 5555 (โอ้ยยยย เกือบไปแล้วดีที่ไม่มีอะไรหายไป)
เข้าไปชมด้านในมหาวิหารกันดีกว่า ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะเสื้อไม่แขนกุด แล้วก็กางเกงหรือกระโปรงต้องคลุมเข่าด้วยน้า การตกแต่งภายในค่อนข้างเรียบง่ายขัดกับภายนอกที่ดูอลังการไปหมดทุกอย่าง รู้สึกเงียบสงบมากๆ มีรูปปั้น มีเสาวิหาร และกระจกสีสวยๆให้ดู
ตรงกระจกสีนี้แต่ละอันก็จะเป็นภาพต่างๆเค้าบอกว่าเอาไว้สอนศาสนาให้คนที่ไม่มีความรู้ อ่านหนังสือไม่ออก ดูจากภาพจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เราดูเสร็จก็ไปเดินเล่นรอบๆแถวนั้นอีกนิดหน่อยก็ถึงเวลา check-in พอดีแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตกด้วย เลยตัดสินใจกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วนอนพักเอาแรงซัก 2-3 ชั่วโมงดีกว่า
ออกจากที่พักมาประมาณตอน 6 โมงเย็น เหมือนคำอธิษฐานก่อนหน้านี้จะเป็นผลแฮะ ตอนนี้อากาศสดใสเฉยเลย ฟ้าเป็นสีฟ้า มีแดดจ้าเล็กๆ เสมือนไม่เคยมีพายุลูกเห็บเข้ามาก่อนเลยเมื่อบ่ายนี้ แต่เนื่องจากเราต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันไม่รู้จะไปไหนดี ก็กดๆดูเจอว่ามีร้านสตาร์บัคที่มิลานแถมเคลมว่าสวยที่สุดในโลกไปอีกกกกกก พวกเราที่ไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้วก็เลยต้องไปดูกับตาซะหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยจ้า ตัวตึกด้านนอกดูเก่าแก่เหมือนตึกส่วนใหญ่ที่อิตาลี แต่ข้างในตกแต่งสวยงามและใหญ่มาก คิดว่าที่เค้าทุ่มทุนสร้างเบอร์นี้เพราะจริงๆอิตาลีก็มีชื่อเสียงเรื่องกาแฟเอสเปรรรรสโซ (เน้นเสียงรอเรือ)ของเค้าอยู่แล้ว จะตีตลาดเค้าทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่นิดนึง
มีกาแฟแปลกๆเพียบเลย แถมขนมทุกอย่างทำออกมาชวนให้เสียเงินจริงๆ (ก็เสียจริงๆนั่นแหละ ) แล้วก็มีโซนขายของที่ระลึกพวกแก้วสตาร์บัคลายที่เป็นลิมิเต็ด มีเฉพาะที่มิลานเท่านั้นอะไรแบบนี้ นี่ก็กัดฟันซื้อกลับมาเป็นที่ระลึกใบนึง แล้วให้เหตุผลปลอบใจตัวเองว่า เอาน่า...ลดการใช้พลาสติกงายยยย T^T
ออกจากร้านสตาร์บัคเห็นฟ้าสดใสแล้วเลยเดินกลับไปถ่ายซ่อมที่ Duomo อีกครั้ง
เดินถ่ายรูปเล่น อารมณ์เริ่มจะดีนิดๆ
จะทุ่มนึงแล้วววว เริ่มรู้สึกหิวเลยเดินๆงงๆกันไปหาร้านกินข้าว แต่ว่ามาเจอร้านไอศกรีมเจลาโต้ก่อน คนเยอะด้วยมันต้องอร่อยแน่ๆ(ตรรกะนี้ใช้ตลอดทริป) คิดเสร็จก็เลี้ยวเข้าร้าน cioccolat italiani ไปในเสี้ยววินาที
ท้าดา!!!! อร่อยสมคำร่ำลือเนื้อไอศกรีมเหนียวหนึบ รสชาติถือว่าดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะ dark chocolate นี่มันดาร์กสะใจจริงๆ ค่าเสียหายประมาณ 4 ยูโรค่ะ แล้วก็เดินๆๆๆชมบ้านชมเมืองไปเรื่อย เข้าตรอกนู้นออกซอยนี้จนไปเจอร้านชื่อ Granio ก็สั่งสปาเกตตี้เส้นดำปลาหมึกกับพิซซ่ามาแบ่งกันกิน ส่วนตัวคิดว่าสปาเกตตี้เส้นดำปลาหมึกรสชาติมันเหมือนปลากระป๋องยังไงก็ไม่รู้อ่ะ พิซซ่าก็ทั่วๆไปนะ
แต่ร้านนี้ตลกอยู่อย่างนึงคือทางร้านเค้าถามว่าจะรับเครื่องดื่มอะไร เราก็บอกว่าน้ำเปล่าค่า แล้วเค้าถามต่ออีกว่า with gas? แต่พวกเราฟังเป็น with glass? เราก็ตอบว่า yes, please ละยังมีหน้าไปงงใส่เค้าอีกนะว่าจะถามทำไมอ่ะ น้ำก็ต้องดื่มกับแก้วสิ แล้วพอดื่มน้ำไปเลยอ๋อ... เค้าคงจะถามว่าจะรับน้ำแบบมี gas หรือไม่มี gas มองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่น โถ่วววววววว อีก 9 วันนี่จะรอดม้ายยย กินข้าวเสร็จก็กลับที่พัก พักผ่อนกันดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปรับรถที่เช่าไว้ แล้วเดินทางกันอีก 4 ชั่วโมงเพื่อไป...โดโลไมต์!!!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้