เนื่องจากเราและสามี มีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอินเดีย เมือง ชัยปุระ และอัครา ซึ่งเราทั้งสองได้ดำเนินการขอวีซ่ากับสถานทูตตามปกติ และก็ได้รับวีซ่ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเรามานึกแคลงใจว่าพาสปอร์ตของสามีใกล้หมดอายุ จึงลองเอามานั่งนับดู จึงทราบว่าพาสปอร์ตของสามีเหลือไม่ถึง 6 เดือนก่อนวันเดินทาง ซึ่งขาดไปเพียง 2 วันเท่านั้น เราไม่ได้นิ่งเฉย ได้โทรศัพท์ไปสอบถาม Call Center ของสายการบิน เพื่อทราบถึงกฏเกณฑ์และวิธีแก้ไข โดยทาง สายการบินได้แจ้งว่าสามีจะต้องให้สถานทูตออกหนังสือรับรอง หรือ ออกพาสปอร์ตเล่มใหม่แล้วให้นำมายื่นคู่กับเล่มเก่า โดยสามีได้เลือกที่จะขอพาสปอรตเล่มใหม่ ระหว่างนั้นเราก็จองโรงแรม ทั้งรถเช่าพร้อมคนขับ จองร้านอาหารอย่างสบายใจ
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง เราเดินทางไปสนามบินก่อนเวลา ตอนที่เช็คอินสายการบินก็แจ้งว่าเลขวีซ่าไม่ตรงกัน เราก็ชี้แจงเหตุผลพร้อมยื่นพาสปอร์ตทั้งสองเล่ม โดยทางสายการบินบอกว่าจะทำการถาม ตม.ที่อินเดียว่าจะอนุญาตให้เข้าประเทศหรือไม่ รอไปเป็นชั่วโมงกว่าจวนเจียนจะตกเครื่อง สายการบินก็มาบอกดื้อๆว่า ตม.ไม่อนุญาติให้เข้าประเทศ ในตอนนั้น เรายืนร้องไห้กอดสามีเลยค่ะ ไหนจะค่าวีซ่าที่เสียไป ไหนจะค่าโรงแรมที่ยกเลิกกระชั้นชิดไม่ได้ ไหนจะค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับใคร คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ
เราคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ถือว่าส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของตัวเราเอง ที่ตอนที่ขอวีซ่าไม่ได้นับวันให้ดีๆ แต่คำถามที่วนเวียนในใจคือ
1.ทำไมสถานทูตจึงออกวีซ่าให้กับพาสปอร์ตที่เหลือไม่ถึง 6 เดือนก่อนเดินทาง
2.ทำไมสายการบินจึงแนะนำให้ไปออกพาสปอร์ตเล่มใหม่ ทั้งๆที่มันใช้เดินทางไม่ได้ ถ้าเรารู้ก่อนเราอาจจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา
ตอนนี้เราจะไปถามหาความรับผิดชอบจากใครได้ ทั้งคำแนะนำแบบขอไปทีของสายการบิน พอมีปัญหาก็เรื่องของคุณ เราจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม และทำใจกับเรื่องนี้ว่า นึกเสียว่าถูกโจรปล้น
........
อัพเดทล่าสุด
กลับมาอัพเดทนะคะ หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เราก็ตัดสินใจที่จะร้องเรียนและขอค่าโดยสารคืนเต็มจำนวนค่ะ
โดยสายการบินสีแดงได้สืบสวนเรื่องราว และพนักงานในวันนั้น เราขอสรุปเนื้อหาประมาณนี้ คือ ที่สายการบินจะต้องปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินนั้น เกิดจากการประสานงานระหว่าง กทม.และปลายทางชัยปุระที่ล่าช้า และปลายทางยังไม่มีการตอบกลับ ทำให้ถ้ารอต่อไปเครื่องบินจะดีเลย์ พนักงานจึงมาแจ้งให้เราทราบว่า ตม.ปลายทางปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งคำกล่าวของพนักงาน ณ ที่นั้น ไม่เป็นความจริง
ตอนนี้เราได้รับค่าโดยสารคืนเต็มจำนวนแล้ว ทั้งขาไปและกลับ ซึ่งช่วยเยียวยาความเสียหายได้บ้าง แม้ไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม อย่างน้อย บ.ทราบเรื่องแล้วก็ถือว่ายังมีความรับผิดชอบค่ะ
อุทาหรณ์ โดน Immigration และ สายการบิน ปฏิเสธการเดินทางเข้าอินเดีย
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง เราเดินทางไปสนามบินก่อนเวลา ตอนที่เช็คอินสายการบินก็แจ้งว่าเลขวีซ่าไม่ตรงกัน เราก็ชี้แจงเหตุผลพร้อมยื่นพาสปอร์ตทั้งสองเล่ม โดยทางสายการบินบอกว่าจะทำการถาม ตม.ที่อินเดียว่าจะอนุญาตให้เข้าประเทศหรือไม่ รอไปเป็นชั่วโมงกว่าจวนเจียนจะตกเครื่อง สายการบินก็มาบอกดื้อๆว่า ตม.ไม่อนุญาติให้เข้าประเทศ ในตอนนั้น เรายืนร้องไห้กอดสามีเลยค่ะ ไหนจะค่าวีซ่าที่เสียไป ไหนจะค่าโรงแรมที่ยกเลิกกระชั้นชิดไม่ได้ ไหนจะค่าตั๋วเครื่องบิน ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับใคร คงไม่เข้าใจหรอกค่ะ
เราคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ถือว่าส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของตัวเราเอง ที่ตอนที่ขอวีซ่าไม่ได้นับวันให้ดีๆ แต่คำถามที่วนเวียนในใจคือ
1.ทำไมสถานทูตจึงออกวีซ่าให้กับพาสปอร์ตที่เหลือไม่ถึง 6 เดือนก่อนเดินทาง
2.ทำไมสายการบินจึงแนะนำให้ไปออกพาสปอร์ตเล่มใหม่ ทั้งๆที่มันใช้เดินทางไม่ได้ ถ้าเรารู้ก่อนเราอาจจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา
ตอนนี้เราจะไปถามหาความรับผิดชอบจากใครได้ ทั้งคำแนะนำแบบขอไปทีของสายการบิน พอมีปัญหาก็เรื่องของคุณ เราจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม และทำใจกับเรื่องนี้ว่า นึกเสียว่าถูกโจรปล้น
........
อัพเดทล่าสุด
กลับมาอัพเดทนะคะ หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เราก็ตัดสินใจที่จะร้องเรียนและขอค่าโดยสารคืนเต็มจำนวนค่ะ
โดยสายการบินสีแดงได้สืบสวนเรื่องราว และพนักงานในวันนั้น เราขอสรุปเนื้อหาประมาณนี้ คือ ที่สายการบินจะต้องปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินนั้น เกิดจากการประสานงานระหว่าง กทม.และปลายทางชัยปุระที่ล่าช้า และปลายทางยังไม่มีการตอบกลับ ทำให้ถ้ารอต่อไปเครื่องบินจะดีเลย์ พนักงานจึงมาแจ้งให้เราทราบว่า ตม.ปลายทางปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งคำกล่าวของพนักงาน ณ ที่นั้น ไม่เป็นความจริง
ตอนนี้เราได้รับค่าโดยสารคืนเต็มจำนวนแล้ว ทั้งขาไปและกลับ ซึ่งช่วยเยียวยาความเสียหายได้บ้าง แม้ไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม อย่างน้อย บ.ทราบเรื่องแล้วก็ถือว่ายังมีความรับผิดชอบค่ะ