สวัสดีทุกคนค่ะ ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่ามีคนเป็นโรคซึมเศร้าหรืออยู่ในภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็จะมีคนที่กำลังสับสนอยู่ว่าตัวเองควรจัดการกับอารมณ์อย่างไรดี หรือควรไปพบจิตแพทย์ไหม แล้วถ้ารักษาจะได้ยากลับมากินหรือเปล่า รักษาไปแล้วจะหายไหม ยาที่กินมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การรักษาโรคซึมเศร้าให้ได้ฟังกันค่ะ เผื่อจะช่วยเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง
อะ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
>>ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา
ตอนนี้เราเรียนมหาวิทยลัย ปัจจุบันอยู่ปีสี่แล้วค่ะ แต่เริ่มรักษาตอนอยู่ปีสาม ลักษณะนิสัย ความคิดของเราก็จะเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ทำอะไรต้องวางแผนก่อนเสมอ โดยเฉพาะเรื่องเรียนกับเรื่องอนาคตนี่จริงจังสุดๆไปเลยค่ะ พอจริงจังมากๆเข้ามันก็ก่อให้เกิดความเครียด สะสมไว้เรื่อยๆจนสุดท้ายมันก็เกิดผลกระทบกับร่างกาย กับสมองของเรา ชีวิตเราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่มันเพิ่งจะมาสำแดงฤทธิ์เดชก็ตอนเราเรียนปีสาม เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเข้าเรียนมหาวัทยาลัยปีแรกๆ ผลการเรียนนี่อยู่ในระดับที่ดีถึงดีมากๆเลยค่ะ ชนิดที่ว่าได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ตั้งแต่เทอมแรก และเพราะเกรดเทอมแรกที่มันสูงมากนี่แหละค่ะที่ทำให้เรายิ่งเครียดกว่าเดิม แบบเฮ้ย เราต้องรักษาระดับผลการเรียนไว้ให้ดีเหมือนเดิมนะ คะแนนจะตกไม่ได้นะ อ่ะ เริ่มตั้งเป้าหมาย เริ่มกดดันตัวเองละทีนี้ ยิ่งพอเรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ วิชามันก็ยากขึ้น เครียดมากขึ้น พอเกรดเทอมใหม่ออกมา นอกจากจะไม่สวยหรูแบบเดิมแล้ว ยังมีสอบตกหนึ่งตัวอีก คือในคณะที่เราเรียนเนี่ย เกณฑ์ผ่านคือต้อง C 60 คะแนนขึ้นไป แล้วมันดันมีวิชาหนึ่งที่เราได้ D ตอนนั้นเฟลมากๆถึงมากที่สุด คือก็พอรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่สอบเสร็จแล้วล่ะว่าวิชานี้เราไม่รอดแน่เลย เป็นเทอมที่เริ่มเครียดมากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง พอขึ้นปีสองมา วิชาก็ยิ่งยากไปอีก ยากทั้งวิชาทั้งอาจารย์ผู้สอน โหดเหลือเกิน รวมเทอมของปีสองแล้วปรากฏว่าสอบตกยับเลยค่ะ ทั้ง D ทั้ง F คราวนี้ลงเรียนซัมเมอร์แก้วิชาที่ได้ F ผลออกมาคือสอบได้ D 50 คะแนนเป๊ะ ถึงจะไม่ F แต่ก็ไม่ถึง C อยู่ดีใช่ไหมล่ะคะ วันเกรดออกนี่ร้องไห้เลย ทำไมไม่ผ่าน คือเราก็คิดว่าเราทำได้ระดับหนึ่งเลยนะ แต่วันนี้มาคิดอีกที ระดับหนึ่งของเรามันได้แค่นั้นไง เรายังพยายามไม่พอ ก็พยายามปลอบใจตัวเอง ไม่เป็นไร เอาใหม่
และแล้วก็มาถึงปีสาม ยากกกกกกกกและยากกกกกกกมากก เพราะตอนนี้ต้องเรียนตามแผนไม่พอ ยังต้องเรียนวิชาที่สอบตกเพิ่มอีก กลายเป็นว่าทั้งเทอมหนึ่งและเทอมสองนี่เรียนเทอมละสิบวิชาไปเลยค่ะ เลือดตาแทบกระเด็น ผลการเรียนเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง 'บ้าง' นะคะ ชีวิตตอนนั้นก็จะวนลูปอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกวันค่ะ จนมาถึงวันหนึ่งเป็นช่วงหลังสอบกลางภาคเทอมสอง เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เราเครียดขึ้นมาก มากในระดับที่ว่าเริ่มพาลไปเครียดเรื่องอื่นด้วยละ ด้วยความที่เราเป็นชอบคิดมาก จริงจังมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้จิตใจเจ็บปวดก็เก็บมาฝังไว้ในใจ ไม่เคยลืมเลย กระทั่งวันหนึ่งเราเริ่มทนไม่ไหว เราโทรไปหาพี่ชาย ถามเขาย้อนไปถึงอดีตสมัยเด็กๆ ถามว่าเราเป็นคนยังไง ร้องไห้พูดไม่ออก อารมณ์เหมือนมันอึดอัดข้างในใจ เศร้า หมดอาลัยตายอยาก ว่างเปล่า พี่ชายก็ให้คำปรึกษามา เราก็รับฟัง แล้วก็คิดว่าเราแค่เครียดเท่านั้นแหละไม่มีอะไรหรอก แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ หลังจากนั้นอารมณ์เราดิ่งมาก เหมือนเส้นกราฟที่สูงๆและดิ่งตกลงมาแบบไม่สิ้นสุด ไม่อยากกินข้าว เบื่ออาหาร สิ้นหวัง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร นั่งอยู่ดีก็ร้องไห้ ไม่ใช่แค่น้ำตาไหลเฉยๆนะ ร้องแบบจะเป็นจะตายสะอึกสะอื้น เหมือนข้างในมันเศร้าขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เศ้รามาก เป็นอย่างนี้มาเรื่อยตั้งแต่ปลายธันวาคม 61 จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ่อแม่เราก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติละ ทำไมเราเอาแต่แต่เก็บตัวอยุ่ที่หอพัก ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ค่อยคุย คือถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ซีเรียสและจริงจังกับทุกเรื่อง แต่เราก็พอมีด้านบวกอยุ่ตรงที่เป็นคนสดใสร่าเริง มีอารมณ์ขัน พอพวกท่านสังเกตเห็นว่าช่วงนี้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ถามว่าเราเป็นอะไร กลับบ้านไหม กลับมาพักที่บ้านก่อน ตอนนั้นคือไม่ไหวแล้ว อะไรก็ได้ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งคิดมาก พอคิดมากก็เป็นทุกข์ ก็เลยยอมกลับบ้าน สภาพตอนนั้นคือเหมือนศพเดินได้ ไม่พูดไม่จา จมปลักอยู่แต่กับความคิดตัวเอง จนแม่ถามว่าลองไปหาหมอดูไหม เราก็ลังเลอยู่วันสองวัน จนสุดท้ายตัดสินใจได้ เอาวะ ไปหาหมอดีกว่า ไม่งั้นได้ทุกข์ตายแน่
>>พบจิตแพทย์ครั้งแรก
เราเป็นคนเสริชหาคลินิกเอง ด้วยเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล แล้วบังเอิญมาเจอคลินิกสุขภาพจิตแห่งหนึ่งในเมืองเข้า เราก็อ่านรีวิวของคนไข้หลายอื่นๆมา เออก็โอเคดีนะ คือก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกตอนนั้น คิดแค่ว่าขอแค่เป็นคลินิกที่มีหมอมาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดก็พอ
พอมาถึงเราก็ไปลงทะเบียนแล้วก็นั่งรอเรียกตามคิว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ มีคนไข้คิวก่อนหน้าเราอยู่ประมาณสองสามคน แล้วคือแต่ละเคสนี่ใช้เวลานานมากกกก รอนานมากกกก เราก็เข้าใจนะว่าการมาพบจิตแพทย์นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพูดคุย ถึงจะรอนานเราก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ตอนนั้นแอบสงสารคุณหมอด้วยซ้ำ เพราะเราดูเวลามันเลยเวลาปิดคลินิกแล้วไง แต่คนไข้ยังเหลืออยู่ตั้งสองคิว ระหว่างนั่งรอเราก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่ความคิดของตัวเอง ทั้งไม่สบายใจและก็ประหม่าด้วย ไม่รู้ว่าจะเล่าให้หมอฟังยังไงดี นั่งไปนั่งมาจนถึงสามทุ่ม ในที่สุดก็ถึงคิวเราค่ะ
ตอนแรกแม่อยากจะเข้าไปด้วย หมอก็ถามเราว่าอยากให้แม่เข้ามาด้วยไหม เราก็บอกว่าไม่ เพราะถ้าแม่อยู่ด้วยเราคงอึดอัดและพูดไม่ออก สุดท้ายเราก็เข้าไปพบหมอคนเดียว คุณหมอดูท่าทางใจดีมาก สุภาพสุดๆ หมอถามเราว่ามาวันนี้มีอะไรอยากให้ช่วยหรือครับ แค่นั้นแหละค่ะ จากที่คิดว่าจะประหม่าและเล่าไม่ออก สุดท้ายกลับพรั่งพรูออกมาจนหมด เราร้องไห้ไม่หยุด หมอก็ถามเราย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เราเจ็บปวด เราก็เล่าให้หมอฟังหมดทุกอย่าง มีประโยคหนึ่งที่หมอพูด ทุกวันนี้เรายังจำได้อยู่เลย หมอบอกว่าฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดจากเรามากๆ และหมอก็ขอบคุณที่เราเล่าเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แต่เล่าให้หมอฟัง คือตอนนั้นเราอึ้งไปเลยอะ คือหมอรู้ได้ไงว่าเราไม่เคยเล่าให้ใครฟัง คือมันเป็นปัญหาส่วนตัวใช่ไหม คนไข้อาจจะเคยเล่าหรือปรึกษากับครอบครัว กับเพื่อนสนิทอะไรอย่างนี้มาบ้าง แต่นี่หมอกลับรู้ว่าเราไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ในใจเราก็แบบ นี่เหรอคนที่เป็นจิตแพทย์ เขารู้ละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ คุยกันไปเรื่อยๆ หมอจะถามทีละประเด็น พอเราตอบ หมอก็จะทวนความ แล้วก็แสดงความคิดเห็นในมุมมองของเรา มีหลายอย่างมากเลยที่หมอพูดได้ตรงกับใจเรามาก เหมือนอ่านความคิดเราออกว่าตอนนี้เราคิดยังไง เรารู้สึกยังไงกับเรื่องนั้น มันทำให้เราสมัผัสได้ว่าหมอใส่ใจและตั้งใจรับฟังคนไข้มากๆเลยอะ
เล่าให้หมอฟังจนหมด ก็มาถึงคราววินิจฉัยอาการ หมอบอกว่าเราอยู่ในภาวะซึมเศร้า คือก่อนหน้านี้เราก็พอจะเดาตัวเองออกบ้างแล้วแหละ แค่ไม่แน่ใจ แต่พอได้ยินกับปากหมอ ก็อึ้งไปเหมือนกัน หมอถามว่าจะให้หมอบอกวิธีแก้หรือวิเคราะห์ให้ฟังเลย หรือจะให้แม่เข้ามาฟังด้วย เราก็บอกว่าให้แม่เข้ามาฟังด้วย พอแม่เข้ามา หมอก็เริ่มวิเคราะห์แบบละเอียดเลย อันนี้ยิ่งทำให้เราอึ้งหนักกว่าเดิม หมอบอกว่าเรื่องราวที่เราเผชิญในอดีตมา กับความเครียดที่กำลังเป็นอยู่บวกกับอาการที่เป็นมาสองเดือนกว่าเนี่ย มันเป็นอาการที่คนหลายคนต้องฆ่าตัวตายไปแล้ว เพราะเรื่องราวมันเจ็บปวดมาก แล้วหมอก็ชมเราว่าเป็นเพราะเรามีจิตใจที่เข้มแข็ง มีครอบครัวที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง (ที่เล่าให้หมอฟังไป) เราถึงสามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ คือเรื่องที่เราเล่าให้หมอฟังน่ะค่ะ มันจะเกี่ยวกับครอบครัวเป็นหลัก แบบประมาณว่าเราตั้งใจเรียนเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ พอเกรดเราตก คะแนนเราแย่ เราก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ยังดึงเราให้มีชีวิตได้อยู่ในตอนนี้ก็คือครอบครัว หมอบอกถ้าหากว่าครอบครัวทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง หรือรู้สึกว่าสูญเสียครอบครัวไป แบบไม่มีใครคอยอยุ่เคียงข้างแล้ว ถึงตอนนั้นคือชีวิตเราก็เสี่ยงที่จะมีโอกาสฆ่าตัวตายสูง
รายละเอียดเราคงเล่าให้ฟังหมดไม่ได้นะคะ แต่พอจะบอกได้เพียงให้เข้าใจว่าเราเผชิญกับกับปัญหาอะไรมา พูดคุยกับคุณหมอเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องราวมันก็จะประมาณนี้แหละค่ะ นอกจากนั้นคุณหมอก็จะช่วยปรับความเข้าใจระหว่างเรากับแม่ ประมาณว่าต่อให้เราเครียดเรื่องเรียนเรื่องอนาคตไปมากแค่ไหน แต่ถ้าแม่อยู่ไม่ถึงวันนั้น แล้วสิ่งที่เราบอกว่าทำเพื่อแม่ มันจะยังมีประโยชน์อะไร ไม่สู้เราใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้อยู่กับครอบครัว ดูแลปรณนิบัติพ่อแม่ให้พวกท่านมีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ คือเป็นเหมือนกระบวนการบำบัดจิตใจอะไรประมาณนี้ค่ะ
มาถึงเรื่องยากันบ้าง หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder และเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งการักษาเนี่ย ปกติตามสูตรก็จะใช้เวลาประมาณสองปี แต่ในเคสของเราคุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณหนึ่งปีก็น่าจะหายขาดได้แล้ว (แบบว่าดูจากความสัมพันธ์ในครอบครัว กำลังใจต่างๆ) และด้วยที่เราไม่ได้เป็นชนิดรุนแรง หนึ่งปีก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่แม่เราไม่อยากให้เรากินยารักษาค่ะ แม่เป็นห่วงว่ายาจะทำให้เราเปลี่ยนไป คือผู้ใหญ่น่ะเนาะ แม่เขามีทัศนคติแบบว่าถ้าลูกกินยาอะไรแบบนี้แล้ว ลูกจะเป็นบ้าเป็นบอไป ทั้งหมอทั้งเราก็พยายามพูดให้แม่เข้าใจ จนแม่ก็เหมือนจะโอนอ่อนตาม แม่ก็บอกแล้วแต่เรา หมอบอกว่าจะกลับไปคิดก่อนก็ได้ แต่คือมาถึงขนาดนี้แล้วไง อาการมันหนักขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่กินยาเราก็กลัวว่าเราจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก กลัวว่าอาการจะทรุดลง ครุ่นคิดอยู่สักพัก เราก็ตัดสินใจบอกหมอไปว่าเราจะเข้าแผนรักษาตามที่คุณหมอเสนอมา คือกินยารักษาหนึ่งปี หมอก็จัดยาให้มาสามตัว บอกวิธีกินแล้วก็ให้คำแนะนำอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ลากลับ ออกมาจากห้องถึงได้รู้ว่ามันห้าทุ่มกว่าแล้ว ตกใจมาก เฮ้ยคือใช้เวลาไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ ฮ่าๆๆๆ
เล่าถึงคุณหมอบ้าง คือเราดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาพบคุณหมอที่ดีขนาดนี้ หมอเป็นคนที่ใส่ใจคนไข้มากกกกกกกกกกก ตั้งใจฟังมากกกกกกกกกก สุภาพมากกกกกกกกกกกก วิเคราะห์ได้ตรงสุดๆ อย่างกับมานั่งอยู่กลางใจ ยิ่งเวลาที่หมอทวนความที่เราเล่าไปได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง มันยิ่งทำให้เราประทับใจ หมอจะไม่ตัดสินเรา แต่จะเป็นเหมือยเพื่อนที่ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ รู้จักเข้าหาคนไข้ คือดีอะ ไม่รู้จะบอกยังไง ตอนเดินออกจากห้องมานี่คือโล่งมาก สบายใจขึ้นมาก เหมือนได้พบคนที่สามารถฉุดเราขึ้นจากหลุมขึ้นมาได้ แม้แต่แม่ยังชมไม่หยุดเลยว่าคุณหมอดีอย่างนู้นอย่างนี้ โม้ให้พ่อฟังไม่หยุด (พ่อนั่งรออยู่ข้างนอกค่ะ ไม่ได้เข้าไปฟังด้วย)
ครั้งต่อไปจะมาเล่าถึงยาที่กิน ผลข้างเคียงของยา และเรื่องราวที่ทั้งดีและร้ายระหว่างการักษาค่ะ
**ครั้งนี้อักษรจะเต็มแล้ว กลัวเล่าไม่ต่อเนื่อง เลยต้องผลัดไว้เล่าต่อที่คอมเมนต์ค่ะ
แชร์ประสบการณ์การรักษาโรคซึมเศร้า
อะ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
>>ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา
ตอนนี้เราเรียนมหาวิทยลัย ปัจจุบันอยู่ปีสี่แล้วค่ะ แต่เริ่มรักษาตอนอยู่ปีสาม ลักษณะนิสัย ความคิดของเราก็จะเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ทำอะไรต้องวางแผนก่อนเสมอ โดยเฉพาะเรื่องเรียนกับเรื่องอนาคตนี่จริงจังสุดๆไปเลยค่ะ พอจริงจังมากๆเข้ามันก็ก่อให้เกิดความเครียด สะสมไว้เรื่อยๆจนสุดท้ายมันก็เกิดผลกระทบกับร่างกาย กับสมองของเรา ชีวิตเราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่มันเพิ่งจะมาสำแดงฤทธิ์เดชก็ตอนเราเรียนปีสาม เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเข้าเรียนมหาวัทยาลัยปีแรกๆ ผลการเรียนนี่อยู่ในระดับที่ดีถึงดีมากๆเลยค่ะ ชนิดที่ว่าได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ตั้งแต่เทอมแรก และเพราะเกรดเทอมแรกที่มันสูงมากนี่แหละค่ะที่ทำให้เรายิ่งเครียดกว่าเดิม แบบเฮ้ย เราต้องรักษาระดับผลการเรียนไว้ให้ดีเหมือนเดิมนะ คะแนนจะตกไม่ได้นะ อ่ะ เริ่มตั้งเป้าหมาย เริ่มกดดันตัวเองละทีนี้ ยิ่งพอเรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ วิชามันก็ยากขึ้น เครียดมากขึ้น พอเกรดเทอมใหม่ออกมา นอกจากจะไม่สวยหรูแบบเดิมแล้ว ยังมีสอบตกหนึ่งตัวอีก คือในคณะที่เราเรียนเนี่ย เกณฑ์ผ่านคือต้อง C 60 คะแนนขึ้นไป แล้วมันดันมีวิชาหนึ่งที่เราได้ D ตอนนั้นเฟลมากๆถึงมากที่สุด คือก็พอรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่สอบเสร็จแล้วล่ะว่าวิชานี้เราไม่รอดแน่เลย เป็นเทอมที่เริ่มเครียดมากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง พอขึ้นปีสองมา วิชาก็ยิ่งยากไปอีก ยากทั้งวิชาทั้งอาจารย์ผู้สอน โหดเหลือเกิน รวมเทอมของปีสองแล้วปรากฏว่าสอบตกยับเลยค่ะ ทั้ง D ทั้ง F คราวนี้ลงเรียนซัมเมอร์แก้วิชาที่ได้ F ผลออกมาคือสอบได้ D 50 คะแนนเป๊ะ ถึงจะไม่ F แต่ก็ไม่ถึง C อยู่ดีใช่ไหมล่ะคะ วันเกรดออกนี่ร้องไห้เลย ทำไมไม่ผ่าน คือเราก็คิดว่าเราทำได้ระดับหนึ่งเลยนะ แต่วันนี้มาคิดอีกที ระดับหนึ่งของเรามันได้แค่นั้นไง เรายังพยายามไม่พอ ก็พยายามปลอบใจตัวเอง ไม่เป็นไร เอาใหม่
และแล้วก็มาถึงปีสาม ยากกกกกกกกและยากกกกกกกมากก เพราะตอนนี้ต้องเรียนตามแผนไม่พอ ยังต้องเรียนวิชาที่สอบตกเพิ่มอีก กลายเป็นว่าทั้งเทอมหนึ่งและเทอมสองนี่เรียนเทอมละสิบวิชาไปเลยค่ะ เลือดตาแทบกระเด็น ผลการเรียนเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง 'บ้าง' นะคะ ชีวิตตอนนั้นก็จะวนลูปอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกวันค่ะ จนมาถึงวันหนึ่งเป็นช่วงหลังสอบกลางภาคเทอมสอง เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เราเครียดขึ้นมาก มากในระดับที่ว่าเริ่มพาลไปเครียดเรื่องอื่นด้วยละ ด้วยความที่เราเป็นชอบคิดมาก จริงจังมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้จิตใจเจ็บปวดก็เก็บมาฝังไว้ในใจ ไม่เคยลืมเลย กระทั่งวันหนึ่งเราเริ่มทนไม่ไหว เราโทรไปหาพี่ชาย ถามเขาย้อนไปถึงอดีตสมัยเด็กๆ ถามว่าเราเป็นคนยังไง ร้องไห้พูดไม่ออก อารมณ์เหมือนมันอึดอัดข้างในใจ เศร้า หมดอาลัยตายอยาก ว่างเปล่า พี่ชายก็ให้คำปรึกษามา เราก็รับฟัง แล้วก็คิดว่าเราแค่เครียดเท่านั้นแหละไม่มีอะไรหรอก แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ หลังจากนั้นอารมณ์เราดิ่งมาก เหมือนเส้นกราฟที่สูงๆและดิ่งตกลงมาแบบไม่สิ้นสุด ไม่อยากกินข้าว เบื่ออาหาร สิ้นหวัง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร นั่งอยู่ดีก็ร้องไห้ ไม่ใช่แค่น้ำตาไหลเฉยๆนะ ร้องแบบจะเป็นจะตายสะอึกสะอื้น เหมือนข้างในมันเศร้าขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เศ้รามาก เป็นอย่างนี้มาเรื่อยตั้งแต่ปลายธันวาคม 61 จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ่อแม่เราก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติละ ทำไมเราเอาแต่แต่เก็บตัวอยุ่ที่หอพัก ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่ค่อยคุย คือถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ซีเรียสและจริงจังกับทุกเรื่อง แต่เราก็พอมีด้านบวกอยุ่ตรงที่เป็นคนสดใสร่าเริง มีอารมณ์ขัน พอพวกท่านสังเกตเห็นว่าช่วงนี้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ถามว่าเราเป็นอะไร กลับบ้านไหม กลับมาพักที่บ้านก่อน ตอนนั้นคือไม่ไหวแล้ว อะไรก็ได้ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งคิดมาก พอคิดมากก็เป็นทุกข์ ก็เลยยอมกลับบ้าน สภาพตอนนั้นคือเหมือนศพเดินได้ ไม่พูดไม่จา จมปลักอยู่แต่กับความคิดตัวเอง จนแม่ถามว่าลองไปหาหมอดูไหม เราก็ลังเลอยู่วันสองวัน จนสุดท้ายตัดสินใจได้ เอาวะ ไปหาหมอดีกว่า ไม่งั้นได้ทุกข์ตายแน่
>>พบจิตแพทย์ครั้งแรก
เราเป็นคนเสริชหาคลินิกเอง ด้วยเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล แล้วบังเอิญมาเจอคลินิกสุขภาพจิตแห่งหนึ่งในเมืองเข้า เราก็อ่านรีวิวของคนไข้หลายอื่นๆมา เออก็โอเคดีนะ คือก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกตอนนั้น คิดแค่ว่าขอแค่เป็นคลินิกที่มีหมอมาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดก็พอ
พอมาถึงเราก็ไปลงทะเบียนแล้วก็นั่งรอเรียกตามคิว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ มีคนไข้คิวก่อนหน้าเราอยู่ประมาณสองสามคน แล้วคือแต่ละเคสนี่ใช้เวลานานมากกกก รอนานมากกกก เราก็เข้าใจนะว่าการมาพบจิตแพทย์นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพูดคุย ถึงจะรอนานเราก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ตอนนั้นแอบสงสารคุณหมอด้วยซ้ำ เพราะเราดูเวลามันเลยเวลาปิดคลินิกแล้วไง แต่คนไข้ยังเหลืออยู่ตั้งสองคิว ระหว่างนั่งรอเราก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่ความคิดของตัวเอง ทั้งไม่สบายใจและก็ประหม่าด้วย ไม่รู้ว่าจะเล่าให้หมอฟังยังไงดี นั่งไปนั่งมาจนถึงสามทุ่ม ในที่สุดก็ถึงคิวเราค่ะ
ตอนแรกแม่อยากจะเข้าไปด้วย หมอก็ถามเราว่าอยากให้แม่เข้ามาด้วยไหม เราก็บอกว่าไม่ เพราะถ้าแม่อยู่ด้วยเราคงอึดอัดและพูดไม่ออก สุดท้ายเราก็เข้าไปพบหมอคนเดียว คุณหมอดูท่าทางใจดีมาก สุภาพสุดๆ หมอถามเราว่ามาวันนี้มีอะไรอยากให้ช่วยหรือครับ แค่นั้นแหละค่ะ จากที่คิดว่าจะประหม่าและเล่าไม่ออก สุดท้ายกลับพรั่งพรูออกมาจนหมด เราร้องไห้ไม่หยุด หมอก็ถามเราย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เราเจ็บปวด เราก็เล่าให้หมอฟังหมดทุกอย่าง มีประโยคหนึ่งที่หมอพูด ทุกวันนี้เรายังจำได้อยู่เลย หมอบอกว่าฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดจากเรามากๆ และหมอก็ขอบคุณที่เราเล่าเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แต่เล่าให้หมอฟัง คือตอนนั้นเราอึ้งไปเลยอะ คือหมอรู้ได้ไงว่าเราไม่เคยเล่าให้ใครฟัง คือมันเป็นปัญหาส่วนตัวใช่ไหม คนไข้อาจจะเคยเล่าหรือปรึกษากับครอบครัว กับเพื่อนสนิทอะไรอย่างนี้มาบ้าง แต่นี่หมอกลับรู้ว่าเราไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ในใจเราก็แบบ นี่เหรอคนที่เป็นจิตแพทย์ เขารู้ละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ คุยกันไปเรื่อยๆ หมอจะถามทีละประเด็น พอเราตอบ หมอก็จะทวนความ แล้วก็แสดงความคิดเห็นในมุมมองของเรา มีหลายอย่างมากเลยที่หมอพูดได้ตรงกับใจเรามาก เหมือนอ่านความคิดเราออกว่าตอนนี้เราคิดยังไง เรารู้สึกยังไงกับเรื่องนั้น มันทำให้เราสมัผัสได้ว่าหมอใส่ใจและตั้งใจรับฟังคนไข้มากๆเลยอะ
เล่าให้หมอฟังจนหมด ก็มาถึงคราววินิจฉัยอาการ หมอบอกว่าเราอยู่ในภาวะซึมเศร้า คือก่อนหน้านี้เราก็พอจะเดาตัวเองออกบ้างแล้วแหละ แค่ไม่แน่ใจ แต่พอได้ยินกับปากหมอ ก็อึ้งไปเหมือนกัน หมอถามว่าจะให้หมอบอกวิธีแก้หรือวิเคราะห์ให้ฟังเลย หรือจะให้แม่เข้ามาฟังด้วย เราก็บอกว่าให้แม่เข้ามาฟังด้วย พอแม่เข้ามา หมอก็เริ่มวิเคราะห์แบบละเอียดเลย อันนี้ยิ่งทำให้เราอึ้งหนักกว่าเดิม หมอบอกว่าเรื่องราวที่เราเผชิญในอดีตมา กับความเครียดที่กำลังเป็นอยู่บวกกับอาการที่เป็นมาสองเดือนกว่าเนี่ย มันเป็นอาการที่คนหลายคนต้องฆ่าตัวตายไปแล้ว เพราะเรื่องราวมันเจ็บปวดมาก แล้วหมอก็ชมเราว่าเป็นเพราะเรามีจิตใจที่เข้มแข็ง มีครอบครัวที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง (ที่เล่าให้หมอฟังไป) เราถึงสามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ คือเรื่องที่เราเล่าให้หมอฟังน่ะค่ะ มันจะเกี่ยวกับครอบครัวเป็นหลัก แบบประมาณว่าเราตั้งใจเรียนเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ พอเกรดเราตก คะแนนเราแย่ เราก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ยังดึงเราให้มีชีวิตได้อยู่ในตอนนี้ก็คือครอบครัว หมอบอกถ้าหากว่าครอบครัวทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง หรือรู้สึกว่าสูญเสียครอบครัวไป แบบไม่มีใครคอยอยุ่เคียงข้างแล้ว ถึงตอนนั้นคือชีวิตเราก็เสี่ยงที่จะมีโอกาสฆ่าตัวตายสูง
รายละเอียดเราคงเล่าให้ฟังหมดไม่ได้นะคะ แต่พอจะบอกได้เพียงให้เข้าใจว่าเราเผชิญกับกับปัญหาอะไรมา พูดคุยกับคุณหมอเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องราวมันก็จะประมาณนี้แหละค่ะ นอกจากนั้นคุณหมอก็จะช่วยปรับความเข้าใจระหว่างเรากับแม่ ประมาณว่าต่อให้เราเครียดเรื่องเรียนเรื่องอนาคตไปมากแค่ไหน แต่ถ้าแม่อยู่ไม่ถึงวันนั้น แล้วสิ่งที่เราบอกว่าทำเพื่อแม่ มันจะยังมีประโยชน์อะไร ไม่สู้เราใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้อยู่กับครอบครัว ดูแลปรณนิบัติพ่อแม่ให้พวกท่านมีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ คือเป็นเหมือนกระบวนการบำบัดจิตใจอะไรประมาณนี้ค่ะ
มาถึงเรื่องยากันบ้าง หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder และเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งการักษาเนี่ย ปกติตามสูตรก็จะใช้เวลาประมาณสองปี แต่ในเคสของเราคุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณหนึ่งปีก็น่าจะหายขาดได้แล้ว (แบบว่าดูจากความสัมพันธ์ในครอบครัว กำลังใจต่างๆ) และด้วยที่เราไม่ได้เป็นชนิดรุนแรง หนึ่งปีก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่แม่เราไม่อยากให้เรากินยารักษาค่ะ แม่เป็นห่วงว่ายาจะทำให้เราเปลี่ยนไป คือผู้ใหญ่น่ะเนาะ แม่เขามีทัศนคติแบบว่าถ้าลูกกินยาอะไรแบบนี้แล้ว ลูกจะเป็นบ้าเป็นบอไป ทั้งหมอทั้งเราก็พยายามพูดให้แม่เข้าใจ จนแม่ก็เหมือนจะโอนอ่อนตาม แม่ก็บอกแล้วแต่เรา หมอบอกว่าจะกลับไปคิดก่อนก็ได้ แต่คือมาถึงขนาดนี้แล้วไง อาการมันหนักขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่กินยาเราก็กลัวว่าเราจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก กลัวว่าอาการจะทรุดลง ครุ่นคิดอยู่สักพัก เราก็ตัดสินใจบอกหมอไปว่าเราจะเข้าแผนรักษาตามที่คุณหมอเสนอมา คือกินยารักษาหนึ่งปี หมอก็จัดยาให้มาสามตัว บอกวิธีกินแล้วก็ให้คำแนะนำอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ลากลับ ออกมาจากห้องถึงได้รู้ว่ามันห้าทุ่มกว่าแล้ว ตกใจมาก เฮ้ยคือใช้เวลาไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ ฮ่าๆๆๆ
เล่าถึงคุณหมอบ้าง คือเราดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาพบคุณหมอที่ดีขนาดนี้ หมอเป็นคนที่ใส่ใจคนไข้มากกกกกกกกกกก ตั้งใจฟังมากกกกกกกกกก สุภาพมากกกกกกกกกกกก วิเคราะห์ได้ตรงสุดๆ อย่างกับมานั่งอยู่กลางใจ ยิ่งเวลาที่หมอทวนความที่เราเล่าไปได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง มันยิ่งทำให้เราประทับใจ หมอจะไม่ตัดสินเรา แต่จะเป็นเหมือยเพื่อนที่ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ รู้จักเข้าหาคนไข้ คือดีอะ ไม่รู้จะบอกยังไง ตอนเดินออกจากห้องมานี่คือโล่งมาก สบายใจขึ้นมาก เหมือนได้พบคนที่สามารถฉุดเราขึ้นจากหลุมขึ้นมาได้ แม้แต่แม่ยังชมไม่หยุดเลยว่าคุณหมอดีอย่างนู้นอย่างนี้ โม้ให้พ่อฟังไม่หยุด (พ่อนั่งรออยู่ข้างนอกค่ะ ไม่ได้เข้าไปฟังด้วย)
ครั้งต่อไปจะมาเล่าถึงยาที่กิน ผลข้างเคียงของยา และเรื่องราวที่ทั้งดีและร้ายระหว่างการักษาค่ะ
**ครั้งนี้อักษรจะเต็มแล้ว กลัวเล่าไม่ต่อเนื่อง เลยต้องผลัดไว้เล่าต่อที่คอมเมนต์ค่ะ