วิชชา (the Threefold Knowledge) แปลว่า ความรู้แจ้งในธรรม
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (reminiscence of past lives) แปลว่า ระลึกชาติได้ หมายถึง รู้จักเหตุและผล รู้จักอดีต กรรมตัวไหนเกิดด้วยเหตุอะไร ทำให้เป็นผลเช่นนี้ (รู้อดีต) ระลึกชาติได้ว่าอดีตเราเคยทำอะไรมาจึงเป็นผลเช่นปัจจุบันนี้
๒. จุตูปปาตญาณ (knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) แปลว่า ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย หมายถึง เวลานี้เราต้องการจะเกิดเป็นอะไร เวลานี้เราต้องการเปลี่ยนแปลงไหม ณ ตอนนี้เรารู้เหตุและผลในสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราไม่เอา เช่น เราจะเกิดเป็นสุนัข แต่เราไม่ต้องการเกิดเป็นสุนัข แล้วเราจะต้องสร้างเหตุอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดเป็นสุนัข ฯลฯ รู้ ณ ปัจจุบันนี้ว่าเราจะต้องทำอะไร (รู้ปัจจุบัน)
๓. อาสวักขยญาณ (knowledge of the destruction of mental intoxication) แปลว่า ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะกิเลส หมายถึง ตั้งปณิธานว่าเราจะเอาสิ่งที่ไม่ดีอะไรออกไป และจะทำสิ่งที่ดีอะไรต่อไป
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราเป็นนางไม้ (นางไม้ในที่นี้เปรียบเสมือน ผู้ที่ชอบใช้ราคะไปในทางมิจฉา ยั่วยวน ทำร้ายเพศตรงข้าม) เราไปสร้างเหตุอะไรจึงทำให้เราเป็นนางไม้ (มีกรรมราคะมาก) บางครั้งรู้แค่ว่าเราเป็นนางไม้ แต่ไม่รู้ว่าได้สร้างเหตุอะไรที่ทำให้เป็นนางไม้ พอเรารู้ว่าอดีตชาติเราเป็นนางไม้ แล้วชาตินี้เราอยากเป็นนางไม้ต่อไหม?
ถ้าเราไม่อยากเป็นอีกต่อไป เราจะต้องแก้ด้วยอะไร ถ้าเราอยากแก้ด้วยวิธีอะไร ก็จะมาต่อด้วยข้อที่ ๓ คือ เราจะต้องตั้งปณิธานทำอะไรให้ได้ต่อไป เขาก็จะเปลี่ยนแปลงจากนางไม้เป็นเทพธิดา
๑. รู้ว่าเหตุอะไรทำให้เราเกิดมาเป็นนางไม้
๒. เราไม่อยากเกิดมาเป็นนางไม้ แต่อยากเกิดมาเป็นเทพธิดา เราต้องไปหาเหตุก่อนว่าจะต้องสร้างเหตุเช่นใดถึงจะเกิดเป็นเทพธิดา คือ การสร้างเหตุแห่งการจุติได้ พอเราตั้งใจจะทำตรงนี้ให้ได้ก็จะไปยังข้อที่ ๓
๓. ตั้งปณิธานที่จะต้องมุ่งมั่นทำให้ได้ ถ้าไม่ทำก็ได้แต่สักแต่รู้
พอเราทำทั้ง ๓ อย่างนี้ได้ ก็จะเป็นการกำหนดอนาคตของเราได้ อดีตเราก็รู้แล้ว ปัจจุบันเราก็รู้แล้ว พอเราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ย่อมดีแน่นอน
สำเร็จลุล่วงแห่งการรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน
"รู้เหตุแห่งความเป็นมา รู้เหตุแห่งความเป็นอยู่ และรู้เหตุแห่งความที่จะเป็นไป"
"วิชชา ๓" ถือว่าเป็นแม่ของ "อริยสัจ ๔" และ อริยสัจจ์ คือตัวลูก
พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้วิชชา ๓ แล้ว จึงไปคลอดลูก คือ อริยสัจ ๔
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
"วิชชา 3" ของพระพุทธเจ้า เป็นเช่นนี้
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (reminiscence of past lives) แปลว่า ระลึกชาติได้ หมายถึง รู้จักเหตุและผล รู้จักอดีต กรรมตัวไหนเกิดด้วยเหตุอะไร ทำให้เป็นผลเช่นนี้ (รู้อดีต) ระลึกชาติได้ว่าอดีตเราเคยทำอะไรมาจึงเป็นผลเช่นปัจจุบันนี้
๒. จุตูปปาตญาณ (knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) แปลว่า ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย หมายถึง เวลานี้เราต้องการจะเกิดเป็นอะไร เวลานี้เราต้องการเปลี่ยนแปลงไหม ณ ตอนนี้เรารู้เหตุและผลในสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราไม่เอา เช่น เราจะเกิดเป็นสุนัข แต่เราไม่ต้องการเกิดเป็นสุนัข แล้วเราจะต้องสร้างเหตุอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดเป็นสุนัข ฯลฯ รู้ ณ ปัจจุบันนี้ว่าเราจะต้องทำอะไร (รู้ปัจจุบัน)
๓. อาสวักขยญาณ (knowledge of the destruction of mental intoxication) แปลว่า ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะกิเลส หมายถึง ตั้งปณิธานว่าเราจะเอาสิ่งที่ไม่ดีอะไรออกไป และจะทำสิ่งที่ดีอะไรต่อไป
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราเป็นนางไม้ (นางไม้ในที่นี้เปรียบเสมือน ผู้ที่ชอบใช้ราคะไปในทางมิจฉา ยั่วยวน ทำร้ายเพศตรงข้าม) เราไปสร้างเหตุอะไรจึงทำให้เราเป็นนางไม้ (มีกรรมราคะมาก) บางครั้งรู้แค่ว่าเราเป็นนางไม้ แต่ไม่รู้ว่าได้สร้างเหตุอะไรที่ทำให้เป็นนางไม้ พอเรารู้ว่าอดีตชาติเราเป็นนางไม้ แล้วชาตินี้เราอยากเป็นนางไม้ต่อไหม?
ถ้าเราไม่อยากเป็นอีกต่อไป เราจะต้องแก้ด้วยอะไร ถ้าเราอยากแก้ด้วยวิธีอะไร ก็จะมาต่อด้วยข้อที่ ๓ คือ เราจะต้องตั้งปณิธานทำอะไรให้ได้ต่อไป เขาก็จะเปลี่ยนแปลงจากนางไม้เป็นเทพธิดา
๑. รู้ว่าเหตุอะไรทำให้เราเกิดมาเป็นนางไม้
๒. เราไม่อยากเกิดมาเป็นนางไม้ แต่อยากเกิดมาเป็นเทพธิดา เราต้องไปหาเหตุก่อนว่าจะต้องสร้างเหตุเช่นใดถึงจะเกิดเป็นเทพธิดา คือ การสร้างเหตุแห่งการจุติได้ พอเราตั้งใจจะทำตรงนี้ให้ได้ก็จะไปยังข้อที่ ๓
๓. ตั้งปณิธานที่จะต้องมุ่งมั่นทำให้ได้ ถ้าไม่ทำก็ได้แต่สักแต่รู้
พอเราทำทั้ง ๓ อย่างนี้ได้ ก็จะเป็นการกำหนดอนาคตของเราได้ อดีตเราก็รู้แล้ว ปัจจุบันเราก็รู้แล้ว พอเราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ย่อมดีแน่นอน
สำเร็จลุล่วงแห่งการรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน
"รู้เหตุแห่งความเป็นมา รู้เหตุแห่งความเป็นอยู่ และรู้เหตุแห่งความที่จะเป็นไป"
"วิชชา ๓" ถือว่าเป็นแม่ของ "อริยสัจ ๔" และ อริยสัจจ์ คือตัวลูก
พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้วิชชา ๓ แล้ว จึงไปคลอดลูก คือ อริยสัจ ๔
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต