เป็นรีวิวที่มาช้าจริง ๆ 55555 แต่ว่าเราเพิ่งดูหนังสั้น Me Before We ไป แล้วอยู่ ๆ Where We Belong ก็หล่นตุ้บเข้ามาในหัว วันนี้ก็เลยอยากจะลองรีวิว WWB และวิแคะ เอ๊ย! วิเคราะห์ตัวละครเบลจาก MBW ดูบ้าง (WWB ไม่สปอยล์เนื้อหานะ คนที่ยังไม่ได้ดูก็อ่านได้)
ใครมีความคิดเห็นยังไงมาคุยกันได้นะคะ
ก่อนอื่นเลยประกาศตัวก่อนว่าเราเป็นแฟนคลับน้องมิวสิคนะคะ จะพยายามให้เป็นกลาง แต่ว่ากระทู้นี้ก็เป็นเพียงมุมมองจากคนคนเดียว ไม่ได้ใช้หลักวิชาการใดในการวิเคราะห์ และเนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับหนัง เราขออนุญาตแท็กผู้กำกับและน้องเจนนิษฐ์ที่เป็นนักแสดงนำอีกคนด้วยนะคะ
ภาพยนตร์
Where We Belong - ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า เนื้อเรื่องย่อก็อย่างที่รู้กัน เป็นหนังแนว coming of age สื่อสารกับคนดูผ่านความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนสนิท และกำลังเข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงจบมัธยมปลาย ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจอะไรประมาณนั้น ซึ่ง
ซู ที่รับบทโดยเจนนิษฐ์ กำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอกโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นเลย ซูอยากไปเพราะอยากหนีจากที่ที่ตัวเองอยู่ และก่อนไปมันจะมีขั้นตอนหนึ่ง นั่นคือการจัดกระเป๋า ซูเตรียมตัวโดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ
เบล รับบทโดยมิวสิค มาช่วยเหลือในการจัดกระเป๋าครั้งนี้
เหตุผลที่เราไปดูก็แน่อยู่แล้ว มิวสิคนั่นเอง
และอย่างตรงไปตรงมา ถ้าตัดความชื่นชอบมิวสิคออกไป เวลาสองชั่วโมงครึ่งกับราคาที่จ่ายไปในโรงหนังไม่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับเราเท่าไร เพราะตอนที่อยู่ในโรงเราไม่ได้อินกับหนังขนาดนั้น ในขณะที่คำวิจารณ์ล้วนไปในทิศทางเดียวกัน แต่สงสัยว่าเราอาจจะเส้นลึกไปหน่อย หรือยังไม่เข้าใจสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ อารมณ์ของหนังก็เลยยังไม่สามารถพาเราดิ่งลงไปได้
จนกระทั่งเดินออกจากโรง ทานข้าว ขับรถกลับบ้าน ผ่านไปหลายวันเราก็ยังหยุดคิดเรื่องหนังไม่ได้เลย มันก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ทำไมเราไม่ move on คือมันไม่ใช่ความหมกมุ่นคิดหนักหรือรู้สึกดาวน์อะไรแบบนั้นนะ แค่คิด...แบบว่าหนังมันวนอยู่ในหัว รบกวนเราให้รู้สึกรำคาญใจเฉย ๆ แต่ว่าคิดไปคิดมาหนังเรื่องนี้มันก็ฝากอะไรกับเราเอาไว้เยอะมาก กลายเป็นหนังที่ไม่จบแค่ในโรง เดินออกจากโรงแล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนเหมือนผีเจ้ากรรมนายเวรไม่มีผิด
แล้วเราก็ตัดสินใจไปดูอีกรอบ...
อืม นั่นแหละ...ปากบอกไม่คุ้ม แต่ยอมจ่ายอีกเพื่อไปดู คือมันคนละส่วนกับความรู้สึกที่อยากจ่ายเพราะมิวสิคแสดงเรื่องนี้เลยนะ รอบนี้อยากดูเพราะหนังล้วน ๆ ส่วนรอบอื่น ๆ ก็ยอมรับว่าซื้อตั๋วเพิ่มเพื่อเอาไปเล่นกิจกรรมโดยที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปดู
มาเข้าเรื่องกันต่อ
รอบสองเราตั้งใจดูมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้อินจนร้องไห้ในฉากไหนเลย ไม่ได้รู้สึกดำดิ่งอีกเช่นกัน คือเราเป็นพวกที่ชอบตั้งคำถามแล้วก็หาคำตอบ ตอนนั้นเริ่มคิดละว่า...มาดูอีกทำไมวะ...ที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร?
ตอบไม่ได้
แต่มันค้างคาใจ...
เอาเป็นว่า เราลองทำความรู้จักกับตัวละครให้มากขึ้น พอรู้จักมากขึ้นก็รู้ว่าเด็กสองคนในเรื่อง เบล ซู หรือแม้แต่คนอื่น ๆ มันก็เป็นแค่คนธรรมดา เด็กธรรมดา อายุ 18 ที่เราก็เคยเป็น อะไรในหนังก็เลยไม่เซอร์ไพรส์เราไง เพราะเราเห็นมาหมดแล้ว เราเคยเป็นเด็กต่างจังหวัดมาก่อน มันชินตาทั้งชีวิตคนที่สักวันก็ต้องโรยราลงตรงนั้น สังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ชุดความคิด หรือวาทกรรมที่สืบทอดส่งต่อกันมา
ขอสรุปว่าถ้าคุณกำลังหาหนังที่
“สนุก” ดู เรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์
ในหนังไม่มีอะไรให้เราตื่นตาตื่นใจ
ไม่มีความรู้สึกของสิ่งใหม่
ไม่มี CG หรือความมหัศจรรย์ใด ๆ (แต่มุมกล้องและภาพสวยนะ)
ไม่มีอะไร
เหนือจริง
ไม่มีเลย...
ที่เราไม่อินเพราะสิ่งที่อยู่ในหนังแท้จริงแล้วมันเป็นตัวเราเอง เหตุการณ์มันอยู่รอบตัวเรา มันถึงเป็นคำตอบว่าทำไมหนังถึงตามเราออกมาได้ หลอกหลอนเราเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยหายไป ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่ไร้ซึ่งความหวัง
เพราะงั้นถ้าคุณกำลังมองหาหนังดี ๆ สักเรื่อง เรื่องนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาด
ห้ามพลาดเลยดีกว่า
สารแห่งความสิ้นหวังถูกส่งผ่านตัวละครซูและเบลอย่างแยบยล
หนังตั้งคำถามกับเราว่าชีวิตที่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของ แท้จริงแล้วมันเป็นของเราจริง ๆ หรือเปล่า หรือที่ที่เราอยู่ตอนนี้มันเป็นของเราจริง ๆ มั้ย ต่อมาหนังก็ให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วถ้าเราไม่ชอบที่นี่ล่ะ เราจะไปที่อื่นได้มั้ย และจะไปที่ไหน...
หนังตอบเรามาก่อนด้วยคำถาม
เฮ้ยคุณ จะทิ้งกันไปไหนล่ะ ที่นี่บ้านเรานะ อะไรไม่ดีก็แก้ไขเปลี่ยนให้มันดีขึ้น คุณจะทิ้งบ้าน “ของคุณ” ไปเหรอ?
ซึ่งเป็นคำถามที่เรามีอิสระในการตอบ
หนังพาตัวละครซูไปถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่า
ความหวัง ซึ่งซูมีความหวังจริง ๆ และพยายามแก้ไขมันด้วยความเชื่อว่าจะเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้จริง ๆ แต่ว่าเรา...เราที่เป็นเจ้าของกระทู้เนี่ย ไม่ได้ไปถึงจุดนั้นด้วย เพราะเราไม่มีความหวังแบบซู อันนี้สารภาพเลยว่าฉากซูกับแม่ เราหลุดหัวเราะออกมาด้วย บอกซูเลยว่าไม่มีทาง ที่หนังเอาฉากนี้มาให้เราดู มันคือโชว์ปาหี่ชัด ๆ
ก็นะ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ขนาดนั้น...
ตอนที่หนังตบหน้าคนดูด้วยการเฉลยว่าความหวังทั้งหมดนั้นมันไม่มีอะไรจริงอย่างที่คิด เราหลบได้นะ แต่ซูโดนเต็ม ๆ โดนหลอกแบบที่ถ้าเป็นใครก็คงเจ็บปวดเอามาก ๆ จนซูตัดสินใจไปในที่ที่เราก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่สงสาร ไม่สงสัย ไม่พีค แต่มาหน้าชานิดหน่อยตอนฉากจบที่หนังตอกย้ำว่าเบลมันยังอยู่ที่เดิม
และเรายังอยู่ที่เดิม
เออ เราอยู่ที่เดิมอย่างคนสิ้นหวัง แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
ตรงนี้คงต้องขอชื่นชมผู้กำกับและคนเขียนบท
คุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี คุณสุดยอดมาก และขอบคุณมากที่ทำให้เราได้กลับมาคิด กลับมาทบทวน ทำให้เรารู้ตัว การดูหนังเรื่องนี้สำหรับเราถือว่าเป็นการเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง และเรียกได้ว่าตราตรึงใจ
เราขอไม่ให้คะแนนเพราะไม่ใช่นักวิจารณ์หนังนะคะ
ในส่วนของนักแสดงก็ทำได้ดีมาก ๆ แต่ก็ขอไม่ให้คะแนนเช่นกัน เพราะ bias แน่นอน เอาเป็นว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยนะ รักนะ ชอบนะ เป็นกำลังใจให้นะ
ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ หรือยังลังเลอยู่ว่าไปดีมั้ย เราขอบอกว่า...ไปเถอะค่ะ
ไปดูความจริงในยุคนี้
ไปดูตัวพวกเราที่สะท้อนอยู่ในหนัง
และมาต่อกันเลยที่ Me Before We ซึ่งเป็นหนังสั้นที่เล่าสตอรี่ของเบล อันนี้มีให้ดูฟรีผ่านทาง YouTube นะคะ ไปชมกันได้ ดังนั้นเราจะมาวิเคราะห์ตัวละครกับประเด็นที่มีให้พูดถึงจากหนังสั้นเรื่องนี้กัน แต่จะไม่สปอยล์ Where We Belong นะคะ
ถ้าใครยังไม่ได้ดู ไปดูก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อเนอะ
หนังเปิดมาด้วยการย้ายเข้ามาในบ้านหลังใหม่ (ที่เก่าแล้ว) ของครอบครัวเบล สมาชิกประกอบไปด้วย ย่าที่แก่มาก ๆ พ่อที่เป็นข้าราชการ แม่เป็นแม่บ้าน และตัวเบลที่ต้องย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ ตรงนี้จะสังเกตได้ว่านอกจากเล่าด้วยภาพเป็นส่วนใหญ่ หนังยังเลือกใช้ตัวหนังสืออธิบายความคิดของเบลที่ไม่ได้พูดออกมา ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าตัวหนังสือคือความรู้สึกที่แท้จริงของเบล เหมือนเบลกำลังเล่าเรื่องของตัวเองให้เราฟัง
เราคิดว่าที่หนังทำแบบนี้เพราะลักษณะนิสัยของตัวเบลเอง
1. เบลไม่ใช่คนที่ช่างพูดหรือเข้าหาใครก่อน ในฉากที่เบลอยู่ในโรงเรียนจะเห็นว่าเบลเหงา อยากมีเพื่อน แต่ก็ไม่เข้าไปคุยกับใคร ทั้ง ๆ ที่คนอื่นก็ดูจะไม่ได้ปิดกั้นเบลมากนัก
2. อาจจะเป็นไปได้ว่าเบลไม่รู้วิธีการเข้าหาใครอย่างถูกต้อง จึงไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ เห็นได้จากฉากที่อยู่ในห้องน้ำ เบลได้ยินเสียงคนร้องเพลงจากห้องข้าง ๆ คิดว่าเพราะดีน้องเบลของเราก็ปีนขึ้นไปดูเฉยเลย แถมยังชมเขาอีกว่าร้องเพราะ แต่เบล...นั่นห้องน้ำไง แทนที่จะได้เพื่อน เขาไม่ฉีดน้ำใส่หัวก็ดีแค่ไหนแล้ว
3. ความจริงแล้วเบลไม่ใช่คนติ๋ม ๆ ที่พูดเพราะตลอดเวลา เรา ๆ คุณ ๆ อะไรแบบนั้น เห็นได้จากในตัวอย่างหนัง Where We Belong หรือจะใน Me Before We คำบรรยายที่เป็นความคิดของเบลเองนั่นแหละ เบลก็แก่นเฟี้ยวเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นคำบรรยายว่า เทพว่ะ แถมยังมีหลุดคำสบถหยาบตอนสายกีตาร์ขาดด้วย
และในตอนนี้นี่เองที่เห็นได้ชัดมากว่าเบลไม่ใช่คนที่จะพูดความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองออกมา สายกีตาร์บาดมือ แต่กลับบอกว่าไม่เจ็บ
4. เบลเป็นพวกที่ทำไม่รู้ไม่ชี้เก่ง ปิดหูปิดตาเก่ง อย่างที่เห็นในฉากฟังเพลงเสียงดัง ๆ แถมยังหวังดีปิดหูให้ย่าด้วยจะได้ไม่ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกัน และเบลก็ให้ย่ามองเห็นแต่รอยยิ้มที่เหมือนมีความสุขของตัวเอง หรือฉากร้านก๋วยเตี๋ยวที่เบลโกหกแม่เพื่อให้แม่ไม่ต้องคิดมาก ตรงนี้จึงบอกได้ชัดเจนเลยว่าเบลเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมาก เบลไม่แสดงความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกมาเพราะห่วงความรู้สึกของคนรอบตัวมากกว่า กลัวว่าเขาจะเสียใจ ไม่สบายใจ เบลจึงเป็นคนที่เก็บความทุกข์ไว้กับตัว
การทำอะไรให้ใครด้วยความรัก ความหวังดี ไม่ใช่เรื่องผิด...แต่ถ้าเขาไม่ต้องการล่ะ?
ประเด็นหูฟังสำหรับเรามันมีความเกินพอดีอยู่ตรงที่ย่าเอาหูฟังออกแล้ว แต่เบลเอาใส่กลับเข้าไปให้ใหม่ ในแง่ของการเล่าเรื่องมันคือสิ่งที่บอกให้รู้ว่าพ่อกับแม่เบลกำลังมีปากเสียงกันอยู่นะ มีปากเสียงกันเรื่องอะไร แต่ว่ามันก็ทำให้คิดต่อไปได้อีกว่าบางครั้งเสียงเพลงดัง ๆ ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ย่าต้องการก็ได้
5. ขอย้อนกลับไปที่ครอบครัวของเบล หนังเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่เบลจะได้เจอกับซูแล้วก็เป็นเพื่อนกัน ครอบครัวของเบลอย่างที่บอกว่ามีย่าที่แก่มากแล้ว เราไม่เห็นความสัมพันธ์ของพ่อกับเบลเพราะหนังไม่ได้บอกอะไรชัดนัก แต่เล่าเรื่องของแม่เบลที่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหม่ (ที่เก่าแล้วนั่นแหละ) แม่เบลก็บ่นถึงความทรุดโทรมของบ้าน และยังมีอีกฉากที่บ่นถึงความเงียบเหงาของบรรยากาสต่างจังหวัด
เหมือนเดิมเลยคือเบลปิดหูปิดตาเก่ง เบลทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดแม่ที่แม่บอกว่าอยากไปอยู่ที่อื่นแล้วชวนเบลไปด้วย เบลไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เลยจะพาแม่ไปเที่ยวถนนคนเดิน (น่าจะหมายถึงตลาดนัด) เบลคิดว่าการทำแบบนี้แม่อาจจะสบายใจขึ้น แม่อาจจะเปลี่ยนใจอยากอยู่ที่นี่ก็ได้
ต่อมาที่จะพูดถึง คือฉากที่แม่เบลกำลังซักผ้าแล้วน้ำไม่ไหล ความเฟลตรงนี้ บวกกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาคงเป็นเหตุให้พ่อกับแม่เบลทะเลาะกัน แน่นอนว่าแม่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คงอดทนมานานแล้วกับความเบื่อหน่ายที่วัน ๆ มีแต่งานบ้านกับการดูแลคนแก่
สุดท้ายแม่เบลก็ไป...
ตรงนี้เราคิดว่าหนังคงอยากสื่อถึงสภาพสังคมปัจจุบันที่ครอบครัวส่วนใหญ่มีปัญหาหย่าร้าง ส่วนหนึ่งของปัญหาอาจจะมาจากความขัดแย้งของความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องเลิกทำงานไปเป็นแม่บ้าน กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบันที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านความเท่าเทียมที่ผู้หญิงในยุคหลังไม่มีความเชื่อเดิมอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายทำงานได้ ผู้หญิงก็ทำงานได้ ทำไมต้องรอให้สามีเลี้ยง ทำไมต้องรับสภาพ
6. ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ความเป็นเบลใน MBW น่าจะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมใน WWB เบลถึงช่วยซูจัดกระเป๋า ทำไมทำให้ซูทุกอย่างทั้งที่บางอย่างก็ไม่จำเป็น นั่นเพราะเบลรักซู อยากให้ซูสบายใจที่สุด เหมือนที่เบลทำให้ย่า แล้วตัวเบลเองก็เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ ใจจริงก็ไม่ได้อยากให้ซูไปแท้ ๆ
รู้จักกันวันแรกก็เป็นความสบายใจให้กัน
ซูให้เบลกอดโดยไม่ได้คิดอะไร
เบลได้กอดอย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องร้องขอ หลังจากวันนั้นซูก็กอดเบลได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ที่หลังมอไซค์ของเบล
ที่ที่เบลคิดว่าตรงนี้แหละ อาจจะเป็นหลุมหลบภัยของเราสองคนเสมอมา
“กูไม่เคยคิดเลยว่า ถ้าวันนึงไม่อยู่ข้างหลังกู...กูจะทำยังไง”
นั่นคือความรู้สึกของเบลที่เราเดาว่าเบลไม่เคยบอกกับซูเลย แต่เอามาเล่าให้พวกเราฟังในวันที่สายไป
ป.ล. วันนี้เหมือนจะมี Teaser ของจักรวาล Where We Belong ที่จะเล่าถึงสมาชิกสตราโตสเฟียออกมาให้ได้ติดตามกันด้วยนะ
รีวิว Where We Belong ฉบับช้าเกินไปไหมเธอ + วิเคราะห์ตัวละครเบลจากหนังสั้น Me Before We
ใครมีความคิดเห็นยังไงมาคุยกันได้นะคะ
ก่อนอื่นเลยประกาศตัวก่อนว่าเราเป็นแฟนคลับน้องมิวสิคนะคะ จะพยายามให้เป็นกลาง แต่ว่ากระทู้นี้ก็เป็นเพียงมุมมองจากคนคนเดียว ไม่ได้ใช้หลักวิชาการใดในการวิเคราะห์ และเนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับหนัง เราขออนุญาตแท็กผู้กำกับและน้องเจนนิษฐ์ที่เป็นนักแสดงนำอีกคนด้วยนะคะ
ภาพยนตร์ Where We Belong - ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า เนื้อเรื่องย่อก็อย่างที่รู้กัน เป็นหนังแนว coming of age สื่อสารกับคนดูผ่านความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนสนิท และกำลังเข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงจบมัธยมปลาย ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจอะไรประมาณนั้น ซึ่ง ซู ที่รับบทโดยเจนนิษฐ์ กำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอกโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นเลย ซูอยากไปเพราะอยากหนีจากที่ที่ตัวเองอยู่ และก่อนไปมันจะมีขั้นตอนหนึ่ง นั่นคือการจัดกระเป๋า ซูเตรียมตัวโดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อ เบล รับบทโดยมิวสิค มาช่วยเหลือในการจัดกระเป๋าครั้งนี้
เหตุผลที่เราไปดูก็แน่อยู่แล้ว มิวสิคนั่นเอง
และอย่างตรงไปตรงมา ถ้าตัดความชื่นชอบมิวสิคออกไป เวลาสองชั่วโมงครึ่งกับราคาที่จ่ายไปในโรงหนังไม่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับเราเท่าไร เพราะตอนที่อยู่ในโรงเราไม่ได้อินกับหนังขนาดนั้น ในขณะที่คำวิจารณ์ล้วนไปในทิศทางเดียวกัน แต่สงสัยว่าเราอาจจะเส้นลึกไปหน่อย หรือยังไม่เข้าใจสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ อารมณ์ของหนังก็เลยยังไม่สามารถพาเราดิ่งลงไปได้
จนกระทั่งเดินออกจากโรง ทานข้าว ขับรถกลับบ้าน ผ่านไปหลายวันเราก็ยังหยุดคิดเรื่องหนังไม่ได้เลย มันก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ทำไมเราไม่ move on คือมันไม่ใช่ความหมกมุ่นคิดหนักหรือรู้สึกดาวน์อะไรแบบนั้นนะ แค่คิด...แบบว่าหนังมันวนอยู่ในหัว รบกวนเราให้รู้สึกรำคาญใจเฉย ๆ แต่ว่าคิดไปคิดมาหนังเรื่องนี้มันก็ฝากอะไรกับเราเอาไว้เยอะมาก กลายเป็นหนังที่ไม่จบแค่ในโรง เดินออกจากโรงแล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนเหมือนผีเจ้ากรรมนายเวรไม่มีผิด
แล้วเราก็ตัดสินใจไปดูอีกรอบ...
อืม นั่นแหละ...ปากบอกไม่คุ้ม แต่ยอมจ่ายอีกเพื่อไปดู คือมันคนละส่วนกับความรู้สึกที่อยากจ่ายเพราะมิวสิคแสดงเรื่องนี้เลยนะ รอบนี้อยากดูเพราะหนังล้วน ๆ ส่วนรอบอื่น ๆ ก็ยอมรับว่าซื้อตั๋วเพิ่มเพื่อเอาไปเล่นกิจกรรมโดยที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปดู
มาเข้าเรื่องกันต่อ
รอบสองเราตั้งใจดูมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้อินจนร้องไห้ในฉากไหนเลย ไม่ได้รู้สึกดำดิ่งอีกเช่นกัน คือเราเป็นพวกที่ชอบตั้งคำถามแล้วก็หาคำตอบ ตอนนั้นเริ่มคิดละว่า...มาดูอีกทำไมวะ...ที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร?
ตอบไม่ได้
แต่มันค้างคาใจ...
เอาเป็นว่า เราลองทำความรู้จักกับตัวละครให้มากขึ้น พอรู้จักมากขึ้นก็รู้ว่าเด็กสองคนในเรื่อง เบล ซู หรือแม้แต่คนอื่น ๆ มันก็เป็นแค่คนธรรมดา เด็กธรรมดา อายุ 18 ที่เราก็เคยเป็น อะไรในหนังก็เลยไม่เซอร์ไพรส์เราไง เพราะเราเห็นมาหมดแล้ว เราเคยเป็นเด็กต่างจังหวัดมาก่อน มันชินตาทั้งชีวิตคนที่สักวันก็ต้องโรยราลงตรงนั้น สังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ชุดความคิด หรือวาทกรรมที่สืบทอดส่งต่อกันมา
ขอสรุปว่าถ้าคุณกำลังหาหนังที่ “สนุก” ดู เรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์
ในหนังไม่มีอะไรให้เราตื่นตาตื่นใจ
ไม่มีความรู้สึกของสิ่งใหม่
ไม่มี CG หรือความมหัศจรรย์ใด ๆ (แต่มุมกล้องและภาพสวยนะ)
ไม่มีอะไรเหนือจริง
ไม่มีเลย...
ที่เราไม่อินเพราะสิ่งที่อยู่ในหนังแท้จริงแล้วมันเป็นตัวเราเอง เหตุการณ์มันอยู่รอบตัวเรา มันถึงเป็นคำตอบว่าทำไมหนังถึงตามเราออกมาได้ หลอกหลอนเราเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยหายไป ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่ไร้ซึ่งความหวัง
เพราะงั้นถ้าคุณกำลังมองหาหนังดี ๆ สักเรื่อง เรื่องนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาด ห้ามพลาดเลยดีกว่า
สารแห่งความสิ้นหวังถูกส่งผ่านตัวละครซูและเบลอย่างแยบยล
หนังตั้งคำถามกับเราว่าชีวิตที่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของ แท้จริงแล้วมันเป็นของเราจริง ๆ หรือเปล่า หรือที่ที่เราอยู่ตอนนี้มันเป็นของเราจริง ๆ มั้ย ต่อมาหนังก็ให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วถ้าเราไม่ชอบที่นี่ล่ะ เราจะไปที่อื่นได้มั้ย และจะไปที่ไหน...
หนังตอบเรามาก่อนด้วยคำถาม
เฮ้ยคุณ จะทิ้งกันไปไหนล่ะ ที่นี่บ้านเรานะ อะไรไม่ดีก็แก้ไขเปลี่ยนให้มันดีขึ้น คุณจะทิ้งบ้าน “ของคุณ” ไปเหรอ?
ซึ่งเป็นคำถามที่เรามีอิสระในการตอบ
หนังพาตัวละครซูไปถึงจุดหนึ่งที่เรียกว่าความหวัง ซึ่งซูมีความหวังจริง ๆ และพยายามแก้ไขมันด้วยความเชื่อว่าจะเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้จริง ๆ แต่ว่าเรา...เราที่เป็นเจ้าของกระทู้เนี่ย ไม่ได้ไปถึงจุดนั้นด้วย เพราะเราไม่มีความหวังแบบซู อันนี้สารภาพเลยว่าฉากซูกับแม่ เราหลุดหัวเราะออกมาด้วย บอกซูเลยว่าไม่มีทาง ที่หนังเอาฉากนี้มาให้เราดู มันคือโชว์ปาหี่ชัด ๆ
ก็นะ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ขนาดนั้น...
ตอนที่หนังตบหน้าคนดูด้วยการเฉลยว่าความหวังทั้งหมดนั้นมันไม่มีอะไรจริงอย่างที่คิด เราหลบได้นะ แต่ซูโดนเต็ม ๆ โดนหลอกแบบที่ถ้าเป็นใครก็คงเจ็บปวดเอามาก ๆ จนซูตัดสินใจไปในที่ที่เราก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่สงสาร ไม่สงสัย ไม่พีค แต่มาหน้าชานิดหน่อยตอนฉากจบที่หนังตอกย้ำว่าเบลมันยังอยู่ที่เดิม
และเรายังอยู่ที่เดิม
เออ เราอยู่ที่เดิมอย่างคนสิ้นหวัง แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
ตรงนี้คงต้องขอชื่นชมผู้กำกับและคนเขียนบท คุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี คุณสุดยอดมาก และขอบคุณมากที่ทำให้เราได้กลับมาคิด กลับมาทบทวน ทำให้เรารู้ตัว การดูหนังเรื่องนี้สำหรับเราถือว่าเป็นการเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง และเรียกได้ว่าตราตรึงใจ
เราขอไม่ให้คะแนนเพราะไม่ใช่นักวิจารณ์หนังนะคะ
ในส่วนของนักแสดงก็ทำได้ดีมาก ๆ แต่ก็ขอไม่ให้คะแนนเช่นกัน เพราะ bias แน่นอน เอาเป็นว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยนะ รักนะ ชอบนะ เป็นกำลังใจให้นะ
ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ หรือยังลังเลอยู่ว่าไปดีมั้ย เราขอบอกว่า...ไปเถอะค่ะ
ไปดูความจริงในยุคนี้
ไปดูตัวพวกเราที่สะท้อนอยู่ในหนัง
และมาต่อกันเลยที่ Me Before We ซึ่งเป็นหนังสั้นที่เล่าสตอรี่ของเบล อันนี้มีให้ดูฟรีผ่านทาง YouTube นะคะ ไปชมกันได้ ดังนั้นเราจะมาวิเคราะห์ตัวละครกับประเด็นที่มีให้พูดถึงจากหนังสั้นเรื่องนี้กัน แต่จะไม่สปอยล์ Where We Belong นะคะ
ถ้าใครยังไม่ได้ดู ไปดูก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อเนอะ
หนังเปิดมาด้วยการย้ายเข้ามาในบ้านหลังใหม่ (ที่เก่าแล้ว) ของครอบครัวเบล สมาชิกประกอบไปด้วย ย่าที่แก่มาก ๆ พ่อที่เป็นข้าราชการ แม่เป็นแม่บ้าน และตัวเบลที่ต้องย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ ตรงนี้จะสังเกตได้ว่านอกจากเล่าด้วยภาพเป็นส่วนใหญ่ หนังยังเลือกใช้ตัวหนังสืออธิบายความคิดของเบลที่ไม่ได้พูดออกมา ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าตัวหนังสือคือความรู้สึกที่แท้จริงของเบล เหมือนเบลกำลังเล่าเรื่องของตัวเองให้เราฟัง
เราคิดว่าที่หนังทำแบบนี้เพราะลักษณะนิสัยของตัวเบลเอง
1. เบลไม่ใช่คนที่ช่างพูดหรือเข้าหาใครก่อน ในฉากที่เบลอยู่ในโรงเรียนจะเห็นว่าเบลเหงา อยากมีเพื่อน แต่ก็ไม่เข้าไปคุยกับใคร ทั้ง ๆ ที่คนอื่นก็ดูจะไม่ได้ปิดกั้นเบลมากนัก
2. อาจจะเป็นไปได้ว่าเบลไม่รู้วิธีการเข้าหาใครอย่างถูกต้อง จึงไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ เห็นได้จากฉากที่อยู่ในห้องน้ำ เบลได้ยินเสียงคนร้องเพลงจากห้องข้าง ๆ คิดว่าเพราะดีน้องเบลของเราก็ปีนขึ้นไปดูเฉยเลย แถมยังชมเขาอีกว่าร้องเพราะ แต่เบล...นั่นห้องน้ำไง แทนที่จะได้เพื่อน เขาไม่ฉีดน้ำใส่หัวก็ดีแค่ไหนแล้ว
3. ความจริงแล้วเบลไม่ใช่คนติ๋ม ๆ ที่พูดเพราะตลอดเวลา เรา ๆ คุณ ๆ อะไรแบบนั้น เห็นได้จากในตัวอย่างหนัง Where We Belong หรือจะใน Me Before We คำบรรยายที่เป็นความคิดของเบลเองนั่นแหละ เบลก็แก่นเฟี้ยวเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นคำบรรยายว่า เทพว่ะ แถมยังมีหลุดคำสบถหยาบตอนสายกีตาร์ขาดด้วย
และในตอนนี้นี่เองที่เห็นได้ชัดมากว่าเบลไม่ใช่คนที่จะพูดความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองออกมา สายกีตาร์บาดมือ แต่กลับบอกว่าไม่เจ็บ
4. เบลเป็นพวกที่ทำไม่รู้ไม่ชี้เก่ง ปิดหูปิดตาเก่ง อย่างที่เห็นในฉากฟังเพลงเสียงดัง ๆ แถมยังหวังดีปิดหูให้ย่าด้วยจะได้ไม่ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกัน และเบลก็ให้ย่ามองเห็นแต่รอยยิ้มที่เหมือนมีความสุขของตัวเอง หรือฉากร้านก๋วยเตี๋ยวที่เบลโกหกแม่เพื่อให้แม่ไม่ต้องคิดมาก ตรงนี้จึงบอกได้ชัดเจนเลยว่าเบลเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมาก เบลไม่แสดงความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกมาเพราะห่วงความรู้สึกของคนรอบตัวมากกว่า กลัวว่าเขาจะเสียใจ ไม่สบายใจ เบลจึงเป็นคนที่เก็บความทุกข์ไว้กับตัว
การทำอะไรให้ใครด้วยความรัก ความหวังดี ไม่ใช่เรื่องผิด...แต่ถ้าเขาไม่ต้องการล่ะ?
ประเด็นหูฟังสำหรับเรามันมีความเกินพอดีอยู่ตรงที่ย่าเอาหูฟังออกแล้ว แต่เบลเอาใส่กลับเข้าไปให้ใหม่ ในแง่ของการเล่าเรื่องมันคือสิ่งที่บอกให้รู้ว่าพ่อกับแม่เบลกำลังมีปากเสียงกันอยู่นะ มีปากเสียงกันเรื่องอะไร แต่ว่ามันก็ทำให้คิดต่อไปได้อีกว่าบางครั้งเสียงเพลงดัง ๆ ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ย่าต้องการก็ได้
5. ขอย้อนกลับไปที่ครอบครัวของเบล หนังเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่เบลจะได้เจอกับซูแล้วก็เป็นเพื่อนกัน ครอบครัวของเบลอย่างที่บอกว่ามีย่าที่แก่มากแล้ว เราไม่เห็นความสัมพันธ์ของพ่อกับเบลเพราะหนังไม่ได้บอกอะไรชัดนัก แต่เล่าเรื่องของแม่เบลที่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหม่ (ที่เก่าแล้วนั่นแหละ) แม่เบลก็บ่นถึงความทรุดโทรมของบ้าน และยังมีอีกฉากที่บ่นถึงความเงียบเหงาของบรรยากาสต่างจังหวัด
เหมือนเดิมเลยคือเบลปิดหูปิดตาเก่ง เบลทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดแม่ที่แม่บอกว่าอยากไปอยู่ที่อื่นแล้วชวนเบลไปด้วย เบลไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เลยจะพาแม่ไปเที่ยวถนนคนเดิน (น่าจะหมายถึงตลาดนัด) เบลคิดว่าการทำแบบนี้แม่อาจจะสบายใจขึ้น แม่อาจจะเปลี่ยนใจอยากอยู่ที่นี่ก็ได้
ต่อมาที่จะพูดถึง คือฉากที่แม่เบลกำลังซักผ้าแล้วน้ำไม่ไหล ความเฟลตรงนี้ บวกกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาคงเป็นเหตุให้พ่อกับแม่เบลทะเลาะกัน แน่นอนว่าแม่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คงอดทนมานานแล้วกับความเบื่อหน่ายที่วัน ๆ มีแต่งานบ้านกับการดูแลคนแก่
สุดท้ายแม่เบลก็ไป...
ตรงนี้เราคิดว่าหนังคงอยากสื่อถึงสภาพสังคมปัจจุบันที่ครอบครัวส่วนใหญ่มีปัญหาหย่าร้าง ส่วนหนึ่งของปัญหาอาจจะมาจากความขัดแย้งของความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องเลิกทำงานไปเป็นแม่บ้าน กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบันที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านความเท่าเทียมที่ผู้หญิงในยุคหลังไม่มีความเชื่อเดิมอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายทำงานได้ ผู้หญิงก็ทำงานได้ ทำไมต้องรอให้สามีเลี้ยง ทำไมต้องรับสภาพ
6. ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ความเป็นเบลใน MBW น่าจะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมใน WWB เบลถึงช่วยซูจัดกระเป๋า ทำไมทำให้ซูทุกอย่างทั้งที่บางอย่างก็ไม่จำเป็น นั่นเพราะเบลรักซู อยากให้ซูสบายใจที่สุด เหมือนที่เบลทำให้ย่า แล้วตัวเบลเองก็เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ ใจจริงก็ไม่ได้อยากให้ซูไปแท้ ๆ
รู้จักกันวันแรกก็เป็นความสบายใจให้กัน
ซูให้เบลกอดโดยไม่ได้คิดอะไร
เบลได้กอดอย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องร้องขอ หลังจากวันนั้นซูก็กอดเบลได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ที่หลังมอไซค์ของเบล
ที่ที่เบลคิดว่าตรงนี้แหละ อาจจะเป็นหลุมหลบภัยของเราสองคนเสมอมา
“กูไม่เคยคิดเลยว่า ถ้าวันนึงไม่อยู่ข้างหลังกู...กูจะทำยังไง”
นั่นคือความรู้สึกของเบลที่เราเดาว่าเบลไม่เคยบอกกับซูเลย แต่เอามาเล่าให้พวกเราฟังในวันที่สายไป
ป.ล. วันนี้เหมือนจะมี Teaser ของจักรวาล Where We Belong ที่จะเล่าถึงสมาชิกสตราโตสเฟียออกมาให้ได้ติดตามกันด้วยนะ