สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Techhangout ทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความรีวิว ก่อนหน้านี้เราได้มีการรีวิวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของทาง OPPO ไปกับในรุ่น OPPO RENO 10x Zoom หลังจากปล่อยรีวิวไปก็มีกระเเสตอบรับดีเลยทีเดียวในอาทิตย์ที่เเล้ว แน่นอนว่าในบทความนี้แอดจะมารีวิวสมาร์ทโฟนของเเบรนด์ OPPO อีกรุ่น เป็นสมาร์ทโฟนในตระกูล Reno Series กับในรุ่น OPPO Reno รุ่นธรรมดา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันกับรุ่นพี่เลยทีเดียว มีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า โดยมีการตัดเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นก่อน เเต่ก็ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์ที่พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่เเละ มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 16,990 บาท ซึ่งถูกกว่ารุ่น Reno 10x Zoom ถึง 12,000 บาท พร้อมมาด้วยกล้องหน้าแบบ Pivot Rising Camera ที่สามารถใช้งานเลื่อนขึ้น-ลง ถึง 200,000 ครั้งเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเดียวเรามาเริ่มอ่านรีวิวรุ่นนี้กันดีกว่าว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
สำหรับรุ่น OPPO Reno เป็นรุ่นกลางที่ได้มีการตัดในเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นเดิม เเละได้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของ CPU จากรุ่นก่อน มาเป็นชิปเซ็ตระดับกลางเเทนอย่าง ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพที่เร็วเเละเเรงเลยทีเดียว ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นก็ยังมาพร้อมกับการออกแบบหน้าจอแบบไม่มีติ่งแบบ Panoramic full-screen ขนาด 6.4 นิ้ว ที่คมชัดระดับ Full HD+ หน้าจอเต็มตา ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 และดีไซน์กล้องหน้าแบบ Pivot Rising ขึ้นมาแบบครีบฉลาม แปลกใหม่ และ จุดเด่นที่ยังคงมีมาเหมือนเดิมก็คือ VOOC Flash Charge 3.0 พร้อมเเบตเตอรี่ความจุ 3,765 mAh ซึ่งต้องบอกเลยว่าชาร์จไวมากๆครับ และเรื่องสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ก็ยังคงมีอยู่นะไม่ได้ถูกตัดออก
OPPO RENO เปิดตัวในไทยมาในสเปค RAM 6 GB STORAGE 256 GB มาพร้อมกับ 2 สีหลักๆ Ocean Green , JET BLACK เปิดราคาในไทยที่ 16,990 บาท
UNBOX
เรามาเริ่มแกะกล่องกันดีกว่ากล่องที่ใส่รุ่นนี้ยังคงเป็นเหมือนกับรุ่นก่อนมาในโทนสีขาว ออกแบบนั้นจะคล้ายๆกับเป็นรูปด้านหลังของเครื่อง Reno ไว้ ทั้งตำแหน่งกล้องต่างๆ เส้นตรงกลาง พร้อมเล่นกับแสง เป็นสีรุ้งสวยงามกล่องดูยาวๆครับแปลกตาดีเหมือนกัน แต่ดูหรูเอาเรื่อง
- ตัวเครื่อง OPPO Reno
- เคส TPU แบบใสดำ
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้จากโรงงาน
- หูฟัง หูฟังแบบแจ็ค 3.5 มิลลิเมตร
- สายชาร์จ USB – C
- Adaptor ชาร์จไฟ VOOC 3.0
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
เคสที่ให้มาส่วนตัวแอดมินรู้สึกชอบงานอาจจะไม่ได้พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่ เเต่เป็นเคส TPU ใส ขอดีคือตัวเคสค่อนข้างนิ่ม เเละ สามารถโชว์ตัวเครื่องที่สวยงามของ OPPO reno ได้ เคสมีสีดำ ซึ่งไม่ต้องกลัวเลยว่าเวลาที่ใช้ จะสกปรกง่าย เคสจะเหลืองเร็ว ตัวเคสคุมตัวเครื่องเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงเเค่ด้านบนที่เว้นเอาไว้สำหรับเป็นพื้นที่ให้กล้องออกเลื่อนออกมาครับ
DESIGN
งานออกเเบบถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยทีเดียวครับ วัสดุงานประกอบพรีเมียมไม่เเพ้รุ่นพี่ ด้านหลังมีการเคลือบผิวสัมผัสเหลือบแสงแบบด้าน การวางตำแหน่งกล้องส่วนตัวแอดว่าดูดีมากๆ สำหรับตัวเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็น สี Ocean Green สีเขียว มีน้ำหนักเบาอยู่ที่ 185 กรัม เบากว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย โดยรวมเรื่องดีไซน์โดยรวม OK เลยครับ สีตัวเครื่องแอบสวยเวลาที่สะท้อนกับเเสง เเละตัวเครื่องเวลาจับดูไม่ใหญ่จนเกินไปจับใช้งานมือเดียวได้ถนัดมือ
หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเต็มตา AMOLED Panoramic Screen 6.4 นิ้ว แต่ยังเป็น Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 387 ppi) อัตราส่วน 19.5:9 ( 402 ppi ) รองรับการแสดงผลในขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 ด้านขอบบนหน้าจอนั้นไม่มีอะไรเลย กล้องหน้าเซนเซอร์ ลำโพงได้ถูกซ่อนไปทั้งหมด ขอบด้านบนนั้นจะมีการเว้นช่องลำโพงสำหรับคุยไว้ส่งผ่านมาจากกล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นลงได้ และเซนเซอร์ ฝังใต้หน้าจอทั้งหมด
เมื่อเปิดใช้งานกล้องหน้าขึ้นมานั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 16 MP f/2.0 พร้อมฟีเจอร์ AI Beautification และ ลำโพงสนทนา มีโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน รวมถึงติดตั้ง Proximity Sensor ที่ติดตั้งไว้ในส่วนตรงนี้ด้วยครับ การทำงานของกล้องหน้านั้นจะเอียงแบบครีบฉลาม เรียกว่ากล้องแบบ Pivot Rising Camera เลื่อนใช้งานได้ไวและดูแข็งแรง
ขอบด้านล่างทำออกมาได้บางหลงตัวสุดๆ ขอบหน้าจอส่วนล่างนั้นจะออกแบบได้ยากมากๆที่จะทำได้บางแต่รุ่นนี้ก็ถือว่าบางกว่ารุ่นอื่นๆอยู่เหมือนกัน เป็นแบบเต็มหน้าจอ หรือจะเป็นปุ่มปกติก็สามารถเลือกได้เช่นกัน
ถัดมาชมตัวเครื่องด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็นส่วนที่กล้องหน้านั้นจะเลื่อนขึ้นมา และ มีรูไมค์สำหรับตัดเสียงก็ยังคงอยู่เหมือนกับรุ่นพี่
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะมีปุ่ม Power อยู่ ยังคงมีขีดสีเขียวเข้ามาในส่วนนี้ทำให้มองเห็นได้ชัดแบบเดียวกับรุ่นพี่ที่ออกมา รองรับการทำงานเรียกเป็น Google Assistant อีกด้วย
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง ตัวเครื่องด้านข้างค่อนข้างบางกว่ารุ่นก่อน เเละมีช่องใส่ซิม เป็นแบบ Dual Slot สามารถใส่ซิมการ์ดแบบ nano-SIM ได้ 2 ซิม รองรับการใช้งาน Dual 4G LTE เป็นแบบ Standby ไม่สามารถใส่ microSD ได้
ขอบด้านล่างเครื่อง ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของช่อง Type-C และ รูไมค์ รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องในด้านนี้ ซึ่งในรุ่นนี้จะไม่ใช้คู่เหมือนรุ่นก่อน เเละ มีรูเสียงหูฟังแบบ 3.5 มม
ด้านหลังเครื่องกันบ้าง ใช้การออกแบบ แนวคิดแบบ Symmetry Design คือการออกแบบโดยคำนึงถึงความงามอย่างสมมาตร และ สมดุล แบบไร้รอยต่อ การออกแบบฝาหลังนั้นสวยงามมีการเล่นไล่สีสวยงามจะเป็นวัสดุแบบด้านสวยงามมีการเล่นสี เหลื่อมๆเล็กน้อยถ้าโดนแสงครับ เรียบหรูดูดี แอบแฝงด้วยเเข็งเเรง พร้อมกับเขียนชื่อแบรนด์และ Designed by OPPO ไว้ด้วยครับ
ตรงส่วนของกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้อง 2 ตัวในแนวตั้งที่ตรงกลาง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 ส่วนไฟแฟลช LED จะอยู่ที่ตรง Pivot Rising Camera และถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามี ปุ่มกลมๆนั้นจะเรียกว่า O-Dot ซึ่งทำมาจากเซรามิก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ปกป้องเลนส์กล้องหลังโดยยกตัวเครื่องด้านหลังให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ไม่ให้ฝาหลังนั้นสัมผัสกับพื้นทำให้ไม่เป็นรอยสำหรับบางคนที่ไม่ชอบใส่เคส
O-DOT ป้องกันฝาหลังส่วนบนได้แบบล้ำๆ
จุดเซรามิก O-Dot ที่เห็นเม็ดๆกลมๆนั้นไม่ใช่ปุ่มพิเศษอะไร แต่มันคือความล้ำของการออกแบบที่รุ่นนี้ฝาหลังนั้นเรียบไปกับตัวกล้องง่ายๆเหมือนกับเอากล้องไปซ่อนไว้ในฝาหลังแน่นอนว่าทำแบบนี้เลนส์เป็นรอยง่ายๆแน่ จึงทำให้มีการออกแบบที่ใส่ใจเข้ามาของจุดนี้ คือการใช้ปุ่มกลมๆที่จะทำหน้าที่ยกตัวเครื่องส่วนบนขึ้นมาและทำให้ไม่เป็นรอยในส่วนเลนส์ด้านบนเลย คือออกแบบได้ว้าวมากและใช้งานจริงจากที่วางมันก็ช่วยได้จริงๆครับดูจากภาพข้างบนได้เลย
SPEC
- ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD+
- CPU Snapdragon 710 (10 nm) + GPU Adreno 616
- RAM 6 GB STORAGE 256GB
- กล้องหลัง 2 ตัว 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 , ระบบโฟกัส PDAF
- กล้องหน้า Rivot Rising ความละเอียด 16MP f/2.0
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
- Bluetooth 5.0, USB-C , aptX HD
- รูหูฟัง 3.5 มม.
- สแกนนิ้วบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ 3,765 mAh รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
- มาพร้อม 2 สี Ocean Green, Jet Black
- ขนาด 156.6 มม.74.3 มม. 9 มม. 185 กรัม
PERFORMANCE
ในเรื่องของประสิทธิภาพนั้นมาพร้อมกับ CPU ระดับกลางอย่าง Snapdragon 710 และ ใช้ RAM 6 GB LPDDR4x ร่วมกับ Storage 256GB UFS 2.0 ในส่วนของคะแนนนั้น Antutu กันก่อนเลยทำไปได้ 156018คะแนน และส่วนของ GeekBench นั้นทำไปได้ คะแนน 1520 และ 5909 และ หน่วยความจำไม่พลาดกับ UFS 2.1 แต่เรื่องความปลอดภัย ยังได้ DRM L1 นะครับทำให้ดู Netflix แบบ HD ได้
SYSTEM UI
หน้าตาระบบรุ่นนี้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็น ทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ
เมื่อปัดนิ้วจากด้านบนลงมาจะเจอ แถบเมนูลัด หน้าตาสวยงามและดูสบายตาขึ้น โดยมีทางลัดสำหรับการตั้งค่าที่เราใข้งานการต่างๆเป็นประจำอย่าง เช่น Wi-Fi, ไฟฉาย , Bluetooth, โหมดเครื่องบิน , NFC , ตัดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ , ปรับความสว่างหน้าจอ เป็นต้น ส่วนด้านล่างจะแสดงแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ หากปัดนิ้วลงมาอีกครั้งจะเป็นการขยายเมนู
แป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียร ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 256 GB นั้นเหลือใช้งานได้ 224 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 2.37 จาก 6GB ครับ
โคลนแอพก็รองรับหลายๆแอพที่นิยมกันครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารถสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว หรือสแกนใบหน้ามีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม เวลาสแกนหน้านั้นตัวกล้องจะ โผล่ขึ้นมาและลงไปแบบรวดเร็วเลยแหละถือว่าทำงานได้ดีครับ
[SR] รีวิว OPPO RENO น้องเล็กเเต่ไม่ธรรมดา สเปคเยี่ยม กล้องสวยในราคา 16,990 บาท
สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Techhangout ทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความรีวิว ก่อนหน้านี้เราได้มีการรีวิวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของทาง OPPO ไปกับในรุ่น OPPO RENO 10x Zoom หลังจากปล่อยรีวิวไปก็มีกระเเสตอบรับดีเลยทีเดียวในอาทิตย์ที่เเล้ว แน่นอนว่าในบทความนี้แอดจะมารีวิวสมาร์ทโฟนของเเบรนด์ OPPO อีกรุ่น เป็นสมาร์ทโฟนในตระกูล Reno Series กับในรุ่น OPPO Reno รุ่นธรรมดา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันกับรุ่นพี่เลยทีเดียว มีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า โดยมีการตัดเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นก่อน เเต่ก็ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์ที่พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่เเละ มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 16,990 บาท ซึ่งถูกกว่ารุ่น Reno 10x Zoom ถึง 12,000 บาท พร้อมมาด้วยกล้องหน้าแบบ Pivot Rising Camera ที่สามารถใช้งานเลื่อนขึ้น-ลง ถึง 200,000 ครั้งเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเดียวเรามาเริ่มอ่านรีวิวรุ่นนี้กันดีกว่าว่าในรุ่นนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
สำหรับรุ่น OPPO Reno เป็นรุ่นกลางที่ได้มีการตัดในเรื่องของการซูม 10 เท่าแบบ Hybrid Zoom ออกไปจากรุ่นเดิม เเละได้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของ CPU จากรุ่นก่อน มาเป็นชิปเซ็ตระดับกลางเเทนอย่าง ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพที่เร็วเเละเเรงเลยทีเดียว ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นก็ยังมาพร้อมกับการออกแบบหน้าจอแบบไม่มีติ่งแบบ Panoramic full-screen ขนาด 6.4 นิ้ว ที่คมชัดระดับ Full HD+ หน้าจอเต็มตา ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 และดีไซน์กล้องหน้าแบบ Pivot Rising ขึ้นมาแบบครีบฉลาม แปลกใหม่ และ จุดเด่นที่ยังคงมีมาเหมือนเดิมก็คือ VOOC Flash Charge 3.0 พร้อมเเบตเตอรี่ความจุ 3,765 mAh ซึ่งต้องบอกเลยว่าชาร์จไวมากๆครับ และเรื่องสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ก็ยังคงมีอยู่นะไม่ได้ถูกตัดออก
OPPO RENO เปิดตัวในไทยมาในสเปค RAM 6 GB STORAGE 256 GB มาพร้อมกับ 2 สีหลักๆ Ocean Green , JET BLACK เปิดราคาในไทยที่ 16,990 บาท
UNBOX
เรามาเริ่มแกะกล่องกันดีกว่ากล่องที่ใส่รุ่นนี้ยังคงเป็นเหมือนกับรุ่นก่อนมาในโทนสีขาว ออกแบบนั้นจะคล้ายๆกับเป็นรูปด้านหลังของเครื่อง Reno ไว้ ทั้งตำแหน่งกล้องต่างๆ เส้นตรงกลาง พร้อมเล่นกับแสง เป็นสีรุ้งสวยงามกล่องดูยาวๆครับแปลกตาดีเหมือนกัน แต่ดูหรูเอาเรื่อง
- ตัวเครื่อง OPPO Reno
- เคส TPU แบบใสดำ
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้จากโรงงาน
- หูฟัง หูฟังแบบแจ็ค 3.5 มิลลิเมตร
- สายชาร์จ USB – C
- Adaptor ชาร์จไฟ VOOC 3.0
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
เคสที่ให้มาส่วนตัวแอดมินรู้สึกชอบงานอาจจะไม่ได้พรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่ เเต่เป็นเคส TPU ใส ขอดีคือตัวเคสค่อนข้างนิ่ม เเละ สามารถโชว์ตัวเครื่องที่สวยงามของ OPPO reno ได้ เคสมีสีดำ ซึ่งไม่ต้องกลัวเลยว่าเวลาที่ใช้ จะสกปรกง่าย เคสจะเหลืองเร็ว ตัวเคสคุมตัวเครื่องเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงเเค่ด้านบนที่เว้นเอาไว้สำหรับเป็นพื้นที่ให้กล้องออกเลื่อนออกมาครับ
DESIGN
งานออกเเบบถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยทีเดียวครับ วัสดุงานประกอบพรีเมียมไม่เเพ้รุ่นพี่ ด้านหลังมีการเคลือบผิวสัมผัสเหลือบแสงแบบด้าน การวางตำแหน่งกล้องส่วนตัวแอดว่าดูดีมากๆ สำหรับตัวเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็น สี Ocean Green สีเขียว มีน้ำหนักเบาอยู่ที่ 185 กรัม เบากว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย โดยรวมเรื่องดีไซน์โดยรวม OK เลยครับ สีตัวเครื่องแอบสวยเวลาที่สะท้อนกับเเสง เเละตัวเครื่องเวลาจับดูไม่ใหญ่จนเกินไปจับใช้งานมือเดียวได้ถนัดมือ
หน้าจอรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเต็มตา AMOLED Panoramic Screen 6.4 นิ้ว แต่ยังเป็น Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 387 ppi) อัตราส่วน 19.5:9 ( 402 ppi ) รองรับการแสดงผลในขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 ด้านขอบบนหน้าจอนั้นไม่มีอะไรเลย กล้องหน้าเซนเซอร์ ลำโพงได้ถูกซ่อนไปทั้งหมด ขอบด้านบนนั้นจะมีการเว้นช่องลำโพงสำหรับคุยไว้ส่งผ่านมาจากกล้องหน้าที่เลื่อนขึ้นลงได้ และเซนเซอร์ ฝังใต้หน้าจอทั้งหมด
เมื่อเปิดใช้งานกล้องหน้าขึ้นมานั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 16 MP f/2.0 พร้อมฟีเจอร์ AI Beautification และ ลำโพงสนทนา มีโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน รวมถึงติดตั้ง Proximity Sensor ที่ติดตั้งไว้ในส่วนตรงนี้ด้วยครับ การทำงานของกล้องหน้านั้นจะเอียงแบบครีบฉลาม เรียกว่ากล้องแบบ Pivot Rising Camera เลื่อนใช้งานได้ไวและดูแข็งแรง
ขอบด้านล่างทำออกมาได้บางหลงตัวสุดๆ ขอบหน้าจอส่วนล่างนั้นจะออกแบบได้ยากมากๆที่จะทำได้บางแต่รุ่นนี้ก็ถือว่าบางกว่ารุ่นอื่นๆอยู่เหมือนกัน เป็นแบบเต็มหน้าจอ หรือจะเป็นปุ่มปกติก็สามารถเลือกได้เช่นกัน
ถัดมาชมตัวเครื่องด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็นส่วนที่กล้องหน้านั้นจะเลื่อนขึ้นมา และ มีรูไมค์สำหรับตัดเสียงก็ยังคงอยู่เหมือนกับรุ่นพี่
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะมีปุ่ม Power อยู่ ยังคงมีขีดสีเขียวเข้ามาในส่วนนี้ทำให้มองเห็นได้ชัดแบบเดียวกับรุ่นพี่ที่ออกมา รองรับการทำงานเรียกเป็น Google Assistant อีกด้วย
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง ตัวเครื่องด้านข้างค่อนข้างบางกว่ารุ่นก่อน เเละมีช่องใส่ซิม เป็นแบบ Dual Slot สามารถใส่ซิมการ์ดแบบ nano-SIM ได้ 2 ซิม รองรับการใช้งาน Dual 4G LTE เป็นแบบ Standby ไม่สามารถใส่ microSD ได้
ขอบด้านล่างเครื่อง ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของช่อง Type-C และ รูไมค์ รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องในด้านนี้ ซึ่งในรุ่นนี้จะไม่ใช้คู่เหมือนรุ่นก่อน เเละ มีรูเสียงหูฟังแบบ 3.5 มม
ด้านหลังเครื่องกันบ้าง ใช้การออกแบบ แนวคิดแบบ Symmetry Design คือการออกแบบโดยคำนึงถึงความงามอย่างสมมาตร และ สมดุล แบบไร้รอยต่อ การออกแบบฝาหลังนั้นสวยงามมีการเล่นไล่สีสวยงามจะเป็นวัสดุแบบด้านสวยงามมีการเล่นสี เหลื่อมๆเล็กน้อยถ้าโดนแสงครับ เรียบหรูดูดี แอบแฝงด้วยเเข็งเเรง พร้อมกับเขียนชื่อแบรนด์และ Designed by OPPO ไว้ด้วยครับ
ตรงส่วนของกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้อง 2 ตัวในแนวตั้งที่ตรงกลาง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 ส่วนไฟแฟลช LED จะอยู่ที่ตรง Pivot Rising Camera และถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามี ปุ่มกลมๆนั้นจะเรียกว่า O-Dot ซึ่งทำมาจากเซรามิก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ปกป้องเลนส์กล้องหลังโดยยกตัวเครื่องด้านหลังให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ไม่ให้ฝาหลังนั้นสัมผัสกับพื้นทำให้ไม่เป็นรอยสำหรับบางคนที่ไม่ชอบใส่เคส
O-DOT ป้องกันฝาหลังส่วนบนได้แบบล้ำๆ
จุดเซรามิก O-Dot ที่เห็นเม็ดๆกลมๆนั้นไม่ใช่ปุ่มพิเศษอะไร แต่มันคือความล้ำของการออกแบบที่รุ่นนี้ฝาหลังนั้นเรียบไปกับตัวกล้องง่ายๆเหมือนกับเอากล้องไปซ่อนไว้ในฝาหลังแน่นอนว่าทำแบบนี้เลนส์เป็นรอยง่ายๆแน่ จึงทำให้มีการออกแบบที่ใส่ใจเข้ามาของจุดนี้ คือการใช้ปุ่มกลมๆที่จะทำหน้าที่ยกตัวเครื่องส่วนบนขึ้นมาและทำให้ไม่เป็นรอยในส่วนเลนส์ด้านบนเลย คือออกแบบได้ว้าวมากและใช้งานจริงจากที่วางมันก็ช่วยได้จริงๆครับดูจากภาพข้างบนได้เลย
SPEC
- ระบบ Android 9 ครอบด้วย ColorOS 6
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD+
- CPU Snapdragon 710 (10 nm) + GPU Adreno 616
- RAM 6 GB STORAGE 256GB
- กล้องหลัง 2 ตัว 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และกล้องรองซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดความลึก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 MP f2.2 , ระบบโฟกัส PDAF
- กล้องหน้า Rivot Rising ความละเอียด 16MP f/2.0
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
- Bluetooth 5.0, USB-C , aptX HD
- รูหูฟัง 3.5 มม.
- สแกนนิ้วบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ 3,765 mAh รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
- มาพร้อม 2 สี Ocean Green, Jet Black
- ขนาด 156.6 มม.74.3 มม. 9 มม. 185 กรัม
PERFORMANCE
ในเรื่องของประสิทธิภาพนั้นมาพร้อมกับ CPU ระดับกลางอย่าง Snapdragon 710 และ ใช้ RAM 6 GB LPDDR4x ร่วมกับ Storage 256GB UFS 2.0 ในส่วนของคะแนนนั้น Antutu กันก่อนเลยทำไปได้ 156018คะแนน และส่วนของ GeekBench นั้นทำไปได้ คะแนน 1520 และ 5909 และ หน่วยความจำไม่พลาดกับ UFS 2.1 แต่เรื่องความปลอดภัย ยังได้ DRM L1 นะครับทำให้ดู Netflix แบบ HD ได้
SYSTEM UI
หน้าตาระบบรุ่นนี้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็น ทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ
เมื่อปัดนิ้วจากด้านบนลงมาจะเจอ แถบเมนูลัด หน้าตาสวยงามและดูสบายตาขึ้น โดยมีทางลัดสำหรับการตั้งค่าที่เราใข้งานการต่างๆเป็นประจำอย่าง เช่น Wi-Fi, ไฟฉาย , Bluetooth, โหมดเครื่องบิน , NFC , ตัดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ , ปรับความสว่างหน้าจอ เป็นต้น ส่วนด้านล่างจะแสดงแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่างๆ หากปัดนิ้วลงมาอีกครั้งจะเป็นการขยายเมนู
แป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียร ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 256 GB นั้นเหลือใช้งานได้ 224 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 2.37 จาก 6GB ครับ
โคลนแอพก็รองรับหลายๆแอพที่นิยมกันครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารถสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว หรือสแกนใบหน้ามีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม เวลาสแกนหน้านั้นตัวกล้องจะ โผล่ขึ้นมาและลงไปแบบรวดเร็วเลยแหละถือว่าทำงานได้ดีครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้