ออดหลอด...ฮอด...ศรีสะเกษ...เด้อ ( ตอน 3 )
ออกจากสวนสมเด็จ มองหาร้านอาหารเท่าไร ก็ไม่พบ จนถึงเมืองขุขันธ์จึงเจอร้าน แบบรถเข็นบนฟุตบาทด้านข้างสถานีตำรวจ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปภูสิงห์ วัดไพรพัฒนา กราบสรีระหลวงปู่สรวง วัดไพรพัฒนา เดิมทีเป็นที่พำนักของหลวงปู่สรวง นักบุญแห่งดินแดนอีสานใต้ พระผู้บำเพ็ญเพียรตามแนวเขตชายแดนไทย-กัมพูชา อันมีเมตตาบารมีช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนเป็นที่รักและศรัทธาของผู้คน รวมไปถึงลูกศิษย์ลูกหาทั่วไป จนเป็นที่เรียกขานกันว่า “เทวดา เดินดิน” ภายหลังจากที่หลวงปู่ละสังขารเมื่อปี 2542 สรีระสังขารของหลวงปู่ไม่เปื่อยไม่เนา จนลูกศิษย์ได้นำไปบรรจุไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาและนักท่อนักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้ขอพรและลอดใต้โลงแก้วเพื่อความเป็นสิริมงคล
ซื้อขี้ไต้ (กระบองไฟมาเหมือนเดิม )
เดินทางออกจากวัดไพรพัฒนาไปบุรีรัมย์ เพื่อไปดูสนาม Buriram International Curcuit & Chang Arena Stadium ระยะทาง 142 km 2.15 h พอมาถึงสิ่งที่น่าทึ่งคือวันนี้มีการแข่งรถ คนเดินทางมาดูการแข่งขันกันเยอะมาก (มาสนามกีฬา ต้องใส่เสื้อกีฬามานะ ...ไม่เช่นนั้นเราเป็นตัวเชยเลย ) เห็นคนบุรีรัมย์สนใจกีฬาแบบนี้ดูคึกคักมาก เหมือนอยู่ต่างประเทศอะไรเช่นนั้น วันนี้เจอน้องเบนซ์ Champion Motorsport Vios Lady ต้องมีการถ่ายรูป
ออกจากสนามกีฬา แล้วไปกินข้าวกลางวัน ส้มตำไก่ย่าง ไหน ๆ มาถึงถิ่นอีสาน ก็ต้องไก่ย่างส้มตำ เดินทางกลับเกือบถึงโคราช พี่หนุ่ย accident ต้องเข้าห้องน้ำ พอดีแวะเข้าปั๊ม PT มีดอกเฟื้องฟ้าสวยมาก เขาทำไว้ขาย ต้องถ่ายรูปกัน
v
ออกจากสวนเฟื้องฟ้า แล้วเดินทางกลับบ้าน อยุธยา เราคงต้องลาจากกันแล้วในการเดินทางไปศรีสะเกษ เมืองที่ไม่รู้จักเลย ไปครั้งเดียวอยากไปอีก หลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ขอขอบคุณริทที่ขับรถให้ท่องเที่ยวอย่างสนุกสนาน และเดินทางปลอดภัยกลับถึงบ้าน
ต่อไป เราคงพบกันที่ทองผาภูมิ ตามรอยนายหญิงดารินทร์ ขอบคุณทุกท่านที่เดินทางร่วมกันรวมทั้งพี่แดง พี่ต้อย พี่ทุกคน ลาก่อน แล้วเราพบกันใหม่ค่ะ
.......See you again next trip at Thong Pha Phum......
ออดหลอด...ฮอด...ศรีสะเกษ...เด้อ ( ตอน 3 )
ออกจากสวนสมเด็จ มองหาร้านอาหารเท่าไร ก็ไม่พบ จนถึงเมืองขุขันธ์จึงเจอร้าน แบบรถเข็นบนฟุตบาทด้านข้างสถานีตำรวจ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปภูสิงห์ วัดไพรพัฒนา กราบสรีระหลวงปู่สรวง วัดไพรพัฒนา เดิมทีเป็นที่พำนักของหลวงปู่สรวง นักบุญแห่งดินแดนอีสานใต้ พระผู้บำเพ็ญเพียรตามแนวเขตชายแดนไทย-กัมพูชา อันมีเมตตาบารมีช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนเป็นที่รักและศรัทธาของผู้คน รวมไปถึงลูกศิษย์ลูกหาทั่วไป จนเป็นที่เรียกขานกันว่า “เทวดา เดินดิน” ภายหลังจากที่หลวงปู่ละสังขารเมื่อปี 2542 สรีระสังขารของหลวงปู่ไม่เปื่อยไม่เนา จนลูกศิษย์ได้นำไปบรรจุไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาและนักท่อนักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้ขอพรและลอดใต้โลงแก้วเพื่อความเป็นสิริมงคล