▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ภาพยนตร์ต่างประเทศ
Netflix
ภาพยนตร์ระทึกขวัญ
ภาพยนตร์
ภาพยนตร์สยองขวัญ
[CR] รีวิว Stranger Things ซีซั่น 3 ปีศาจร้ายในคราบทุนนิยม VS. ปีศาจร้ายในโลก Upside Down (ไม่สปอยล์)
Stranger Things ยังคงใช้การแบ่งกลุ่มตัวละคร กระจายเนื้อเรื่องไปให้ทุกกลุ่มได้ความสำคัญพอๆ กัน โดยกลุ่มของไมค์ วิลล์ ลูคัส / แอล แม็กซ์ ยังคงเป็นแนวทางการเล่าเรื่องตามหาที่มาของปีศาจ Demogorgons ตรงๆ เช่นเดิม ซึ่งเรื่องราวก็จะดำเนินไปไม่ต่างกับซีซั่นก่อนๆ วิลล์เริ่มรับรู้การมาถึงของจอมเปิดโปงเป็นระยะๆ ก่อนที่แอลและทุกคนจะเริ่มพบกับความผิดปกติอื่นๆ ตามมา โดยผสมเรื่องราวปัญหาความรักวัยรุ่น การมีแฟนครั้งแรกของไมค์กับแอล ในมุมมองที่ต่างกันของผู้ชายและผู้หญิง โดยต่างคนก็ได้ที่ปรึกษาเป็นลูคัสกับแม็กซ์ที่เป็นแฟนกันมาก่อนด้วย (ซึ่งดูไม่ค่อยเข้ากันเลย) เรื่องราวปัญหาหัวใจวัยรุ่นนี้เป็นส่วนสำคัญที่โยงเรื่องไปถึงจิม (Jim Hopper) หัวหน้าตำรวจหุ่นหมี และเป็นพ่อบุญธรรมของแอลที่เครียดหนักกับการที่แอลเป็นแฟนกับไมค์ ทั้งยังพยายามแข็งข้อกับเขาตามประสาวัยรุ่น ซึ่งจิมก็ต้องมาขอคำปรึกษากับจอยซ์ (Joyce Byers) จนกลายมาเป็นอีกคู่ที่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กัน พร้อมกับสืบเรื่องราวปริศนาในเมืองอีกเส้นทาง ซึ่งล้อกับเรื่องราวในแบบหนังคนเหล็ก 2029 ที่ฉายเมื่อปี 1984 ตรงกับเรื่องราวการทดลองครั้งแรกของรัสเซียตอนเปิดเรื่องด้วย หนังเล่นกับการไล่ล่าของชายปริศนาที่รูปร่างหน้าตาท่าทางแทบจะถอดแบบมาจากอาร์โนลด์ที่เล่นเป็นหุ่นเหล็กเทอมิเนเตอร์ โดยเขาจะไล่ล่าสังหารจิมกับจอยซ์ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้หนังมีเส้นเรื่องใหม่ แนวทางแอ็กชั่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เป็นเหมือนมินิบอสอีกตัวเพิ่มจากปีศาจร้าย Demogorgons
โจนาธาน (Jonathan Byers) กับแนนซี่ (Nancy Wheeler) ได้บทพิสูจน์ความรักของทั้งคู่จากงานในสำนักข่าวท้องถิ่นในเมือง ซึ่งโจนาธานเป็นช่างภาพ แนนซี่เป็นพนักงานบริการในออฟฟิซ ที๋โดนโขกสับเหมือนคนใช้ดีๆ นี่เอง แต่ด้วยความที่เธอมีความฝันอยากเป็นนักข่าว จึงได้พยายามตามสืบเรื่องราวประหลาดที่เกิดกับหนูในเมือง ซึ่งขัดกับหน้าที่ในออฟฟิซที่มีแค่ชงกาแฟไปวันๆ หนังทำให้เห็นสังคมอเมริกันที่เน้นชายเป็นใหญ่ในยุคนั้นได้ดี ผู้หญิงที่พยายามพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถแค่ไหน ก็ยากที่จะฝ่าการกีดกันทางสังคมหน้าที่การงานไปได้ และความพยายามสืบข่าวทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของแนนซี่ ทำให้โจนาธานรู้สึกกำลังพาให้เขาตกงานไปด้วย ซึ่งบ้านของโจนาธานก็กำลังถูกขาย จอยซ์ผู้เป็นแม่ไม่อาจรับภาระไหว นั่นเป็นเหตุให้ทั้งคู่เกิดรอยร้าวในใจขี้น หนังสร้างคู่นี้เพื่อให้เห็นปัญหาความรักในวัยทำงานที่ต่างจากเด็กๆ อย่างไมค์กับแอลที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่ของโจนาธานกับแนนซี่คือตัวชี้เป็นชี้ตายว่าเขาและเธอจะฝ่าฟันอุปสรรคทางสังคมจนเป็นคู่รักได้ต่อไปหรือไม่ แม้ส่วนดราม่าของทั้งคู่ดูจะธรรมดาไปนิด แต่ส่วนการผจญภัยขที่ทั้งคู่ต้องเจอนี่คือ “เดอะเบสต์ของความสยองที่สุดของเรื่อง” ซึ่งให้อารมณ์น่ากลัวแหวะๆ แบบพวกหนังผีเข้าเอ็กซอร์ซิสต์ผสมกับหนังสัตว์ประหลาดอย่าง The Blob (ชื่อไทย เหนอะเคี้ยวโลก) และพวกหนังเอเลี่ยนสิงร่างกลืนร่างในอดีต หนังทำได้น่ากลัวแบบที่คิดว่าถ้าเอาจริงๆ Stranger Things สามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญเต็มตัวเลยก็ได้ แต่เมื่อยังต้องจับกลุ่มผู้ชมทุกวัย ก็เลยต้องมียั้งๆ ไว้อยู่เหมือนเดิม…
แต่กลุ่มที่สนุกแบบแปลกใหม่และน่าติดตามที่สุดคือ กลุ่มของดัสตินกับสตีฟ (Steve Harrington) ที่ได้เส้นเรื่องแยกออกไปตามสืบเรื่องราวของรัสเซียในห้างสตาร์คอร์ท ซึ่งหนังก็ฉายภาพรัสเซียในขณะนั้นจากมุมมองอเมริกาด้านเดียว ซึ่งยุคนั้นรัสเซียปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เต็มใบ อเมริกาได้สร้างภาพให้รัสเซียเป็นภัยร้ายบ่อนทำลายอเมริกา ซึ่งหนังก็หยิบจับมาเล่นแบบตรงไปตรงมาตามธีมของเรื่อง ปีศาจ = คอมมิวนิสต์ โดยฉายให้เห็นภาพชั่วร้ายตั้งแต่เริ่มเรื่อง เป็นการทดลองเปิดประตูมิติที่รัสเซีย ก่อนจะเชื่อมโยงมาถึงอเมริกา มายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งดัสตินเป็นคนได้ค้นพบความลับนี้และได้มาปรึกษาสตีฟเพื่อนคู่หูต่างวัยจากเหตุการณ์ในภาคก่อน โดยทั้งคู่จะได้ร่วมกับอีก 2 ตัวละครใหม่ “โรบิน” (Robin) ที่เป็นพนักงานสาวตักไอติมในห้างคู่กับสตีฟ และเอริก้า (Erica Sinclair) น้องสาวของลูคัส ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดๆ ดัสตินเด็กเนิร์ดที่สุดของแก๊งตั้งแต่ภาคแรก จะได้มาเจอกับเอริก้าสุดกวนที่เป็นเนิร์ดอัจฉริยะที่ตัวเองไม่ยอมรับว่าเป็นเนิร์ด ทั้งคู่จะปะทะคารมกันแบบเนิร์ดๆ แถมด้วยความรู้เรื่องประวัติศาสตร์รัสเซีย คณิตศาสตร์ เกมกระดานดันเจี้ยนแอนด์ดราก้อนมาเป็นพรวน จนคนดูอาจจะงงตามไม่ทัน แต่ก็ดันฮา น้องที่เล่นเป็นเอริก้านี่เป็นจอมโขมยซีนแบบชัดเจน เธอเปิดตัวได้อย่างมีทีเด็ด เป็นมันสมองที่ทีมขาดอยู่ รวมถึงมีความกล้า+ฮาตามคาแรกเตอร์ห้าวๆ ได้อย่างน่ารัก แม้ว่าสถาณการณ์ในเรื่องจะดูแย่ๆ แค่ไหน เอริก้าก็ยังเป็นตัวปล่อยมุกคู่กับดัสตินได้ฮาเสมอ
ส่วนของ “โรบิน” ที่มาใหม่ก็เข้ากับกลุ่มแก๊งสตีฟกับดัสตินได้อย่างรวดเร็ว โรบินเป็นตัวละครสาวที่ฉลาดและมีเสน่ห์ลึกๆ เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน แต่สตีฟมักมองข้ามไม่สนใจไปมองหาสาวตามสเป็ค แต่ด้วยความที่เขาสอบมหาลัยไม่ผ่าน ต้องมาทำงานในร้านไอติม ก็ทำให้จากหนุ่มฮอตในงานพรอม (งานเต้นรำเลี้ยงจบการศึกษามัธยมปลายของของอเมริกา) กลายมาเป็นหนุ่มไม่มีอนาคตในชุดเครื่องแบบกลาสีเรือ ที่ไม่มีสาวคนไหนสนใจอีกแล้ว หนังทำให้โรบินทั้งฉลาด เด็ดเดี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างน่าสนใจ ซึ่งคาแร็กเตอร์แบบนี้มักถูกกันพื้นที่ไว้เป็นเฟรนด์โซนมากกว่าจีบเป็นแฟน แต่การผจญภัยครั้งนี้ก็ทำให้สตีฟได้เริ่มหันมามองโรบินใหม่ ซึ่งพล็อตดูแล้วเหมือนพวกหนังรักสูตรสำเร็จเดาง่าย แต่หนังกลับทำได้ดีกว่านั้น แถมสอดแทรกประเด็นความรักนอกกรอบสังคมในยุค 80 ที่สิ่งนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ถ้าใครจะเปิดเผยออกมา หนังทำฉากบทสรุปของเรื่องราวทั้งคู่ในห้องน้ำคาโถส้วมได้อย่างขำๆ แต่แอบซึ้งดีงามลงตัวไปพร้อมกัน รวมถึงเรื่องราวความรักของดัสตินในกลุ่มก็ด้วยเช่น ซึ่งทั้งสองคู่นี้เป็นบทสรุปความรักที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในซีซั่นนี้แล้ว
ช่วงหลังหนังก็เป็นไปตามสูตรคือทุกกลุ่มจะได้กลับมาพบจบกันในช่วงเอพิโสดท้าย โดยแอลยังเป็นคนใช้พลังพิเศษพลิกวิกฤติในช่วงคับขันต่างๆ อยู่เหมือนเดิม ซึ่งดูเหมือนทางผู้สร้างจะยังหาทางออกดีๆ ให้ตัวละครอื่นมีบทบาทในการสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องไม่ได้ ผิดกับซีซั่นแรกที่การใช้พลังแต่ละครั้งของแอลดูเป็นปาฏิหาริย์ที่โผล่ขึ้นมาอย่างน่าอัศรรย์ ซึ่งตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วที่ผู้เขียนรู้สึกว่าฉากขับคันในเรื่องหาทางออกด้วยพลังของแอลมากเกินไปหน่อย จนรู้สึกว่าจำเจ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงขนาดน่าเบื่อ เพียงแต่การที่มีแต่แอลเท่านั้นที่พลิกวิกฤติได้ดูจะเป็นสูตรสำเร็จง่ายเกินไป แตกต่างจากความสนุกช่วงก่อนรวมทีม ที่ดูมีลุ้นในแบบฉบับความสามารถของแต่ละคนมากกว่า แต่ก็ยังดีที่ตอนท้ายเรื่องทุกตัวละครยังได้มีซีนร่วมกันต่อสู้กับบอสสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายของเรื่องไปพร้อมกัน แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ดูอลังการหรือ CG ดีมากเท่ากับที่ Netflix โหมโปรโมทไว้ แถมยังดูเหมือนไม่น่ากลัวเท่ากับช่วงที่มันหลบซ่อนตัวอยู่ อีกทั้งการไล่ล่าท้ายเรื่องก็หยุดชะงักขาดเป็นช่วงๆ จนดูไม่เมคเซนส์กับความสามารถสัตว์ประหลาดที่ปูมาทั้งเรื่องอีกด้วย ส่วนงานเทศกาลวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาได้อย่างสมจริง ก็กลับไม่นำมาใช้ให้เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องราวสักเท่าไหร่เลย อันนี้เป็นส่วนที่ปูมาเนอะ แต่นำมาใช้น้อยนิด น่าผิดหวังที่สุดของเรื่องแล้วครับ
นี่เป็นซีซั่นที่ไต่ระดับความน่าสนใจในช่วงแรกได้อย่างรวดเร็วน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเรื่องตัดไวไม่ยืดเยื้อ มีแนวทางใหม่มานำเสนอ แต่กลับไปดรอปลงในช่วงท้ายสุดของซีซั่นอย่างน่าผิดหวัง หนังมีตัวละครเพิ่มใหม่เพิ่มอีกหลายตัว อย่างนายกเทศมนตรี นักวิทย์ศาสตร์รัสเซียสุดเอ๋อ แต่ก็ใส่มาเพื่อเป็นส่วนประกอบของเรื่อง ไม่ได้เป็นคีย์ในบทสรุปท้ายสุดตอนไคลแม็กซ์เลย (ทั้งๆ ที่บทส่งให้เป็นไปในทางนั้น) รวมถึงไม่ได้สรุปเรื่องราวภายหลังที่ดีพอกับห้างสตาร์คอร์ทที่ชาวเมืองต่อต้าน และในส่วนของโลก Upside Down หนังยังเลือกจบในแบบทิศทางเดิมๆ เกินไป ซึ่งถือว่าเป็นความน่าผิดหวังที่ผู้สร้างยังเลือกกั๊ก หรืออาจจะเลือกยืดซีรีส์ Stranger Things ให้มากกว่าซีซั่น 4 ก็เป็นได้ เพราะท้ายเรื่องเอนเครดิต หนังเลือกออกสู่เมืองอื่น ออกสู่โลเกชั่นใหม่นอกเมือง Hawkins ดูเป็นทิศทางใหม่ในอนาคตต่อไปของซีรีส์นี้ แต่ก็ยังไม่พ้นหยิบจับปีศาจเก่าในโลก Upside Donw มาใช้อยู่เช่นเดิม…
8.5/10 ครับ
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องติดตามที่ลิ้งค์ด้านล่างครับ
https://www.playinone.com/folkplay/stranger-things-3/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้