ทริปคันไซ 8 วัน 7 คืน 5 เมือง ตอน ณ โอซาก้า (วันที่ 7)

กระทู้สนทนา

เที่ยวต่างประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ เที่ยวญี่ปุ่น

วันสุดท้ายของทริปที่จะลัลล้าในเมือง อย่างที่บอกไปว่า วันนี้ตั้งใจจะไปหาน้องกวาง แต่ดูจากพยากรณ์อากาศแล้ว วันนี้ฝนจะตก เลยต้องย้ายวันที่จะเดินในห้างมาเป็นวันนี้แทน และผลที่ได้... ฝนตกจริง ๆ จ้า ตกไม่ลืมหูลืมตาเลยแม่เจ้า จากที่นัดกันว่าจะออก 9 โมง คือเลทไปทีละ 5 นาที จนสุดท้าย ไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นคงต้องนอนเฝ้าที่พักแล้วล่ะ เลยตัดสินใจ ป่ะ ลุยฝนก็ช่างมันดีกว่าอดเที่ยว 555 ออกจากที่พัก 9 โมง 20 นาที ท่ามกลางสายฝนและคลื่นลม //ทำให้เห็นเลยว่า แพลนมาดีขนาดไหน ก็แพ้สภาพอากาศ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ แพลนที่เที่ยวให้สามารถโยกย้ายวันได้ด้วยนะคะ ยืดหยุ่นตามสภาพอากาศค่ะ นี่ถ้าวันนี้ต้องไปหากวางขึ้นมาจริง ๆ คงร้องไห้ T^T

วันนี้ที่แรกที่จะไปเลยคือ Osaka Museum of Housing & Living ซึ่งที่นี่เปิด 10 โมง ตั้งใจว่าจะยืนรอเลย เพราะที่นี่มีบริการให้เช่าชุดกิโมโนเดินเล่นถ่ายรูปกับบ้านเรือนจำลอง จากที่อ่านรีวิว คือ ถ้าเราไปเร็ว เราก็มีโอกาสเลือกชุดที่จะใส่ได้มากกว่า แต่ด้วยด้วยฝนตก กว่าจะไปถึงก็ปาไป 10 โมง 20 นาทีแล้ว เราลงที่สถานี Tenjimbashisujirokuchome แล้วจะมีป้ายบอกทางมาตลอดเลย พอขึ้นมาข้างบนก็จะเป็นตัวอาคารของ museum เลย กดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 8 เลยจ้า //ไม่ได้ถ่ายรูปนะคะ ฝนตก คิดอะไรไม่ทันทั้งนั้น โทษฝนไปนั่น 555

พอมาถึง เราก็โชว์บัตร Osaka Amazing Pass ที่เคานเตอร์เลยค่ะ เพราะการเข้าที่นี่ฟรีก็เป็นสิทธิประโยชน์ที่เราได้จากบัตรนี้เหมือนกัน เค้าจะถามเราแต่แรกว่าจะเช่าชุดมั้ย เตรียมเงินไว้รอเลยจ้า คนละ 600 เยน

แล้วเค้าจะให้เราขึ้นบันไดไปที่ชั้น 10 ก่อน เพื่อชมภาพมุมสูงของบ้านเรือนจำลอง ขนาดไม่ได้กว้างมาก แต่ถ่ายรูปออกมาเนียนอยู่นะ พอลงมาที่ชั้น 9 จะเป็นบ้านเรือนจำลอง อย่างแรกที่ไป คือ ต่อคิวค่ะ ไปติดต่อเช่าชุด ซึ่งคนเยอะมากกกก มีพนักงานคอยถามมากี่คนแล้วกดจ่ายเงินที่เครื่องอัตโนมัติ พร้อมล็อคคิวและแจ้งว่าให้เรามาเปลี่ยนชุดตอนกี่โมง ระหว่างนี้ เราก็เดินชมวิว หามุมถ่ายรูปรอไปชิว ๆ ค่ะ

ถึงเวลาเปลี่ยนชุด เราก็มายื่นบัตรนัด แล้วเอากระเป๋าใบเล็ก ๆ ที่ติดตัวมาเก็บเข้าล็อกเกอร์ (กระเป๋าเป้ใบใหญ่ พนักงานจะให้เราเก็บตั้งแต่ที่เคานเตอร์แล้วค่ะ) แล้วดึงกุญแจมาเก็บไว้ จากนั้นก็ไปนั่งรอคิวค่ะ ระหว่างที่รอจะมีพนักงานเอาถุงเท้า (อันนี้ให้เลยค่ะ) และรองเท้ามาเราลองใส่ก่อน เล็กไปใหญ่ไป เปลี่ยนให้พอดีเลยค่ะ จากนั้นก็จะเขยิบไปเรื่อย ๆ จนถึงคิวเรา อย่างที่บอก ถ้าเรามาเร็ว ตัวเลือกก็จะเยอะ เพราะขณะที่นั่งรอ มีคนมาเปลี่ยนชุดคืนอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงบางชุดที่เล็งไว้ก็โดนตัดหน้าไปดื้อ ๆ 555 อดค่ะ

พอถึงคิว เราก็ยืนเลือกเลยค่ะ ว่าจะเอาชุดไหน จากนั้นพนักงานก็จะแต่งตัวให้ พอเสร็จเรียบร้อย เค้าจะแจ้งว่าใส่ชุดได้แค่ 30 นาทีเท่านั้น ทางที่เดินออกมาจะมีถุงผ้าให้เลือกถือได้เข้ากับชุดค่ะ ใส่กระเป๋าสตางค์-มือถือหิ้วเก๋ ๆ เมื่อชุดพร้อมพร้อพพร้อมก็ลุยเลยค่ะ เวลาเป็นเงินเป็นทอง 555

ที่นี่มีการจำลองบ้านเรือน รวมถึงเวลาด้วยค่ะ แปบหนึ่งสว่างจ้า แล้วก็ค่อย ๆ มืดลง มืดลงนี่ขาดทุนนะคะ มืดไปซะทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ในห้อง 555 นี่อุตส่าห์เล็งไว้แล้วอ่ะ เพราะในห้องคือบรรยากาศญี่ปุ่นมาก แถมไม่มีคนพลุกพล่านด้วย โดนความมืดครอบงำไปเกือบ 5 นาที 555

ถ่ายไปถ่ายมา ถึงเวลาคืนชุดแล้วค่ะ วนกลับมาที่เดิม คืนชุดแต่โดยดี พอเดินออกมาลงไปที่ชั้น 8 เป็นพิพิธภัณฑ์โชว์บรรยากาศของเมืองในแต่ละยุคสมัย รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ด้วยค่ะ

ออกจากที่นี่ก็ใกล้เที่ยงพอดี หิวแล้ววว เลยตกลงว่าจะไปกินราเมงข้อสอบกันที่ร้าน Ichiran Umeda Hankyu-higashidori ลงรถไฟใต้อาคารนั้นต่อเลยค่ะ
ทั้งวันนี้เราจะใช้บัตร Osaka Amazing Pass เดินทางทั้งหมดนะคะ เพราะส่วนใหญ่สถานที่ไปคือใช้เส้นทาง Osaka Metro ทั้งนั้นเลย

ถึงแล้วววว หิวแล้วววว เข้าไปต่อคิว กดสั่งที่ตู้เลยค่ะ อยากกินอะไร จิ้มโลดดด

เมื่ออิ่มแล้วก็ถึงเวลาช้อปปิ้ง ย่านนี้มีทั้ง Umeda Sky Building, HEP FIVE, Daimaru Umeda, Grand Front Osaka และ Yodobashi Umeda เลยแยกย้ายกันไป ส่วนคู่ของเรา เรากับน้องชาย ไม่ได้ตั้งใจจะช้อปอะไรที่นี่เป็นพิเศษ เลยไปศาลเจ้าค่ะ 555 ไปอีกแล้ว ที่สุดท้ายในทริปแล้วค่ะ Tsuyunoten Shrine เป็นศาลเจ้าแห่งความรักและความงามค่ะ

เก็บครบทั้ง 4 เมืองแล้วค่ะ ศาลเจ้าแห่งความรัก ไล่จากซ้ายมาขวานะคะ ตั้งแต่ Jishu-Jinja Shrine ที่เกียวโต / Ikuta Shrine ที่โกเบ / Kasuga Taisha ที่นารา / Tsuyunoten Shrine ที่โอซาก้าค่ะ

ซึ่งเราแยกย้ายกันตั้งแต่บ่ายโมง นัดกันอีกที 5 โมงครึ่ง ที่ร้าน Kiji ตั้งใจจะเป็นกินพิซซ่าญี่ปุ่นกันค่ะ แต่ไม่ทันบ่าย 2 เราก็เสร็จแล้วอ่ะ ก็ภารกิจเรามีเท่านี้
เลยตัดสินเดินกลับมาขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่ HEP FIVE ดีกว่า เพราะนี่ก็ขึ้นฟรีอีกเช่นกัน 555

ชิงช้าที่นี่เล็กกว่ามากค่ะ นั่งได้แค่ 4 คนเท่านั้น ซึ่งเรามากัน 2 คน ดูนั่งสบายไปถนัดตา แถมขึ้นมาเป็นช่วงที่ฝนเริ่มหยุดแต่บรรยากาศยังเทา ๆ ก็ดูสวยไปอีกแบบ

ลงมาเสร็จ ยัง ยังไม่ 5 โมงอีกกก เอาไงดี แถวนี้มีร้านซูชิหน้าล้นนี่ เลยชวนน้องชายไปกันที่ร้าน Kantaro ไกลนิดหนึ่งเมื่อเดินจาก HEP FIVE ถึงแล้ววว อย่าช้าค่ะ สั่งเลย แต่ห้ามเยอะ เพราะเรามีนัดต่อ เลยสั่งมาเท่าที่เห็น เอาแค่ให้รู้รส 555

กินเสร็จ ดูเวลาใกล้กับที่นัดพอดี เลยเดินไปที่ร้าน ซึ่งคนเยอะมากกก เอาไงดี คงรอไม่ไหว นอกจากโอะโคะโนะมิยะกิ ก็ยังเหลือ คุชิคัทสึ (ของทอดจุ่มซอส) อีกอย่างที่ยังไม่ได้เก็บ เลยโอเค งั้นกลับไปตั้งหลักหาร้านคุชิคัทสึที่ Dotombori ล่ะกัน //เอะอะอะไรก็ Dotombori ไว้ก่อน 5555

ร้านคุชิคัทสึที่เล็งไว้คือร้าน Kushikatsu Daruma เป็นร้านของทอดเสียบไม้ มีมาสคอตคุณลุงหน้าตาขึงขังอยู่หน้าร้าน มีทั้งผัก เนื้อ หมู ไก่ ปลา ปลาหมึกสารพัด เนื้อแป้งบางกรอบ ไม่อมน้ำมัน ซอสสูตรพิเศษ ทานคู่กับกะหล่ำปลีแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ Dotombori มี 2 สาขา ตอนแรกแวะไปที่สาขา Hozenji คนเยอะมาก โอเค ไปอีกสาขา สาขา Dotombori มีโต๊ะสำหรับ 6 คนว่างพอดี เริ่ดค่ะ ได้ขึ้นไปนั่งกินที่ชั้น 2