ชาญชัยศาลตัดสินจำคุก 8 ปี รอลงอาญา 2 ปี หมิ่นคิงเพาเวอร์ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ มีหลายคนรู้จักในฐานะ สส. นครนายกและอดีต รองประธานอนุ
กมธ.วิสามัญศึกษาฯ สปท. โดนฟ้องโดย บริษัทคิงเพาเวอร์จำกัดและกลุ่มบริษัทในเครือ
ถ้าหลายคนติดตามข่าว ก็อาจจะพอรู้มาบ้างว่า ชาญชัยเป็นคนนึงที่ต่อต้านการประมูลและพยายามล้มการประมูลดิวตี้ฟรีในสนามบินอยู่หลายครั้ง
ทั้งที่รายได้จากการให้สัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินก็เป็นรายได้ที่มากโขอยู่และเป็นรายได้เข้ารัฐ แต่กลับพยายามเสนอร้านค้านอกสนามบิน
และมีจุดส่งมอบสินค้าอันนี้ไม่แน่ใจว่าทำตามใครสั่งมารึป่าว
https://voicetv.co.th/read/0swfyuOPq
ทีนี้มาต่อเรื่องคดีที่ชาญชัยโดนฟ้อง
สรุประบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2559 นายชาญชัย ดูหมิ่นโจทก์ทั้งสอง คือคิงเพาเวอร์ โดยการโฆษณาด้วยการแถลงข่าวหรือ
ป่าวประกาศเผยแพร่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ อันเป็น
ความเท็จ ว่า “การเซ็นสัญญา กับบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ
การตรวจสอบของผมกับคณะอนุฯ ได้ไปพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกับ
บริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ไม่ได้เป็นผู้ซื้อซองประกวดราคาไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ใน
ขั้นตอนของการพิจารณาเชิงเทคนิคหรือขั้นตอนการประกวดราคาใดๆ ทั้งสิ้นเลย คณะกรรมการมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2548 และเข้าบอร์ด
อนุมัติเพื่อเซ็นสัญญา กับคิง เพาเวอร์อินเตอร์ เนชั่นแนลเท่านั้น แต่เวลาลงนามในสัญญาบริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ กลับมาลงนามในสัญญาแทน
และเพิ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ก่อนลงนามสัญญาแค่ 2 วัน
เพราะฉะนั้นสัญญานี้ตั้งแต่เริ่มมีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นตั้งแต่ 2548 เป็นต้นมา
ถือเป็นสัญญาที่นับเป็นสัญญาที่โมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และผิดกฎหมายหลายฉบับ ฉะนั้น เรียนให้สื่อมวลชนให้ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเรียกทรัพย์สินบางส่วนที่เสียหายไปคืนหลายหมื่นล้าน ถ้าเรียกได้โดยรัฐบาลยุคนี้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นค่าภาษีโรงเรียนหลายพันล้านฯ”
ซึ่ง
ความจริง แล้ว
“นายชาญชัยได้รู้หรือควรรู้แล้วว่าในการเข้าประมูลสัมปทานพื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นการประมูล
โดยเปิดเผยตรวจสอบได้ มีผู้เข้าร่วมประมูล 5 กลุ่ม” โดยนายชาญชัยแถลงข่าวในฐานะรองประธานอนุ กมธ.วิสามัญศึกษาฯ สปท.
มีหน้าที่ในการศึกษาและเสนอแนะ มาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ไม่ใช่หน้าที่แถลงข่าวหรือป่าวประกาศโฆษณาเผยแพร่หลายออกสู่ประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม. จะเห็นได้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของนายชาญชัยที่จะออกมาแถลงข่าวหรือป่าวประกาศ
และศาลก็พิจารณาว่านายชาญชัย มีสิทธิจัดแถลงข่าวหรือไม่ เห็นว่าแนวทางการให้ กมธ.ปฏิบัติตามข้อบังคับ
สปท.ข้อ 81 วรรคท้าย
ห้ามให้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหากมีเหตุจำเป็น
ให้ประธานฯ หรือโฆษกฯ เป็นผู้จัดการแถลงข่าว
การที่นายชาญชัยอ้างว่ามีเหตุจำเป็น และมีการเสนอเรื่องให้ประธานฯ ทราบแล้วนั้น
เป็นเพียงการบอกว่าจะไปแถลงข่าวไม่ใช่การอนุญาตให้มีการแถลงข่าว และแม้นายชาญชัย อ้างว่าได้รับการแต่งตั้งให้ไปตรวจสอบการทุจริต
ดังนั้น การที่นายชาญชัยแถลงข่าวก็เป็นในทำนองวินิจฉัยความผิดเสียเองส่วนที่นายชาญชัยอ้างว่าการกระทำของโจทก์ทำให้รัฐได้รับความเสีย
หายกว่า 2 หมื่นล้าน ก็เป็นการคาดคะเนของนายชาญชัยเท่านั้น
โดยมีข้อความลักษณะยืนยันให้ร้ายบริษัทโจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสี่ ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ทั้งนี้ดีที่ศาลอาญาที่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงโดยละเอียดและให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหาร ทอท.ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนที่ฟังการแถลงข่าวของนายชาญชัยตลอดมาเข้าใจผิดคิดว่ากลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ และผู้บริหาร ทอท.ร่วมกันทุจริตหลีกเลี่ยงการส่งประโยชน์เข้ารัฐหลายหมื่นล้านถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเป็นที่สนใจของภาครัฐและภาคเอกชนดังนั้นความจริงจึงปรากฏตามคำพิพากษาของศาลอาญา
บทสรุป สุดท้ายที่เห็นได้ชัดคือการทำเกินหน้าที่ของนายชาญชัยและการอ้างเท็จจากการคาดคะเนและสรุปของนายชาญชัยเอาเองเท่านั้นไม่ได้มีหลักฐานออกมาให้เห็น เพราะการประมูลที่แท้จริงเป็นไปอย่างถูกต้องคิงเพาเวอร์ได้ยื่นซื้อซองประมูลและมีผู้เข้าร่วมประมูล 5 ราย ไม่ได้ตรงตามที่นายชาญชัยกล่าวอ้างเลย ยังดีที่เรื่องนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่ เพราะหากการเอาตำแหน่งของนายชาญชัย มากล่าวโทษผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย
หรือฝ่ายตรวจสอบเองทำเกินหน้าที่และสรุปเอาเองโดยไม่มีหลักฐานอย่างนายชาญชัยเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เกิดการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ
และที่สำคัญทำให้เศรษฐกิจไม่เดินหน้าต่อได้
เครดิต:
https://mgronline.com/politics/detail/9620000061202
กงกรรมกงเกวียน คิดอ้างสิทธิ์มีตำแหน่งอ้างเพื่อชาติ ศาลตัดสินจำคุก 8 ปี หมิ่นประมาท
กมธ.วิสามัญศึกษาฯ สปท. โดนฟ้องโดย บริษัทคิงเพาเวอร์จำกัดและกลุ่มบริษัทในเครือ
ถ้าหลายคนติดตามข่าว ก็อาจจะพอรู้มาบ้างว่า ชาญชัยเป็นคนนึงที่ต่อต้านการประมูลและพยายามล้มการประมูลดิวตี้ฟรีในสนามบินอยู่หลายครั้ง
ทั้งที่รายได้จากการให้สัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินก็เป็นรายได้ที่มากโขอยู่และเป็นรายได้เข้ารัฐ แต่กลับพยายามเสนอร้านค้านอกสนามบิน
และมีจุดส่งมอบสินค้าอันนี้ไม่แน่ใจว่าทำตามใครสั่งมารึป่าว
https://voicetv.co.th/read/0swfyuOPq
ทีนี้มาต่อเรื่องคดีที่ชาญชัยโดนฟ้อง
สรุประบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2559 นายชาญชัย ดูหมิ่นโจทก์ทั้งสอง คือคิงเพาเวอร์ โดยการโฆษณาด้วยการแถลงข่าวหรือ
ป่าวประกาศเผยแพร่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ อันเป็น ความเท็จ ว่า “การเซ็นสัญญา กับบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ
การตรวจสอบของผมกับคณะอนุฯ ได้ไปพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกับ บริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ไม่ได้เป็นผู้ซื้อซองประกวดราคาไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ใน
ขั้นตอนของการพิจารณาเชิงเทคนิคหรือขั้นตอนการประกวดราคาใดๆ ทั้งสิ้นเลย คณะกรรมการมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2548 และเข้าบอร์ด
อนุมัติเพื่อเซ็นสัญญา กับคิง เพาเวอร์อินเตอร์ เนชั่นแนลเท่านั้น แต่เวลาลงนามในสัญญาบริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ กลับมาลงนามในสัญญาแทน
และเพิ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ก่อนลงนามสัญญาแค่ 2 วัน เพราะฉะนั้นสัญญานี้ตั้งแต่เริ่มมีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นตั้งแต่ 2548 เป็นต้นมา
ถือเป็นสัญญาที่นับเป็นสัญญาที่โมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และผิดกฎหมายหลายฉบับ ฉะนั้น เรียนให้สื่อมวลชนให้ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเรียกทรัพย์สินบางส่วนที่เสียหายไปคืนหลายหมื่นล้าน ถ้าเรียกได้โดยรัฐบาลยุคนี้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นค่าภาษีโรงเรียนหลายพันล้านฯ”
ซึ่ง ความจริง แล้ว “นายชาญชัยได้รู้หรือควรรู้แล้วว่าในการเข้าประมูลสัมปทานพื้นที่กิจกรรมเชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นการประมูล
โดยเปิดเผยตรวจสอบได้ มีผู้เข้าร่วมประมูล 5 กลุ่ม” โดยนายชาญชัยแถลงข่าวในฐานะรองประธานอนุ กมธ.วิสามัญศึกษาฯ สปท.
มีหน้าที่ในการศึกษาและเสนอแนะ มาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ใช่หน้าที่แถลงข่าวหรือป่าวประกาศโฆษณาเผยแพร่หลายออกสู่ประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม. จะเห็นได้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของนายชาญชัยที่จะออกมาแถลงข่าวหรือป่าวประกาศ
และศาลก็พิจารณาว่านายชาญชัย มีสิทธิจัดแถลงข่าวหรือไม่ เห็นว่าแนวทางการให้ กมธ.ปฏิบัติตามข้อบังคับ
สปท.ข้อ 81 วรรคท้าย ห้ามให้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหากมีเหตุจำเป็นให้ประธานฯ หรือโฆษกฯ เป็นผู้จัดการแถลงข่าว
การที่นายชาญชัยอ้างว่ามีเหตุจำเป็น และมีการเสนอเรื่องให้ประธานฯ ทราบแล้วนั้น เป็นเพียงการบอกว่าจะไปแถลงข่าวไม่ใช่การอนุญาตให้มีการแถลงข่าว และแม้นายชาญชัย อ้างว่าได้รับการแต่งตั้งให้ไปตรวจสอบการทุจริต
ดังนั้น การที่นายชาญชัยแถลงข่าวก็เป็นในทำนองวินิจฉัยความผิดเสียเองส่วนที่นายชาญชัยอ้างว่าการกระทำของโจทก์ทำให้รัฐได้รับความเสีย
หายกว่า 2 หมื่นล้าน ก็เป็นการคาดคะเนของนายชาญชัยเท่านั้น
โดยมีข้อความลักษณะยืนยันให้ร้ายบริษัทโจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสี่ ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ทั้งนี้ดีที่ศาลอาญาที่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงโดยละเอียดและให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหาร ทอท.ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนที่ฟังการแถลงข่าวของนายชาญชัยตลอดมาเข้าใจผิดคิดว่ากลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ และผู้บริหาร ทอท.ร่วมกันทุจริตหลีกเลี่ยงการส่งประโยชน์เข้ารัฐหลายหมื่นล้านถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเป็นที่สนใจของภาครัฐและภาคเอกชนดังนั้นความจริงจึงปรากฏตามคำพิพากษาของศาลอาญา
บทสรุป สุดท้ายที่เห็นได้ชัดคือการทำเกินหน้าที่ของนายชาญชัยและการอ้างเท็จจากการคาดคะเนและสรุปของนายชาญชัยเอาเองเท่านั้นไม่ได้มีหลักฐานออกมาให้เห็น เพราะการประมูลที่แท้จริงเป็นไปอย่างถูกต้องคิงเพาเวอร์ได้ยื่นซื้อซองประมูลและมีผู้เข้าร่วมประมูล 5 ราย ไม่ได้ตรงตามที่นายชาญชัยกล่าวอ้างเลย ยังดีที่เรื่องนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่ เพราะหากการเอาตำแหน่งของนายชาญชัย มากล่าวโทษผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย
หรือฝ่ายตรวจสอบเองทำเกินหน้าที่และสรุปเอาเองโดยไม่มีหลักฐานอย่างนายชาญชัยเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เกิดการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ
และที่สำคัญทำให้เศรษฐกิจไม่เดินหน้าต่อได้
เครดิต: https://mgronline.com/politics/detail/9620000061202