สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ถามตัวเองก่อน คุณแคร์ใครที่สุดในบ้าน จึงไม่กล้าแตกหัก
ตอบตัวเองให้ได้ คำว่า ที่สุด มีเพียง 1 เดียว เลือกให้ได้ก่อนค่ะ
1 ถ้าแคร์ย่า และคิดว่า ย่าเข้าใจคุณอยู่แล้ว ที่ไม่อยากจัดงาน ก็หักดิบกับทุกคนที่เหลือ จดทะเบียนเลย แล้วประกาศว่า ไม่จัดงานแล้ว 3แสนก็ไม่ให้แล้ว
2 ถ้าแคร์คนที่เหลือ อยากเรียกป้า-ลุง ว่าพ่อแม่ ต่อไป ก็ต้องตามใจเขา ชีวิตที่เหลือลำบากยังไงก็ต้องกล้ำกลืน
บอกตรงๆ มีลูกสมัยนี้ 3 แสนถือว่าแค่เงินสำรองคลอดสบายๆในรพ.เอกชน ยกเว้นคุณจะไปคลอดสิทธิบัตรทอง ก็ประหยัดได้เยอะอยู่ แต่ระดับคุณจะยอมไหมคะ
สิ่งที่คุณกำลังสับสน ไม่ใช่ว่าเลือกทางเดินไม่ได้
แต่เพราะคุณกำลังไม่อยากจะเลือก อยากได้ทั้งสามีและครอบครัวใหม่ และ อยากได้การยอมรับจากครอบครัวเดิม อยากให้พวกเขารักชื่นชมคุณ
แต่คงต้องรีบปลุกตัวเองให้ตื่นเถิดค่ะ คนเราจะไม่มีทางได้ทุกอย่าง
โลกความจริงคือ พวกเค้าเป็นแค่ ลุง-ป้า ถึงแม้ว่าคุณจะเรียก พ่อ-แม่ แค่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่คิดว่าขาดหายไป แต่จริงๆแล้ว ก็เป็นแค่ ลุงป้า พวกเขาไม่เคยรักคุณเหมือนพ่อแม่รักลูก มิฉะนั้น คุณคงไม่รู้สึกขาดความรักแบบที่ผ่านมา
บางที ชีวิตก็มีสถานการณ์บางอย่าง เกิดขึ้นมาเพื่อให้คุณต้อง "กรอง" คนที่ไม่สำคัญออกไปจากชีวิตคุณบ้าง
ตอบตัวเองให้ได้ คำว่า ที่สุด มีเพียง 1 เดียว เลือกให้ได้ก่อนค่ะ
1 ถ้าแคร์ย่า และคิดว่า ย่าเข้าใจคุณอยู่แล้ว ที่ไม่อยากจัดงาน ก็หักดิบกับทุกคนที่เหลือ จดทะเบียนเลย แล้วประกาศว่า ไม่จัดงานแล้ว 3แสนก็ไม่ให้แล้ว
2 ถ้าแคร์คนที่เหลือ อยากเรียกป้า-ลุง ว่าพ่อแม่ ต่อไป ก็ต้องตามใจเขา ชีวิตที่เหลือลำบากยังไงก็ต้องกล้ำกลืน
บอกตรงๆ มีลูกสมัยนี้ 3 แสนถือว่าแค่เงินสำรองคลอดสบายๆในรพ.เอกชน ยกเว้นคุณจะไปคลอดสิทธิบัตรทอง ก็ประหยัดได้เยอะอยู่ แต่ระดับคุณจะยอมไหมคะ
สิ่งที่คุณกำลังสับสน ไม่ใช่ว่าเลือกทางเดินไม่ได้
แต่เพราะคุณกำลังไม่อยากจะเลือก อยากได้ทั้งสามีและครอบครัวใหม่ และ อยากได้การยอมรับจากครอบครัวเดิม อยากให้พวกเขารักชื่นชมคุณ
แต่คงต้องรีบปลุกตัวเองให้ตื่นเถิดค่ะ คนเราจะไม่มีทางได้ทุกอย่าง
โลกความจริงคือ พวกเค้าเป็นแค่ ลุง-ป้า ถึงแม้ว่าคุณจะเรียก พ่อ-แม่ แค่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่คิดว่าขาดหายไป แต่จริงๆแล้ว ก็เป็นแค่ ลุงป้า พวกเขาไม่เคยรักคุณเหมือนพ่อแม่รักลูก มิฉะนั้น คุณคงไม่รู้สึกขาดความรักแบบที่ผ่านมา
บางที ชีวิตก็มีสถานการณ์บางอย่าง เกิดขึ้นมาเพื่อให้คุณต้อง "กรอง" คนที่ไม่สำคัญออกไปจากชีวิตคุณบ้าง
ความคิดเห็นที่ 5
ดูเหมือนคุณเลือกมองมุมลบ... กลับกันถ้าลองมองมุมบวก
ทางลุงกับป้า มุ่งหวังให้มีงานแต่ง เพื่อรักษาหน้าตาของคุณและครอบครัวไปพร้อมกัน
อย่าลืมว่าคุณท้องก่อนแต่ง ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนที่เห็นดีเห็นงามกับกรณีแบบนี้นะคะ
ท่านไม่ได้ว่ากล่าวคุณด้วยซ้ำ ที่ทำตัวไม่ถูกต้อง จึงอยากปกป้องคุณจากปากคนอื่นมากกว่า
เรื่องหน้าใหญ่จัดเลี้ยง 30 โต๊ะ ก็ยอมรับว่าเกินพอดีไปบ้าง แต่คงตามประสาผู้ใหญ่บางคนในต่างจังหวัด
คงอยากจัดแบบไม่ใช่งุบงิบแต่งงาน เรื่องทำบุญบ้านพร้อมไปด้วย. เราถือว่าไม่แปลกอะไร หลายคนเขาก็ทำกัน
เพราะนิมนต์พระมาแล้ว จึงทำพร้อมกันไปเลย ป้ายังมีน้ำใจที่จะแบ่งเงินสินสอดมาซื้อทองวางเป็นหน้าเป็นตา
และให้คุณเก็บไว้หรือขายก็แล้วแต่ ดูแล้วท่านคงไม่ได้จะงกเรื่องเงินเลยนะคะ เพียงแต่ยังมีความคิดแบบเก่า
ที่ต้องจัดงานให้เป็นหน้าเป็นตา อย่าลืมว่าคุณเป็นฝ่ายผู้หญิง ผู้ใหญ่เลยมองตรงนี้มากกว่า
คุณหัวสมัยใหม่ คุณมามีชีวิตอยู่กรุงเทพ ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่อย่าลืมว่าญาติ ๆ คุณทั้งหมดเขายังต้องอยู่บ้านตรงนั้น
พวกเขาอาจจะต้องได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากปากคนก็ได้ ที่มีลูกหลานท้องก่อนแต่ง สังคมต่างจังหวัด
ยังไม่ได้สมัยใหม่และรับได้ทุกคนนะคะ
** คุณทำพลาด ผิดขั้นตอนการดำเนินชีวิตในสิ่งที่ผู้หญิงควรจะเป็น
กลับไม่มองความผิดพลาดของตัวเอง กลับพยายามเพ่งมองความผิดไปทางครอบครัว
ทั้งที่พวกเขาพยายามทำเพื่อคุณอยู่ เพราะท่านไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงแบบนั้นหรือ.
คุณถึงคิดด้านลบกับท่าน ... แต่อย่าลืมว่าอย่างน้อยท่านก็เลี้ยงคุณมานะคะ
ส่วนครอบครัวแฟน อย่าไปเห่อมาก ลองดูไปนาน ๆ ก่อนก็ได้นะคะ
ดูคุณเห็นใจโน่นนี่มากกว่าครอบครัวของตัวเองอีกนะคะ ...
ถ้าเราเป็นครอบครัวคุณ. ได้มาอ่านสิ่งที่คุณบรรยายมาในกระทู้นี้ คงเสียใจไม่น้อย
จึงอยากบอกให้คุณลองมองในอีกมุมดูบ้าง ว่าผู้ใหญ่บางคนท่านก็คิดไม่เหมือนคนรุ่นใหม่
อย่างน้อยเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณควรคำนึงถึงบ้างเท่านั้นเอง
ทางลุงกับป้า มุ่งหวังให้มีงานแต่ง เพื่อรักษาหน้าตาของคุณและครอบครัวไปพร้อมกัน
อย่าลืมว่าคุณท้องก่อนแต่ง ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนที่เห็นดีเห็นงามกับกรณีแบบนี้นะคะ
ท่านไม่ได้ว่ากล่าวคุณด้วยซ้ำ ที่ทำตัวไม่ถูกต้อง จึงอยากปกป้องคุณจากปากคนอื่นมากกว่า
เรื่องหน้าใหญ่จัดเลี้ยง 30 โต๊ะ ก็ยอมรับว่าเกินพอดีไปบ้าง แต่คงตามประสาผู้ใหญ่บางคนในต่างจังหวัด
คงอยากจัดแบบไม่ใช่งุบงิบแต่งงาน เรื่องทำบุญบ้านพร้อมไปด้วย. เราถือว่าไม่แปลกอะไร หลายคนเขาก็ทำกัน
เพราะนิมนต์พระมาแล้ว จึงทำพร้อมกันไปเลย ป้ายังมีน้ำใจที่จะแบ่งเงินสินสอดมาซื้อทองวางเป็นหน้าเป็นตา
และให้คุณเก็บไว้หรือขายก็แล้วแต่ ดูแล้วท่านคงไม่ได้จะงกเรื่องเงินเลยนะคะ เพียงแต่ยังมีความคิดแบบเก่า
ที่ต้องจัดงานให้เป็นหน้าเป็นตา อย่าลืมว่าคุณเป็นฝ่ายผู้หญิง ผู้ใหญ่เลยมองตรงนี้มากกว่า
คุณหัวสมัยใหม่ คุณมามีชีวิตอยู่กรุงเทพ ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่อย่าลืมว่าญาติ ๆ คุณทั้งหมดเขายังต้องอยู่บ้านตรงนั้น
พวกเขาอาจจะต้องได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากปากคนก็ได้ ที่มีลูกหลานท้องก่อนแต่ง สังคมต่างจังหวัด
ยังไม่ได้สมัยใหม่และรับได้ทุกคนนะคะ
** คุณทำพลาด ผิดขั้นตอนการดำเนินชีวิตในสิ่งที่ผู้หญิงควรจะเป็น
กลับไม่มองความผิดพลาดของตัวเอง กลับพยายามเพ่งมองความผิดไปทางครอบครัว
ทั้งที่พวกเขาพยายามทำเพื่อคุณอยู่ เพราะท่านไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงแบบนั้นหรือ.
คุณถึงคิดด้านลบกับท่าน ... แต่อย่าลืมว่าอย่างน้อยท่านก็เลี้ยงคุณมานะคะ
ส่วนครอบครัวแฟน อย่าไปเห่อมาก ลองดูไปนาน ๆ ก่อนก็ได้นะคะ
ดูคุณเห็นใจโน่นนี่มากกว่าครอบครัวของตัวเองอีกนะคะ ...
ถ้าเราเป็นครอบครัวคุณ. ได้มาอ่านสิ่งที่คุณบรรยายมาในกระทู้นี้ คงเสียใจไม่น้อย
จึงอยากบอกให้คุณลองมองในอีกมุมดูบ้าง ว่าผู้ใหญ่บางคนท่านก็คิดไม่เหมือนคนรุ่นใหม่
อย่างน้อยเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณควรคำนึงถึงบ้างเท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
กำลังจะแต่งงาน แต่รู้สึกว่าไม่อยากจัด เพราะครอบครัวฝ่ายเราเห็นแก่ได้ จะทำยังไง
-เงิน300,000 เราบอกไปว่าอาจมากหรือน้อยสำหรับคนอื่น ส่วนตัวพวกเรา มากจริงๆค่ะ เป็นเงินทั้งชีวิตลูกเลย ตองเข้าใจก่อนนะคะว่าครอบครัวเรากำหนดสินสอดบวกเวลาแค่สองเดือน งานเราไม่ใช่งานที่วางฤกษ์มาเป็นปีๆ คนอื่นไม่สามารถนำไปเทียบกับเรื่องของตัวได้
-โต้ะจีน30โต้ะไม่มีความหมายสำหรับเรา เพราะเรามีลูกอยู่ในท้อง ที่ถึงเวลางานแต่งก็อีกแค่4เดือนจะคลอดแล้วค่ะ ที่จะจัดโต้ะเรามองว่านั่นคือค่าทำคลอดเลย
-งานแต่งใครๆก็อยากทำให้ครอบครัวค่ะ แฟนกับเรายังตื่นเต้นไปด้วยเลยครั้งก่อนจะเจอปัญหา ถ้าเรามีเวลามากกว่าสองเดือนกับเงินในมือมากกว่าสามแสนแม้เเต่ตัวเราก็อยากจะหาเงินจัดให้เค้าเองค่ะ จะสี่ห้าสิบโต้ะมีอะไรที่เราจะเกี่ยงถ้ามีเงิน แต่ความจริงไม่มีค่ะ และครอบครัวเราเองก็ไม่ได้แสดงความว่าเป็นห่วงใครเลยแม้แต่ลูกเราในท้อง แฟนก็พอมองเห็น เลยถามว่าถึงตอนนั้นใครจะไม่มีที่หายใจ ก็คงเป็นเราที่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตอนเสร็จงาน
-เราออกงานสิ้นเดือนมีนาคม62 หางานใหม่สักพักจนได้เทรนงาน ช่วง4พค. วันนั้นรู้ว่าท้อง เทียบงานหนักกว่าที่เดิม เงินเดือนได้น้อยกว่าครึ่ง แฟนเลยให้ออกงานเพราะยังไงคลอดคุยกันแล้วว่าเราต้องเป็นคนเลี้ยงลูก จนกว่าจะเข้าเรียน และเราต้องกลับไปหางานทำ ไม่ใช่เราหวังพึ่งพช.100%เหมือนที่ใครว่าไว้นะคะ
-เมื่อวานเราตีดสินใจโทรคุย บอกเค้าว่าขอไม่เอาโต้ะ ถ้ายึดพิธีก็ทำแค่พิธีผูกแขนเลี้ยงพระเชิญญาติสนิทในละแวก แม่บอกไม่ได้พระจะฉันยังไง เราบอกงั้นเอาโต้ะมาแค่จำนวนพระ แม่เริ่มโวยวาย บอกงั้นไม่ต้องจัด เราเริ่มมีปากเสียง ตัดพ้อความน้ิอยใจที่เก็บไว้ก็เริ่มระบายออกมา เราถามว่าแม่เคยห่วงหลานมั้ยว่าออกมาหลานจะเอาตังไหนกิน ตอนนั้นเราก็ดราม่าร้องไห้แล้ว ถามแม่จะช่วยเหลือเค้ามั้ย จะช่วยได้เท่าไหร่ถึงไหน แม่ก็วนไปแต่บอกว่าไม่เคยที่ไม่ชวนญาติ เราบอกไปญาติ2ร้อยกว่าคนมีกี่คนที่เรารู้จักถึง20มั้ย เรื่องราวยื้อกันไปมาประมาณนี้จนถึงเราถามว่าแม่ไม่คิดว่านี่จะเหนื่อยเหรอ อุ้มท้อง5เดือนแล้วไล่ไหว้ใครที่ไม่รู้จักไปเรื่อยปเรื่ย คำที่ก้องในหูก่อนเราจะวางคือเค้าพูดว่า 5เดือนก็ช่างแม่_ เท่านั้นเราตัดสายและร้องหนักเลย เราคิดเป็นอื่นไม่ได้แล้ว
นอกจากเสียความรู้สึก เหมือนโทรไปตอกย้ำตัวเอง
-แต่อีกสักครึ่งชมเบอร์พ่อโทรมา(ลุง)เค้าถามว่าต้องการยังไง เราก็อธิบายซ้ำพูดถึงเหตุและผล เค้าบอกงั้นก็ตามนั้นก็ได้ งานก็ยังจะจัด ใจเราฟังโล่งมากแต่เราขอคุยกับแม่แม่ไม่คุย พ่อบอกเดี๋ยวจะไปพูดเอง (ทางบ้านเราส่วนมากพ่อปู่จะเกรงใจญ.หรือเมีย เมียว่าไงก็ต้องให้เมียจัดการ) เราอธิบายไปว่าพ่อต้องเข้าใจก่อนว่าเงินตรงนี้ถ้าเอาให้เขาหมดเราจะไม่เหลืออะไรให้ลูกเลย เราไม่อยากเป็นหนี้ในการเลี้ยงลูก ถ้าเรามี รอจนลูกคลอดเราจะกลับไปจัดให้ เราไม่ได้อยากจะอกตัญญู แต่เงินส่วนนี้คือทั้งชีวิตตอนนี้จริงๆ ถ้าเค้าอยากได้เราตั้งใจจะแบ่งไปเลยครึ่งนึง เอาเงินไปทำอะไรก็ได้ดีกว่าจะละลายทิ้ง
-แต่สิ่งนึงที่เราคิดผิดคือคิดว่าเขาไม่รัก คิดว่าจะไม่เหลือใครที่จะรับฟัง พ่อกลับบอกมาว่างั้นแกเอาเงินไปเลยเก็บไว้ให้หลานก่อน เราเลยตัดสินใจคุยกับพ่อว่ามีที่ที่เป็นของเราจากการที่ย่าแบ่งให้จากพ่อเราตายอยู่7ไร่ เราบอกจะแบ่งให้ รับไม่รับก็ขอแบ่งเพื่อความสบายใจที่เลี้ยงเรามา
-ตอนนี้มีความสบายใจที่กล้าจะพูดและบอกไปอย่างที่หลายๆคอมเม้นแนะนำมา ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าแม่จะร่วมงานหรือยอมรับในงานมั้ยเพราะโทรขอคุยแม่ยังไม่คุย เราก็หวังว่าอีกไม่ถึง2เดือนให้เวลาเขาทบทวนใจเย็นลงก่อนอะไรอะไรอาจจะดีขึ้น เราก็หวังที่จะยังกลับไปหาพวกเค้าได้นั่นแหละค่ะ เจตนาเราไม่ได้อยากให้มีอะไรบาดหมางอยู่แล้ว
-แต่เราอยากให้หลายคนมองว่าเรื่องปัญหาครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยากที่หลายคนจะเข้าใจในมุมมองเราหมด เลยตัดสินว่าเรามีปัญหามองอคติกับครอบครัว อย่าลืมว่าทุกคนโตมาไม่เหมือนกัน การที่เรามาลงกระทู้คือการที่สุดๆของเราจริงๆ เราไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้มาก่อน เพื่อนเรายังมองวขำว่าขนาดคนอย่างเรายังเอามาลง เพราะเราตันจริงๆในตอนนั้น ตั้งกระทู้ไม่ใช่หนทางระบายอย่างเดียวแต่ต้องการคำตอบหรือตอนจบที่พอจะไปกันได้ พื้นฐานแรงกดดันครอบครัวเราไม่เท่ากันบวกกับสังคมที่บ้านรอบข้างทั้งการเกือบโดนข่มขืนจากญาติในวัยเด็กและเราไม่เคยได้รับการปกป้องในวัยเด็ก ต้องปิดบังเพื่อหน้าตาทางบ้านกลายเป็นต้องเป็นเด็กหัวแข็งต่อสู้คนเดียวเรื่อยมา ไม่กล้าจะพูดจะขออะไนอีกเพราะเรื่องอดีตมันฝังว่าไม่มีใครจะรับฟัง ใครจะตีความว่ายังไงต่อไปเราก็สิ้นสุดแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทั้งข้อความหลังไมค์และคอมเม้นแนะนำนะคะ ถ้าไม่ได้จากตรงนี้ วันนี้เราอาจนอนอมทุกข์ยังหาทางแก้ไม่ได้หรอกค่ะ