เป็นไปได้ไหมที่ไทยจะครองเศรษฐกิจเวียดนามเเบบครบวงจร

ไปลงทุนในเวียดนามให้เยอะไปเทคโอเวอร์กิจการเวียดนามให้หมด ไม่ให้สินค้าเวียดนามมีที่ยืน 
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ตอนนี้ ค่าเงินบาทไทยแข็งมาก บางทีอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเงินบาทไทยกลับไปยืนที่ระดับ 27 บาทต่อดอลล่า เท่าๆกับตอนก่อนยุคต้มยำกุ้ง ซึ่งก็จะทำให้ไทยมีจีดีพีเกิน 12000 ดอลล่า/คน/ปี กลายเป็นประเทศรายได้สูงก่อนปี 2569(ตามที่ดร.คณิต เลขาฯโครงการEEC คาดการณ์ไว้)   

    ซึ่งถ้าตอนนี้เงินบาทอยู่ที่ 27บาท/ดอลล่า จีดีพีต่อหัวก็ไปถึงทันทีเลยนะ คิดเล่นๆ..แต่แบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะคงหากินลำบากขึ้นมาก ทั้งส่งออกและท่องเที่ยว ดังนั้นแบงค์ชาติก็คงต้องรีบสนับสนุนทางอ้อม ให้บริษัทใหญ่ๆของไทยออกไปซื้อกิจการดีๆในต่างประเทศ เพื่อให้ทุนสำรองที่มีถึง สองแสนสี่หมื่นล้านเหรียญ และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น อีกปีละเกือบๆห้าหมื่นล้านเหรียญ (เวียดนามมีทุนสำรองหกหมื่นล้านเหรียญ) ขืนไม่ใช้เงินก้อนใหญ่ๆออกไปซื้อหรือลงทุนต่างประเทศเลย อีกแค่สี่ปี ไทยอาจมีทุนสำรองเกินสี่แสนล้านเหรียญก็ได้(แซงสิงคโปร์(2.7แสนล้าน /และตลาดหุ้นไทยก็จะแซงขึ้นมาเป็นเบอร์1อาเซียนในอีกสามปีข้างหน้าด้วย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด) ขึ้นมาเท่าๆกับไต้หวัน เกาหลีใต้ในตอนนี้ แต่สองประเทศนี้เค้าก็น่าจะทุนสำรองเพิ่มอีกมาก อาจเพิ่มช้ากว่าไทยบ้าง เพราะเค้าแค่เกินดุลการค้า แต่ไม่มีเงินเกินดุลท่องเที่ยวแบบไทย ที่ได้เงินง่ายๆแบบนี้ปีละเกือบๆสี่หมื่นล้านเหรียญ)

     ดังนั้น ก็อาจได้เห็นบริษัทไทยออกไปซื้อกิจการในอาเซี่ยนเพิ่มขึ้นอีก คล้ายๆปี 60 แต่ปัญหาคือ บ.ไทยชอบซื้อแต่แบบพวก ค้าปลีก ค้าส่ง   โลจีสติกส์ขนส่ง ซึ่งเป็นหัวใจและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเพื่อนบ้าน มันดูน่ากลัวและไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เกาหลีลงทุนในเวียดนามมากกว่าไทยเป็นสิบๆเท่า แต่คนเวียดนามคงไม่รู้สึกเหมือนบริษัทไทยแน่ๆ  ซึ่งคำถามของเจ้าของกระทู้นั้น คงทำได้ยาก เพราะหลังจากนี้ ถ้าไม่เกิดวิกฤติในเวียดนามจริงๆ เค้าคงไม่ปล่อยให้บริษัทไทยซื้อธุรกิจหลักๆแบบนี้ไปอีกแน่ๆ (อย่างตอนนี้มาเลเซียมีปัญหา เลยยอมปล่อยให้ ปตท.สผ. ไปซื้อหุ้น 100%จากบ.เมอฟี่(สองหมื่นล้านบาท) เจ้าของสัมปทานบ่อน้ำมันและแกสในบอร์เนียว ทำให้ปตท.มีสำรองน้ำมันและแกสมากเป็นอันดับสามในมาเลเซียในทันที)

      ตอนนี้ สำหรับไทย คงมองเป้าหมายไปที่การโตแล้วเรียนลัด ด้วยการซื้อ บริษัทวิจัยฯ หรือบริษัทที่มีสิทธิบัตรเทคโนโลยี่ต่างๆมากกว่า อย่างที่ ปูนใหญ่ไปซื้อบ.วิจัยด้านวัสดุยุคใหม่ในนอร์เวย์ ไทยยูเนี่ยนไปซื้อบ.วิจัยด้านอาหาร และบริษัทที่มีสิทธิบัตรด้านอาหาร ในหลายประเทศในยุโรป EA ไปซื่อบริษัทที่มีสิทธิบัตรแบตฯลิเธียม และบริษัทวิจัยฯมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า ในไต้หวัน ส่วนปตท.นี่ตอนนี้ซื้อดะเลย ทั้งบริษัททั้งเทคโนโลยี่ ทั้งคนเก่งๆ แต่ซีพีดูเหมือนจะใช้วิธีร่วมลงทุนมากกว่า(แล้วค่อยดูด..) ฯลฯ โดยส่วนตัวเชื่อว่า การซื้อบริษัทในเวียดนามหรือในอาเซียนคงน้อยลง(นอกจากจะมีส้มหล่นลูกสวยๆ แล้วรัฐบาลประเทศนั้นๆไม่ต่อต้าน)  แต่ในห้าปีนับจากนี้ น่าจะได้เห็นบริษัทของไทยเข้าไปซื้อบ.ที่มีเทคโนโลยี่ชั้นสูง ทั้งแบบทางตรงและทางลับ แบบที่เป็นระลอกๆ และเป็นพายุในบางช่วง

      ซึ่งในปี 64-65 นี้ อาจจะเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งสำคัญของไทยเรา เพราะจะเป็นปีที่ งบวิจัยฯของไทยจะเกิน1.5% ซึ่งในทางทฤษฎี ก็จะถือว่าไทยเราเริ่มกลายเป็นประเทศที่ผลิตนวัตกรรมใหม่ๆแล้ว เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทย(น่า)จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน(แซงสิงคโปร์-ที่มีบ.จากไทย(ไทยเบฟ) และมาเลเซียไปจดทะเบียนอยู่ด้วย)  กลายเป็นประเทศที่ใช้การขนส่งทางรางในระดับใกล้เคียงกับประเทศชั้นนำทั่วโลก(ทำให้ต้นทุนต่ำลง) และหลังจากที่สาธารณูปโภคในโครงการอีอีซีเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ก็จะทำให้มีการลงทุนสร้างเมืองใหม่สมาร์ทซิตื้ พร้อมกันในหลายจุด ทำให้จีดีพีโต(อาจจะ)ขึ้นสูงมากเป็นประวัติการณ์ คนชนบทจะย้ายเข้าเมืองมากขึ้น อาชีพรายได้สูงมีตำแหน่งงานมากขึ้น ไทยอาจจะเรื่มกลายเป็นประเทศการค้าอย่างชัดเจนมากขึ้น (แต่ปัญหาสังคมก็คงจะตามมาอย่างมากมายมหาศาลด้วย)

         ทั้งนี้ การคาดการณ์ในแง่ดีมากเหล่านี้ อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ถ้าสงครามการค้าระดับโลกลุกลาม หรือปัญหาการเมืองในประเทศย้อนกลับมากอีกครั้ง .....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่