**ขออภัยก่อนล่วงหน้าที่บทความในกระทู้จะไม่มีภาพประกอบอะไรเลยนอกจากข้อความล้วนๆ เพราะรีบแจ้นสมัครพันทิปมาเพื่อเล่าความรู้สึกอย่างเดียว ดังนั้นจึงอาจลายตาและไม่น่าอ่านเท่าไหร่ แต่นี่ก็คือสิ่งที่ผมได้จากการดูหนังเรื่องนี้ ขออภัยอีกครั้งที่ใช้ประเภทกระทู้ตั้งคำถาม ผมจะพยายามเขียนให้ดีที่สุดครับ ขอบคุณครับ**
.
.
ในบรรดาบาดแผลทางอารมณ์ รอยประทับทางจิตใจที่รวดร้าวและเรามักจะจดจำได้มากที่สุด นั่นก็คือความธรรมดา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่
แต่เป็นเพราะมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเราประสบพบเจอกับสิ่งจริงเหล่านั้นอย่างจริงจัง ดังนั้นความสำคัญเรื่องผลกระทบหรือมุมมองจากคนรอบนอก จะมองว่า 'มันเล็กน้อย' หรือเป็นเรื่องที่แลดูอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ต้องเผชิญและแบกรับของหนักไว้ สำหรับใครบางคนแล้ว เรื่องขี้ปะติ้วอันน้อยนิดของคุณนั้น อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยแบกรับมาเลยก็ได้
ความธรรมดาจึงลึกซึ้งมากกว่าความรู้สึกใดในโลก
เพราะด้วยความที่มันธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าฉากละครชีวิตทั่วไป รอยแผลนี้จึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้างอย่างน่าเสียดาย และมีน้อยคนนักที่จะเข้าใจหรือพยายามเข้าหาความรู้สึกของเราจริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องตลกร้าย ที่บางครั้งในชีวิตก็พัดพาเอาคนเหล่านั้นเข้ามา คนที่พร้อมจะช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของเราอย่างใจจริง แต่เรากลับมองข้าม ก่อนทิ้งระยะห่างออกจากเขาคนนั้นอย่างน่าเวทนา และจมอยู่กับแรงดูดดึงทางความเชื่อของตัวเอง
ข้อความเหล่านี้ต่างทำให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของ 'ซู-เบล ในภาพยนตร์เรื่อง " Where we belong " ผลงานการเขียนบทและกำกับเรื่องล่าสุดของ " คงเดช จาตุรันต์รัศมี " ที่ทั้งเป็นงานประเดิมฝีมือการทำหนังใหญ่เรื่องแรกของค่ายหนังใหม่แกะกล่องอย่าง " BNK48 ฟิล์ม" โดยมีนักแสดงนำอย่าง เจนนิษฐ์ โอ๋ประเสริฐและแพรวา สุธรรมพงษ์ เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก
โดยที่ตลอดการดำเนินเรื่อง หนังจะพาเราดำดิ่งลงไปถึงชีวิตและเรื่องราวหลายสิ่งของ 'ซู' หญิงมัธยมปลายที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอก อันเนื่องมาจากเหตุผลที่เธออยากหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไกลห่างจากความล้มเหลวทั้งทางความสัมพันธ์และจิตใจที่เธอมีต่อคนรอบข้าง ด้วยแรงผลักดันอย่างนั้นบวกกับแวดล้อมที่ไม่เป็นใจต่อชีวิตมากเท่าที่คาดหวัง ปลายทางในอีกโลกนึงข้างหน้าจึงอาจเป็นความหวังใหม่ที่ดูดีมากยิ่งกว่า และในระยะเวลา 2 ชม.นิดๆ เราจะได้เห็นปัจจัยเหตุผลย่อยอีกมากที่เป็นตัวจุดประกายให้เธอเกลียดที่นี่
ในขณะที่มวลอารมณ์ของซูเต็มไปด้วยความสับสน อีกด้านทางความสัมพันธ์ที่เป็นเหมือนผู้แบ่งเบาความเหนื่อยหนัก และมิตรสหายคนสนิทที่ทุ่มสุดใจให้กับหญิงสาวเพื่อนรักอย่าง 'เบล' เพื่อนสาวแก่นห้าวที่มีสัมพันธ์มิตรภาพ และความรู้สึกห่วงหาอยู่ลึกๆ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ความรู้สึกเชิงชู้สาว หรือเรื่องรักใคร่ที่จะเจริญไปเป็นความมักชอบในภายหลัง แต่ความรู้สึกของเบลที่มีต่อซูนั้นกลับมีความซับซ้อนมากกว่าเท่าที่เห็นภายนอก เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าเพื่อนไปมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะอยากเป็นเจ้าครองชีวิตใครอย่างแฟนหรือสถานะคู่รัก
เบลเป็นคนที่ให้ความรักกับคนอื่นอย่างเต็มร้อย โดยเฉพาะกับซูที่เธอพร้อมยืดอกเข้าช่วยเต็มที่ คือการทุ่มเทให้อย่างคนรักทั่วไป และเธอก็ปฏิบัติกับซูอย่างที่เพื่อนรักจะทำให้แก่กัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม แต่ลึกในความคิดของเบลนั้น เธอก็รู้ว่าลึกๆแล้วซูคิดอย่างไรกับตน จึงมีระยะห่างเล็กๆที่กั้นความเข้าใจของทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ปมและปัญหาบางส่วนของซูไม่อาจทำให้เบลเข้าใจได้อย่างแท้จริง
ซึ่งหากจะว่ากันตามตรง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ใช่อะไรใหม่ในสังคม นับว่าเป็นอีกเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ในแวดวงความสัมพันธ์ฉันเพื่อน หรือจะเรียกว่าเป็นอีกสิ่งธรรมดาที่ไม่แปลกหากหยิบยกมาพูดถึง แต่เมื่อคุณลองย้อนดูความหมายเรื่องความลึกซึ้ง และภาวะเจ็บปวดอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ผสมกับที่หากนี่คือกระทู้ที่คุณอ่านหลังจากชมภาพยนตร์มาแล้ว คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความธรรมดานี้ถึงทำให้เรารู้สึกเจ็บและหน่วงกับมันได้
ร้อยเรื่องราวความรู้สึกถูกเล่าผ่านจอเงินอยู่เป็นระยะๆ เราจึงค่อยๆเห็นปูมหลังของซูและเบล ทั้งเรื่องวงดนตรีที่ร่วมก่อตั้งกันในกลุ่มเพื่อน ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับทั้งทางครอบครัวของซูและของเบล / มิวเพื่อนสนิทเก่าที่มองหน้ากันไม่ติด กับปมประเด็นหนักอึ้งเรื่องของแม่ ซึ่งประเด็นเรื่องแม่ของทั้งสองก็ถูกขยายความและเล่าเรื่องให้เห็นถึงความรู้สึกภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซู ที่แม่ของเธอไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ตนรักที่สุดในชีวิต หากแต่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ไม่ทำให้ใจเธอแตกสลาย ซู-เบล จึงต้องประคับประคองเรื่องของกันและกันให้ผ่านพ้นไปให้ได้ พยายามทรงตัวอยู่บนเส้นเกี่ยวขึงที่ขว้างกันระหว่างความสุขและความเศร้า และอย่างที่เรารู้กัน ว่าท้ายที่สุด ซูก็ไม่อาจยืนอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ปล่อยวางจากความเป็นจริงได้ และนั่นจึงเปรียบเสมือนแผลในใจของเบลอันโต ที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนของเธอให้ผ่านพ้นไปได้
ท้ายที่สุดการให้ใจไปเกินร้อยนั้น
ก็ไม่อาจนำมาซึ่งความสุขตามที่คาดหวัง และเมื่อไม่ได้เผื่อใจในยามผิดหวัง เราจึงเจ็บปวดกับมันมากมายทีเดียว
เพลง Let u go ดังขึ้นในตอนจบของท้ายเรื่อง ชีวิตของเบลจึงต้องเดินทางต่อไป พร้อมกับการเติบโตใหม่ที่รออีกหลายสิ่งให้เธอต้องเผชิญ พบเจอกับเรื่องธรรมดาอีกมากที่ต้องเรียนรู้..
Where we belong (Spoil) ที่ตรงนั้นของเบล ?
.
.
ในบรรดาบาดแผลทางอารมณ์ รอยประทับทางจิตใจที่รวดร้าวและเรามักจะจดจำได้มากที่สุด นั่นก็คือความธรรมดา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่
แต่เป็นเพราะมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเราประสบพบเจอกับสิ่งจริงเหล่านั้นอย่างจริงจัง ดังนั้นความสำคัญเรื่องผลกระทบหรือมุมมองจากคนรอบนอก จะมองว่า 'มันเล็กน้อย' หรือเป็นเรื่องที่แลดูอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่ต้องเผชิญและแบกรับของหนักไว้ สำหรับใครบางคนแล้ว เรื่องขี้ปะติ้วอันน้อยนิดของคุณนั้น อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยแบกรับมาเลยก็ได้
ความธรรมดาจึงลึกซึ้งมากกว่าความรู้สึกใดในโลก
เพราะด้วยความที่มันธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าฉากละครชีวิตทั่วไป รอยแผลนี้จึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้างอย่างน่าเสียดาย และมีน้อยคนนักที่จะเข้าใจหรือพยายามเข้าหาความรู้สึกของเราจริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องตลกร้าย ที่บางครั้งในชีวิตก็พัดพาเอาคนเหล่านั้นเข้ามา คนที่พร้อมจะช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของเราอย่างใจจริง แต่เรากลับมองข้าม ก่อนทิ้งระยะห่างออกจากเขาคนนั้นอย่างน่าเวทนา และจมอยู่กับแรงดูดดึงทางความเชื่อของตัวเอง
ข้อความเหล่านี้ต่างทำให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของ 'ซู-เบล ในภาพยนตร์เรื่อง " Where we belong " ผลงานการเขียนบทและกำกับเรื่องล่าสุดของ " คงเดช จาตุรันต์รัศมี " ที่ทั้งเป็นงานประเดิมฝีมือการทำหนังใหญ่เรื่องแรกของค่ายหนังใหม่แกะกล่องอย่าง " BNK48 ฟิล์ม" โดยมีนักแสดงนำอย่าง เจนนิษฐ์ โอ๋ประเสริฐและแพรวา สุธรรมพงษ์ เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก
โดยที่ตลอดการดำเนินเรื่อง หนังจะพาเราดำดิ่งลงไปถึงชีวิตและเรื่องราวหลายสิ่งของ 'ซู' หญิงมัธยมปลายที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอก อันเนื่องมาจากเหตุผลที่เธออยากหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไกลห่างจากความล้มเหลวทั้งทางความสัมพันธ์และจิตใจที่เธอมีต่อคนรอบข้าง ด้วยแรงผลักดันอย่างนั้นบวกกับแวดล้อมที่ไม่เป็นใจต่อชีวิตมากเท่าที่คาดหวัง ปลายทางในอีกโลกนึงข้างหน้าจึงอาจเป็นความหวังใหม่ที่ดูดีมากยิ่งกว่า และในระยะเวลา 2 ชม.นิดๆ เราจะได้เห็นปัจจัยเหตุผลย่อยอีกมากที่เป็นตัวจุดประกายให้เธอเกลียดที่นี่
ในขณะที่มวลอารมณ์ของซูเต็มไปด้วยความสับสน อีกด้านทางความสัมพันธ์ที่เป็นเหมือนผู้แบ่งเบาความเหนื่อยหนัก และมิตรสหายคนสนิทที่ทุ่มสุดใจให้กับหญิงสาวเพื่อนรักอย่าง 'เบล' เพื่อนสาวแก่นห้าวที่มีสัมพันธ์มิตรภาพ และความรู้สึกห่วงหาอยู่ลึกๆ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ความรู้สึกเชิงชู้สาว หรือเรื่องรักใคร่ที่จะเจริญไปเป็นความมักชอบในภายหลัง แต่ความรู้สึกของเบลที่มีต่อซูนั้นกลับมีความซับซ้อนมากกว่าเท่าที่เห็นภายนอก เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าเพื่อนไปมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะอยากเป็นเจ้าครองชีวิตใครอย่างแฟนหรือสถานะคู่รัก
เบลเป็นคนที่ให้ความรักกับคนอื่นอย่างเต็มร้อย โดยเฉพาะกับซูที่เธอพร้อมยืดอกเข้าช่วยเต็มที่ คือการทุ่มเทให้อย่างคนรักทั่วไป และเธอก็ปฏิบัติกับซูอย่างที่เพื่อนรักจะทำให้แก่กัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม แต่ลึกในความคิดของเบลนั้น เธอก็รู้ว่าลึกๆแล้วซูคิดอย่างไรกับตน จึงมีระยะห่างเล็กๆที่กั้นความเข้าใจของทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ปมและปัญหาบางส่วนของซูไม่อาจทำให้เบลเข้าใจได้อย่างแท้จริง
ซึ่งหากจะว่ากันตามตรง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ใช่อะไรใหม่ในสังคม นับว่าเป็นอีกเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ในแวดวงความสัมพันธ์ฉันเพื่อน หรือจะเรียกว่าเป็นอีกสิ่งธรรมดาที่ไม่แปลกหากหยิบยกมาพูดถึง แต่เมื่อคุณลองย้อนดูความหมายเรื่องความลึกซึ้ง และภาวะเจ็บปวดอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ผสมกับที่หากนี่คือกระทู้ที่คุณอ่านหลังจากชมภาพยนตร์มาแล้ว คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความธรรมดานี้ถึงทำให้เรารู้สึกเจ็บและหน่วงกับมันได้
ร้อยเรื่องราวความรู้สึกถูกเล่าผ่านจอเงินอยู่เป็นระยะๆ เราจึงค่อยๆเห็นปูมหลังของซูและเบล ทั้งเรื่องวงดนตรีที่ร่วมก่อตั้งกันในกลุ่มเพื่อน ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับทั้งทางครอบครัวของซูและของเบล / มิวเพื่อนสนิทเก่าที่มองหน้ากันไม่ติด กับปมประเด็นหนักอึ้งเรื่องของแม่ ซึ่งประเด็นเรื่องแม่ของทั้งสองก็ถูกขยายความและเล่าเรื่องให้เห็นถึงความรู้สึกภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซู ที่แม่ของเธอไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ตนรักที่สุดในชีวิต หากแต่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ไม่ทำให้ใจเธอแตกสลาย ซู-เบล จึงต้องประคับประคองเรื่องของกันและกันให้ผ่านพ้นไปให้ได้ พยายามทรงตัวอยู่บนเส้นเกี่ยวขึงที่ขว้างกันระหว่างความสุขและความเศร้า และอย่างที่เรารู้กัน ว่าท้ายที่สุด ซูก็ไม่อาจยืนอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ปล่อยวางจากความเป็นจริงได้ และนั่นจึงเปรียบเสมือนแผลในใจของเบลอันโต ที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนของเธอให้ผ่านพ้นไปได้
ท้ายที่สุดการให้ใจไปเกินร้อยนั้น
ก็ไม่อาจนำมาซึ่งความสุขตามที่คาดหวัง และเมื่อไม่ได้เผื่อใจในยามผิดหวัง เราจึงเจ็บปวดกับมันมากมายทีเดียว
เพลง Let u go ดังขึ้นในตอนจบของท้ายเรื่อง ชีวิตของเบลจึงต้องเดินทางต่อไป พร้อมกับการเติบโตใหม่ที่รออีกหลายสิ่งให้เธอต้องเผชิญ พบเจอกับเรื่องธรรมดาอีกมากที่ต้องเรียนรู้..