เริ่มต้นจาก
ผมเป็นคนที่รักแมวมาก เคยเลี้ยงมาแล้ว 2 ตัว เมื่อหลายปีก่อน
และมาตอนนี้ ผมซื้อคอนโดอยู่
เค้าอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ครับ
ผมจึงปรึกษากับภรรยา
ว่าอยากได้แมวสักตัวมาเลี้ยง
เพื่อเค้าจะได้เป็นเพื่อนเรา
ทำให้เรายิ้มได้ (แมวบำบัดอาการเครียด ซึมเศร้าได้นะครับ)
จึงหาข้อมูลต่างๆผ่านทางหน้าเว็บไซต์
ก็พบการเตือนภัยการซื้อสัตว์เลี้ยงจากจตุจักรอยู่มากมายเหลือเกิน
ซึ่งตอบตรงๆว่า
ผมเองเชื่อนะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ
แต่บังเอิญว่า วันนั้นผมกับภรรยาไปเดินจตุจักรกัน
แล้วไปพบเจ้าขายแมวเจ้าหนึ่ง
มีเปอร์เซียน่ารักๆอยู่หลายตัวทีเดียว
ทาสแมวอย่างผม มีเหรอที่จะอดใจเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้
แล้วบังเอิญมีอยู่ตัวนึง เพศเมีย 3 สี ตัวอ้วนกลม สดใส
ร่าเริงมาก เค้ามาอ้อนมาคลอเคลีย
เล่นด้วยเหมือนสนิทกันมานาน
เลยหลงรักสิครับ อดใจไม่ไหว
ภรรยาเลยเอ่ยปากว่า อยากได้ไหม จะซื้อให้
ผมก็ตัดสินใจอยู่นานทีเดียว
เพราะกลัวจะเหมือนกับเพื่อนๆที่เคยโพสต์เตือนภัยกันไว้
แต่ก็คิดอีกอย่างคือ ถ้าเจ้าของแมวเค้าเลี้ยงแมวไม่ดีจริงๆ
ไปอยู่กับผม ผมจะเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด
จึงจ่ายค่าสินสอดไป 3800 บาท (จาก 4500)
ภรรยาตั้งชื่อให้มันว่า ถุงทอง
และภรรยาผมก็นอนกับถุงทองทุกวัน
จากคนที่ไม่ได้พิศวาสแมวหรือสัตว์อะไรมากนัก
ภรรยาผมก็หลงรักเจ้าถุงทองอย่างเต็มใจ
เพราะความน่ารักแสนซนของมัน
มาอยู่กับผมคืนวันศุกร์ (ราวๆ 4 ทุ่มกว่าๆ ถ้าจำไม่ผิด)
สดใสร่าเริงมาก
วันอาทิตย์ก็ยังสดใสร่าเริงเช่นเคย
ผมกับภรรยาจึงไปหาบ้าน
หาคอนโด หาของเล่นให้เค้า (แพงพอสมควร)
และกะว่า วันจันทร์ผมจะพาเค้าไปฉีดวัคซีน
(คนขายบอกว่า ให้พาไปฉีดเลยภายใน 2-3 วัน ไม่ต้องรอ 1 สัปดาห์ เหมือนที่สัตวแพทย์บอก)
พอเช้าวันจันทร์ผมไปทำงานตามปกติ
ให้น้องถุงทองอยู่บ้าน
เปิดพัดลมให้ถ่ายเทอากาศ ข้าวน้ำ พร้อม
(ถุงทองวิ่งมาส่งถึงหน้าประตู ร้องเมี้ยวๆ บอกอยากไปด้วย)
พอกลับมาถึงห้องตอนเย็นนี่สิครับ
เค้าดูหงอยเหงา
ไม่สดชื่นเลย เปลี่ยนจากที่เคยร่าเริง
วิ่งเล่นทั่วห้อง เป็นนอนซมตลอดเวลา
ตกค่ำมาก็ไม่ไหวแล้ว เค้าดูป่วยแน่ๆ
ซึมมาก ผมอดใจไม่ไหว
นั่งรอดูอาการเค้าจนเที่ยงคืนกว่า รู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว
(แมวจะรักษาตัวมันเอง หากไม่ป่วยหนัก)
จึงพาไปที่โรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อ
(โรงบาลหรูมาก เพราะเปิด 24 ชั่วโมง แต่ค่ารักษาครั้งนี้ ถูกมากกกกก แค่ 6 ร้อยเอง)
หมอบอก ไม่น่าเป็นอะไรนะครับ
รับมานานหรือยัง
น้องอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ฉีดวัคซีนตอนนี้ก็ไม่ได้
เพราะน้องป่วยอยู่ ผมจึงพากลับมาที่คอนโด
ก็ดูเค้าสดใสขึ้นมาก (เหมือนกลัวหมอฉีดยา) แต่สิ่งที่แปลกไปคือ
ไม่ยอมกินข้าวเองเลย
ผมต้องป้อนวันละ 4-5 มื้อ ตามหมอสั่ง
แล้วอาการของเค้าก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา 1 สัปดาห์กว่าๆ ผมต้องพาไปหาหมออีก 2-3 ครั้งหลังจากนั้น
หมดค่ารักษาไปเกือบหมื่น
ระหว่างที่น้องป่วยนั้น
ผมก็ได้โทรคุยกับคนขาย
ซึ่งเค้าบอกเสมอตั้งแต่ตอนไปซื้อแล้วว่า
"หากน้องป่วย กินน้อยลง อย่าพาไปหาหมอเด็ดขาด ให้พามาหาผม เพราะสัตวแพทย์ชุ่ยมาก (คำพูดของเค้านะครับ) ฉีดยามั่ว
แล้วพอแมวตาย ลูกค้าก็มาโทษผม ว่าผมเอาแมวป่วยมาขาย ย้อมแมวขาย"
เค้าพูดประมาณนี้อยู่ตลอดเวลา เค้าคะยั้นคะยอให้ผมเอาแมวไปให้เค้ารักษาอย่างมาก
โทรจิกผมเลยก็ว่าได้
ห้ามเด็ดขาดว่าห้ามไปหาหมอ
พี่สะไภ้ผมเป็นสัตวแพทย์ ก็ยัง งง ว่า
ทำไมถึงอคติกับสัตวแพทย์มากขนาดนั้น
จนผมเริ่มสงสัยว่า การที่เค้าพูดดักลูกค้าที่มาซื้อแมวกับเค้าทุกคนว่า
ห้ามพาไปหาหมอ ให้พาไปหาเค้าเนี่ยแสดงว่าเค้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าแมวเค้าไม่สบาย แต่ก็ยังเอามาขาย ไม่ยอมรักษา
สุดท้าย
สิ่งที่ผมกับภรรยาเสียใจที่สุดก็เกิดขึ้น
ในวันนั้น ถุงทองดูไม่ไหวแล้ว
เดินแทบไม่ได้ หมดแรง
น้ำหนักลดฮวบ อายุเกือบ 3 เดือน แต่หนักแค่ 400 กรัม (มีแต่กระดูก จากตอนแรกอ้วนกลมมาเลย)
ผมจึงพาไปหามออีกครั้ง
และยอมให้แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเลย
ซึ่งค่าแอดมิดแพงมาก และหากต้องเพิ่มยาก็จะแพงขึ้นไปอีก
เบื้องต้นค่ารักษานอน 1 คืน ประมาณ 4-5 พันบาท เค้าให้มัดจำก่อน 5 พัน ภรรยาผมก็ยอมจ่ายให้
ทั้งๆที่ตอนนั้นก็แทบไม่มีเงินกันแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น ช่วงเวลาสายๆ
หมอโทรมาบอกว่า
น้องอาการไม่ดีอย่างมาก เกล็ดเลือดต่ำมาก
น่าจะเป็นไข้หัดแมว
ต้องให้เกล็ดเลือดและให้ยาเพิ่ม
ซึ่งหากรักษาขั้นตอนนั้นต่อ หมอก็บอกว่า โอกาสรอดก็น้อยมาก
เพราะโรคนี้แรงมาก และค่ารักษาจะเพิ่มอีกเกือบ 1 หมื่น
ผมจนปัญญาครับ จึงขอให้คุณหมอรักษาได้เท่าที่ให้ผมได้
คุณหมอน่ารักมาก
เค้าไปหายาและเกล็ดเลือดที่เหลือจากการรักษาเคสอื่น มารักษาให้ถุงทอง
แต่ระหว่างการให้เกล็ดเลือดนั้น
หมอก็โทรมาบอกว่า น้องไม่ไหวแล้ว
น้องทนอาการจากโรคไม่ได้
หมอกำลังให้เกล็ดเลือดอยู่
น้องก็ช็อคแล้วก็จากไปแล้วนะคะ
ผมกำลังประชุมอยู่
ถึงกับต้องขอออกจากห้องประชุม
ออกมานั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆใต้ต้นไม้
เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
ภรรยาผมก็ได้รับข่าวร้ายก็เสียใจร้องไห้เช่นกัน
สุดท้าย หลังเลิกงาน
ผมต้องกลับไปที่โรงพยาบาลไปรับถุงทองกลับบ้าน
ถุงทองไม่หายใจแล้ว
คุณหมอห่อด้วยผ้าที่ผมนำติดตัวไปตั้งแต่รักษา
และใส่กระเป๋าบ้านของถุงทองกลับมาให้เช่นเดิม
น้ำตาไหลอย่างกับสายน้ำ
ผมและภรรยาเสียใจมาก
ขับรถกลับบ้านก็นั่งร้องไห้กันตลอดทาง
พอถึงบ้าน ผมจึงไปขอยืมจอบจากพ่อบ้าน
ขุดหลุมฝังร่างถุงทอง
พร้อมของเล่นของเค้าไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วคอนโด
ให้ถุงทองยังอยู่ใกล้ๆเราเสมอ
จนทุกวันนี้ ผ่านไป 3 เดือนกว่าแล้ว
ทุกครั้งที่คิดถึง น้ำตายังไหลอยู่เลย
ผมไม่รู้จะโกรธหรือเกลียดคนขายคนนั้นดี
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย. 62) ผมก็ไปจตุจักรอีก
ไปเดินดูของตกแต่งเข้าร้านก็ไปเจอกับคนขายคนนี้ ตั้งร้านอยู่บริเวณเดิม
มีคนสนใจมากมาย ยืมรุมเต็มร้าน
และประโยคเด็ดที่ผมได้ยินเต็มสองหู คือ
"หากน้องป่วย หรือ ไม่สบาย ผมขอล่ะครับ อย่าพาไปหาหมอเด็ดขาด ให้พามาหาผม ผมจะรักษาให้ฟรี"
RIP ถุงทองที่รัก
ซื้อแมว จตุจักร เตือนภัยรอบที่ 108 เสียใจมากกกกกกกกกกกกกก
ผมเป็นคนที่รักแมวมาก เคยเลี้ยงมาแล้ว 2 ตัว เมื่อหลายปีก่อน
และมาตอนนี้ ผมซื้อคอนโดอยู่
เค้าอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ครับ
ผมจึงปรึกษากับภรรยา
ว่าอยากได้แมวสักตัวมาเลี้ยง
เพื่อเค้าจะได้เป็นเพื่อนเรา
ทำให้เรายิ้มได้ (แมวบำบัดอาการเครียด ซึมเศร้าได้นะครับ)
จึงหาข้อมูลต่างๆผ่านทางหน้าเว็บไซต์
ก็พบการเตือนภัยการซื้อสัตว์เลี้ยงจากจตุจักรอยู่มากมายเหลือเกิน
ซึ่งตอบตรงๆว่า
ผมเองเชื่อนะ ไม่ใช่ไม่เชื่อ
แต่บังเอิญว่า วันนั้นผมกับภรรยาไปเดินจตุจักรกัน
แล้วไปพบเจ้าขายแมวเจ้าหนึ่ง
มีเปอร์เซียน่ารักๆอยู่หลายตัวทีเดียว
ทาสแมวอย่างผม มีเหรอที่จะอดใจเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้
แล้วบังเอิญมีอยู่ตัวนึง เพศเมีย 3 สี ตัวอ้วนกลม สดใส
ร่าเริงมาก เค้ามาอ้อนมาคลอเคลีย
เล่นด้วยเหมือนสนิทกันมานาน
เลยหลงรักสิครับ อดใจไม่ไหว
ภรรยาเลยเอ่ยปากว่า อยากได้ไหม จะซื้อให้
ผมก็ตัดสินใจอยู่นานทีเดียว
เพราะกลัวจะเหมือนกับเพื่อนๆที่เคยโพสต์เตือนภัยกันไว้
แต่ก็คิดอีกอย่างคือ ถ้าเจ้าของแมวเค้าเลี้ยงแมวไม่ดีจริงๆ
ไปอยู่กับผม ผมจะเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด
จึงจ่ายค่าสินสอดไป 3800 บาท (จาก 4500)
ภรรยาตั้งชื่อให้มันว่า ถุงทอง
และภรรยาผมก็นอนกับถุงทองทุกวัน
จากคนที่ไม่ได้พิศวาสแมวหรือสัตว์อะไรมากนัก
ภรรยาผมก็หลงรักเจ้าถุงทองอย่างเต็มใจ
เพราะความน่ารักแสนซนของมัน
มาอยู่กับผมคืนวันศุกร์ (ราวๆ 4 ทุ่มกว่าๆ ถ้าจำไม่ผิด)
สดใสร่าเริงมาก
วันอาทิตย์ก็ยังสดใสร่าเริงเช่นเคย
ผมกับภรรยาจึงไปหาบ้าน
หาคอนโด หาของเล่นให้เค้า (แพงพอสมควร)
และกะว่า วันจันทร์ผมจะพาเค้าไปฉีดวัคซีน
(คนขายบอกว่า ให้พาไปฉีดเลยภายใน 2-3 วัน ไม่ต้องรอ 1 สัปดาห์ เหมือนที่สัตวแพทย์บอก)
พอเช้าวันจันทร์ผมไปทำงานตามปกติ
ให้น้องถุงทองอยู่บ้าน
เปิดพัดลมให้ถ่ายเทอากาศ ข้าวน้ำ พร้อม
(ถุงทองวิ่งมาส่งถึงหน้าประตู ร้องเมี้ยวๆ บอกอยากไปด้วย)
พอกลับมาถึงห้องตอนเย็นนี่สิครับ
เค้าดูหงอยเหงา
ไม่สดชื่นเลย เปลี่ยนจากที่เคยร่าเริง
วิ่งเล่นทั่วห้อง เป็นนอนซมตลอดเวลา
ตกค่ำมาก็ไม่ไหวแล้ว เค้าดูป่วยแน่ๆ
ซึมมาก ผมอดใจไม่ไหว
นั่งรอดูอาการเค้าจนเที่ยงคืนกว่า รู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว
(แมวจะรักษาตัวมันเอง หากไม่ป่วยหนัก)
จึงพาไปที่โรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อ
(โรงบาลหรูมาก เพราะเปิด 24 ชั่วโมง แต่ค่ารักษาครั้งนี้ ถูกมากกกกก แค่ 6 ร้อยเอง)
หมอบอก ไม่น่าเป็นอะไรนะครับ
รับมานานหรือยัง
น้องอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ฉีดวัคซีนตอนนี้ก็ไม่ได้
เพราะน้องป่วยอยู่ ผมจึงพากลับมาที่คอนโด
ก็ดูเค้าสดใสขึ้นมาก (เหมือนกลัวหมอฉีดยา) แต่สิ่งที่แปลกไปคือ
ไม่ยอมกินข้าวเองเลย
ผมต้องป้อนวันละ 4-5 มื้อ ตามหมอสั่ง
แล้วอาการของเค้าก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา 1 สัปดาห์กว่าๆ ผมต้องพาไปหาหมออีก 2-3 ครั้งหลังจากนั้น
หมดค่ารักษาไปเกือบหมื่น
ระหว่างที่น้องป่วยนั้น
ผมก็ได้โทรคุยกับคนขาย
ซึ่งเค้าบอกเสมอตั้งแต่ตอนไปซื้อแล้วว่า
"หากน้องป่วย กินน้อยลง อย่าพาไปหาหมอเด็ดขาด ให้พามาหาผม เพราะสัตวแพทย์ชุ่ยมาก (คำพูดของเค้านะครับ) ฉีดยามั่ว
แล้วพอแมวตาย ลูกค้าก็มาโทษผม ว่าผมเอาแมวป่วยมาขาย ย้อมแมวขาย"
เค้าพูดประมาณนี้อยู่ตลอดเวลา เค้าคะยั้นคะยอให้ผมเอาแมวไปให้เค้ารักษาอย่างมาก
โทรจิกผมเลยก็ว่าได้
ห้ามเด็ดขาดว่าห้ามไปหาหมอ
พี่สะไภ้ผมเป็นสัตวแพทย์ ก็ยัง งง ว่า
ทำไมถึงอคติกับสัตวแพทย์มากขนาดนั้น
จนผมเริ่มสงสัยว่า การที่เค้าพูดดักลูกค้าที่มาซื้อแมวกับเค้าทุกคนว่า
ห้ามพาไปหาหมอ ให้พาไปหาเค้าเนี่ยแสดงว่าเค้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าแมวเค้าไม่สบาย แต่ก็ยังเอามาขาย ไม่ยอมรักษา
สุดท้าย
สิ่งที่ผมกับภรรยาเสียใจที่สุดก็เกิดขึ้น
ในวันนั้น ถุงทองดูไม่ไหวแล้ว
เดินแทบไม่ได้ หมดแรง
น้ำหนักลดฮวบ อายุเกือบ 3 เดือน แต่หนักแค่ 400 กรัม (มีแต่กระดูก จากตอนแรกอ้วนกลมมาเลย)
ผมจึงพาไปหามออีกครั้ง
และยอมให้แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเลย
ซึ่งค่าแอดมิดแพงมาก และหากต้องเพิ่มยาก็จะแพงขึ้นไปอีก
เบื้องต้นค่ารักษานอน 1 คืน ประมาณ 4-5 พันบาท เค้าให้มัดจำก่อน 5 พัน ภรรยาผมก็ยอมจ่ายให้
ทั้งๆที่ตอนนั้นก็แทบไม่มีเงินกันแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น ช่วงเวลาสายๆ
หมอโทรมาบอกว่า
น้องอาการไม่ดีอย่างมาก เกล็ดเลือดต่ำมาก
น่าจะเป็นไข้หัดแมว
ต้องให้เกล็ดเลือดและให้ยาเพิ่ม
ซึ่งหากรักษาขั้นตอนนั้นต่อ หมอก็บอกว่า โอกาสรอดก็น้อยมาก
เพราะโรคนี้แรงมาก และค่ารักษาจะเพิ่มอีกเกือบ 1 หมื่น
ผมจนปัญญาครับ จึงขอให้คุณหมอรักษาได้เท่าที่ให้ผมได้
คุณหมอน่ารักมาก
เค้าไปหายาและเกล็ดเลือดที่เหลือจากการรักษาเคสอื่น มารักษาให้ถุงทอง
แต่ระหว่างการให้เกล็ดเลือดนั้น
หมอก็โทรมาบอกว่า น้องไม่ไหวแล้ว
น้องทนอาการจากโรคไม่ได้
หมอกำลังให้เกล็ดเลือดอยู่
น้องก็ช็อคแล้วก็จากไปแล้วนะคะ
ผมกำลังประชุมอยู่
ถึงกับต้องขอออกจากห้องประชุม
ออกมานั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆใต้ต้นไม้
เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
ภรรยาผมก็ได้รับข่าวร้ายก็เสียใจร้องไห้เช่นกัน
สุดท้าย หลังเลิกงาน
ผมต้องกลับไปที่โรงพยาบาลไปรับถุงทองกลับบ้าน
ถุงทองไม่หายใจแล้ว
คุณหมอห่อด้วยผ้าที่ผมนำติดตัวไปตั้งแต่รักษา
และใส่กระเป๋าบ้านของถุงทองกลับมาให้เช่นเดิม
น้ำตาไหลอย่างกับสายน้ำ
ผมและภรรยาเสียใจมาก
ขับรถกลับบ้านก็นั่งร้องไห้กันตลอดทาง
พอถึงบ้าน ผมจึงไปขอยืมจอบจากพ่อบ้าน
ขุดหลุมฝังร่างถุงทอง
พร้อมของเล่นของเค้าไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วคอนโด
ให้ถุงทองยังอยู่ใกล้ๆเราเสมอ
จนทุกวันนี้ ผ่านไป 3 เดือนกว่าแล้ว
ทุกครั้งที่คิดถึง น้ำตายังไหลอยู่เลย
ผมไม่รู้จะโกรธหรือเกลียดคนขายคนนั้นดี
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย. 62) ผมก็ไปจตุจักรอีก
ไปเดินดูของตกแต่งเข้าร้านก็ไปเจอกับคนขายคนนี้ ตั้งร้านอยู่บริเวณเดิม
มีคนสนใจมากมาย ยืมรุมเต็มร้าน
และประโยคเด็ดที่ผมได้ยินเต็มสองหู คือ
"หากน้องป่วย หรือ ไม่สบาย ผมขอล่ะครับ อย่าพาไปหาหมอเด็ดขาด ให้พามาหาผม ผมจะรักษาให้ฟรี"
RIP ถุงทองที่รัก