คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ความเห็นส่วนตัวบวกกับประสบการณ์ตรงนะคะ
เรารู้สึกว่ายุคนี้องค์กรส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการพนักงานที่รู้ลึกหรือชำนาญงานมากๆ แต่จะอยากได้พนักงานที่อายุน้อยๆ พอทำงานได้ อาจจะไม่ต้องเชี่ยวชาญเท่ากับพนักงานอายุมากแต่ค่าแรงถูก องค์กรเค้าก็จะใช้วิธีเอาเทคโนโลยีหรือระบบงานต่างๆ เข้ามาช่วยเพื่อให้คนทำงานได้แม้จะยังมีประสบการณ์ไม่เยอะ
ซึ่งมันก็คงส่งผลมาจากการที่ยุคนี้การเพิ่มผลกำไรทำได้ค่อนข้างยาก หลายธุรกิจตลาดก็อิ่มตัวแล้ว ทางออกของแต่ละบริษัทจึงไปอยู่ที่การลดต้นทุน และทุนส่วนใหญ่ของบริษัทต่างๆ ก็คือคนนี่ล่ะค่ะ เพราะงั้นถ้ามองในมุมของบริษัทจึงไม่น่าแปลกใจที่เค้าจะเลือกคนที่ค่าแรงถูกกว่า (บวกด้วยความหัวอ่อนปกครองง่าย แถมยังมีเวลาทุ่มเทให้กับงานได้มากกว่าเพราะคนกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยมีภาระทางบ้านเหมือนคนอายุมาก) โดยยอมแลกกับความชำนาญบางอย่างซึ่งอาจจะเอาเทคโนโลยี/ระบบการทำงานใหม่ๆ เข้ามาชดเชย คนที่อายุเกิน 35 ขึ้นไปก็เลยพากันตกที่นั่งลำบากกัน คนอายุมากที่จะเหลือรอดอยู่ได้ก็จะเป็นพวกที่ขึ้นเป็นผู้บริหาร (คือมีลูกน้องจะมากจะน้อยก็ขอให้มี) หรือไม่ก็เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แบบเก่งมากๆ หาตัวจับยาก ซึ่งองค์กรต่างๆ ก็จะเลือกเก็บคนแบบนี้ไว้จำนวนไม่มากเพื่อสร้างองค์ความรู้ในองค์กรหรือพัฒนาระบบการทำงาน ส่วนคนทำงานจริงจะใช้คนอายุน้อยทำไป ถ้าคุณสามารถทำให้ตัวเองอยู่ใน 2 กลุ่มนี้ได้ ก็ย่อมจะอยู่รอดปลอดภัยได้แน่นอน และถึงมีเหตุต้องออกจากบริษัทก็จะหางานได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นคนทำงานทั่วๆ ไป จะมีปัญหาแน่ๆ ค่ะ ไม่งั้นก็คือในช่วงที่ยังฮอตอยู่ต้องพยายามสะสมทุนให้มากพอ จะได้หาช่องทางไปต่อเองได้ค่ะ
ช่วงเวลานาทีทองสำหรับการหางานคือเพิ่งจบใหม่ๆ สำหรับคนที่โปรไฟล์ดี (จบสถาบันดัง เกรดดี สาขาที่ต้องการสูง ภาษาดี เรียนโทด้วยก็อาจจะได้เปรียบมากขึ้นในบางองค์กร) ส่วนช่วงที่พีคสุดคือหลังจากที่ได้ทำงานไปแล้ว 2-3 ปี อายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ ช่วงนี้แม้แต่คนที่โปรไฟล์ธรรมดาก็ยังฮอต เพราะบริษัทต่างๆ จะมองว่ารับเข้าไปปุ้บก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่ยังสามารถจะกล่อมเกลาให้เข้ากับองค์กรได้ง่าย ค่าแรงก็ยังไม่สูงมาก แต่ไฟยังแรงอยู่ ช่วงนี้จะเห็นว่าเปลี่ยนงานกันเป็นว่าเล่นเลยค่ะ อารมณ์สวย/หล่อเลือกได้ยังไงยังงั้น 55555 แต่กลุ่มนี้เวลาย้ายงานจะต้องระวังอยู่อย่างนะ คือต้องพยายามโชว์ศักยภาพตัวเองให้โดดเด่นให้ได้ ไม่งั้นโอกาสจะโตจะรุ่งยากเพราะไม่ใช่ลูกหม้อเค้า ไม่มีใครมาช่วยส่งเสริมเหมือนเด็กๆ ที่เข้าตั้งแต่จบใหม่ แถมความคาดหวังก็จะสูงกว่าเด็กจบใหม่ และช่วงแรกๆ ถ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ก็อาจจะโดนตราไว้ว่าไม่โอเค แต่ถ้าทำผลงานได้ดีก็อาจจะเติบโตได้ไม่แพ้พวกที่เข้ามาตั้งแต่จบ
ประมาณนี้ล่ะค่ะ เราเองก็มีเหตุต้องออกจากงานเร็วกว่าที่คาดเหมือนกัน แต่ความโชคดีคือเป็นคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใช้เงินน้อยมากๆ แถมไม่มีภาระทางบ้าน แล้วยังโชคดีอีกอย่างตรงงานที่ทำมาให้ผลตอบแทนสูง เราเลยมีเงินทุนสะสมเยอะมากพอที่จะไม่ต้องกลับไปดิ้นรนทำงานประจำอีก เหมือนกึ่งๆ เกษียณไปเลยอ่ะค่ะ ตอนนี้ก็คือเริ่มต้นเรียนรู้หาอาชีพที่สองที่สามทำใหม่ แต่ทำแบบที่อยากจะทำเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเลี้ยงชีพแล้ว เพราะงั้นสำหรับคนทำงานนอกจากการเสริมทักษะความสามารถของตัวเองแล้ว ยังต้องมองเรื่องการสะสมเงินทุนไว้ด้วยค่ะ และการใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ้งเฟ้อก็เป็นเกราะป้องกันอย่างดีในยุคที่อะไรๆ ก็ต้องรัดเข็มขัดกันหมด สู้ๆ นะคะ
เรารู้สึกว่ายุคนี้องค์กรส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการพนักงานที่รู้ลึกหรือชำนาญงานมากๆ แต่จะอยากได้พนักงานที่อายุน้อยๆ พอทำงานได้ อาจจะไม่ต้องเชี่ยวชาญเท่ากับพนักงานอายุมากแต่ค่าแรงถูก องค์กรเค้าก็จะใช้วิธีเอาเทคโนโลยีหรือระบบงานต่างๆ เข้ามาช่วยเพื่อให้คนทำงานได้แม้จะยังมีประสบการณ์ไม่เยอะ
ซึ่งมันก็คงส่งผลมาจากการที่ยุคนี้การเพิ่มผลกำไรทำได้ค่อนข้างยาก หลายธุรกิจตลาดก็อิ่มตัวแล้ว ทางออกของแต่ละบริษัทจึงไปอยู่ที่การลดต้นทุน และทุนส่วนใหญ่ของบริษัทต่างๆ ก็คือคนนี่ล่ะค่ะ เพราะงั้นถ้ามองในมุมของบริษัทจึงไม่น่าแปลกใจที่เค้าจะเลือกคนที่ค่าแรงถูกกว่า (บวกด้วยความหัวอ่อนปกครองง่าย แถมยังมีเวลาทุ่มเทให้กับงานได้มากกว่าเพราะคนกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยมีภาระทางบ้านเหมือนคนอายุมาก) โดยยอมแลกกับความชำนาญบางอย่างซึ่งอาจจะเอาเทคโนโลยี/ระบบการทำงานใหม่ๆ เข้ามาชดเชย คนที่อายุเกิน 35 ขึ้นไปก็เลยพากันตกที่นั่งลำบากกัน คนอายุมากที่จะเหลือรอดอยู่ได้ก็จะเป็นพวกที่ขึ้นเป็นผู้บริหาร (คือมีลูกน้องจะมากจะน้อยก็ขอให้มี) หรือไม่ก็เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แบบเก่งมากๆ หาตัวจับยาก ซึ่งองค์กรต่างๆ ก็จะเลือกเก็บคนแบบนี้ไว้จำนวนไม่มากเพื่อสร้างองค์ความรู้ในองค์กรหรือพัฒนาระบบการทำงาน ส่วนคนทำงานจริงจะใช้คนอายุน้อยทำไป ถ้าคุณสามารถทำให้ตัวเองอยู่ใน 2 กลุ่มนี้ได้ ก็ย่อมจะอยู่รอดปลอดภัยได้แน่นอน และถึงมีเหตุต้องออกจากบริษัทก็จะหางานได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นคนทำงานทั่วๆ ไป จะมีปัญหาแน่ๆ ค่ะ ไม่งั้นก็คือในช่วงที่ยังฮอตอยู่ต้องพยายามสะสมทุนให้มากพอ จะได้หาช่องทางไปต่อเองได้ค่ะ
ช่วงเวลานาทีทองสำหรับการหางานคือเพิ่งจบใหม่ๆ สำหรับคนที่โปรไฟล์ดี (จบสถาบันดัง เกรดดี สาขาที่ต้องการสูง ภาษาดี เรียนโทด้วยก็อาจจะได้เปรียบมากขึ้นในบางองค์กร) ส่วนช่วงที่พีคสุดคือหลังจากที่ได้ทำงานไปแล้ว 2-3 ปี อายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ ช่วงนี้แม้แต่คนที่โปรไฟล์ธรรมดาก็ยังฮอต เพราะบริษัทต่างๆ จะมองว่ารับเข้าไปปุ้บก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่ยังสามารถจะกล่อมเกลาให้เข้ากับองค์กรได้ง่าย ค่าแรงก็ยังไม่สูงมาก แต่ไฟยังแรงอยู่ ช่วงนี้จะเห็นว่าเปลี่ยนงานกันเป็นว่าเล่นเลยค่ะ อารมณ์สวย/หล่อเลือกได้ยังไงยังงั้น 55555 แต่กลุ่มนี้เวลาย้ายงานจะต้องระวังอยู่อย่างนะ คือต้องพยายามโชว์ศักยภาพตัวเองให้โดดเด่นให้ได้ ไม่งั้นโอกาสจะโตจะรุ่งยากเพราะไม่ใช่ลูกหม้อเค้า ไม่มีใครมาช่วยส่งเสริมเหมือนเด็กๆ ที่เข้าตั้งแต่จบใหม่ แถมความคาดหวังก็จะสูงกว่าเด็กจบใหม่ และช่วงแรกๆ ถ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ก็อาจจะโดนตราไว้ว่าไม่โอเค แต่ถ้าทำผลงานได้ดีก็อาจจะเติบโตได้ไม่แพ้พวกที่เข้ามาตั้งแต่จบ
ประมาณนี้ล่ะค่ะ เราเองก็มีเหตุต้องออกจากงานเร็วกว่าที่คาดเหมือนกัน แต่ความโชคดีคือเป็นคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใช้เงินน้อยมากๆ แถมไม่มีภาระทางบ้าน แล้วยังโชคดีอีกอย่างตรงงานที่ทำมาให้ผลตอบแทนสูง เราเลยมีเงินทุนสะสมเยอะมากพอที่จะไม่ต้องกลับไปดิ้นรนทำงานประจำอีก เหมือนกึ่งๆ เกษียณไปเลยอ่ะค่ะ ตอนนี้ก็คือเริ่มต้นเรียนรู้หาอาชีพที่สองที่สามทำใหม่ แต่ทำแบบที่อยากจะทำเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเลี้ยงชีพแล้ว เพราะงั้นสำหรับคนทำงานนอกจากการเสริมทักษะความสามารถของตัวเองแล้ว ยังต้องมองเรื่องการสะสมเงินทุนไว้ด้วยค่ะ และการใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ้งเฟ้อก็เป็นเกราะป้องกันอย่างดีในยุคที่อะไรๆ ก็ต้องรัดเข็มขัดกันหมด สู้ๆ นะคะ
ความคิดเห็นที่ 76
ผมจะบอกข่าวดีให้ฟัง..
ในเวปสมัครงาน ทั้งดังและไม่ดัง ในยุคนี้ พศ นี้ 2562 ตำแหน่ง ผจก หรือ สูงกว่า ของหลายๆสายงานตอนนี้ ื"ไม่จำกัดอายุ"แล้วครับ... 50กว่าๆ ถ้าคุณรับเงินเดือน7หมื่นขึ้นไปได้.. จะมีงานทำตลอด เพราะตอนนี้บริษัทต่างๆ ที่เป็นบริษัทอินเตอร์ (ที่มีกำลังจ้าง..) กำลัง "ซึ้งใจ+ประทำใจ" กับฝีมือ+ลีลาของผู้บริหารอายุ35-40ปีมากๆ (ลูก หลาน เจ้าของบริษัท ไทยๆ จีนๆ ไม่นับนะครับ อย่างไรๆ เขาก็ต้องปล่อยให้พังคามืออยู่แล้ว) ตำแหน่งงานที่มีการระบุอายุของผู้บริหาร ไม่ให้เกิน 35 ไม่ให้เกิน 40 ก็เพื่อจะบอกว่า..มันเป็นงานง่ายๆ นะ เลยจ้าง"ถูกมากๆ" เช่น ผจก เงินเดือน 28000-35000บาท (โอ๊ย..เงินเดือนนี้ เด็กอายุ 29ปี ตอนนี้ก็ได้กันเยอะแยะ 555+)
เพราะคนกลุ่มนี้ (พวกผู้บริหาร อายุน้อยๆ) รักสบาย อัตตาสูง ยโส+โอหัง ไม่เรียนรู้ ขี้เกียจ ชอบมั่ว(งาน) งานของพวกเขาคือ นั่งเฝ้าemail (ตอบเมล์เร็วเท่าคนอินเดีย 55+) และประชุมเท่านั้น สรุปก็คือทำงานไม่เป็น ไม่รู้รอบ ไม่รู้ลึก ไม่ลงรายละเอียดของงาน รักแต่อวดตัวเองกับเพือนๆ ว่าเงินเดือนเยอะ มีงานดีๆทำ ผมเจอมาหลายที่ หลายกรรม+หลายวาระแล้ว.. 555+ เอาไว้อีกสักพัก ผมจะเล่าวีระเวร ขององค์กรองค์กรหนึ่งที่มีแต่ผู้บริหารเด็กๆ ว่าเขาทำให้บริษัท "ที่มีชื่อเสียง" อันดับต้นๆของอุตสาหกรรมแขนงหนึ่ง วอดวายได้ถึงเพียงไหน? 5555+.
ในทางกลับกัน องค์กรข้ามชาติหลายๆองค์กร ที่มีแต่ "คนแก่ 40+" ขึ้นไปอยู่เยอะๆ และเป็นทีมบริหาร กลับสามารถนำพาองค์กรให้มีกำไรและขยายกิจการได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ล้มลุกคลุกคลาน เพราะมีแนวทาง มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ใช้ความสุขุมรอบคอบ แต่มีความพยายามและความมานะสูง รู่ปัญหาและการแก้ปัญหา รู้รอบรู้จริงในงานของตนเอง มองปัญหาในมุมกว้าง คำนึงถึงผลกระทบกับภาพรวม-ไม่ได้มีแค่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น พลิกวิกฤติเป็นโอกาส รับฟังความคิดเห็นรอบข้าง และอื่นๆ ดังเช่น บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ บริษัทขนส่งอันดับ1ประเทศไทย บริษัทขายฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์อับต้นๆของไทย และอีกหลายๆองค์กร
แต่จริงๆ ผมต้องขอบคุณน้องๆเหล่านี้ ที่ทำตัว "ไม่เอาไหน" ที่ทำให้ผู้สูงอายุอย่างผมยังมีงานทำ และทำงานในตำหน่งระดับสูงได้อยู่ เพราะถ้าน้องๆ เก่ง.. เขาจ่าย 5หมื่นจ้างน้องๆพวกนี้ และส่งผมให้กลับบ้านกลับไปขับรถจับจ้าง+เข็นผัก+ขายของตลาดนัดไปนานแล้ว......
ในเวปสมัครงาน ทั้งดังและไม่ดัง ในยุคนี้ พศ นี้ 2562 ตำแหน่ง ผจก หรือ สูงกว่า ของหลายๆสายงานตอนนี้ ื"ไม่จำกัดอายุ"แล้วครับ... 50กว่าๆ ถ้าคุณรับเงินเดือน7หมื่นขึ้นไปได้.. จะมีงานทำตลอด เพราะตอนนี้บริษัทต่างๆ ที่เป็นบริษัทอินเตอร์ (ที่มีกำลังจ้าง..) กำลัง "ซึ้งใจ+ประทำใจ" กับฝีมือ+ลีลาของผู้บริหารอายุ35-40ปีมากๆ (ลูก หลาน เจ้าของบริษัท ไทยๆ จีนๆ ไม่นับนะครับ อย่างไรๆ เขาก็ต้องปล่อยให้พังคามืออยู่แล้ว) ตำแหน่งงานที่มีการระบุอายุของผู้บริหาร ไม่ให้เกิน 35 ไม่ให้เกิน 40 ก็เพื่อจะบอกว่า..มันเป็นงานง่ายๆ นะ เลยจ้าง"ถูกมากๆ" เช่น ผจก เงินเดือน 28000-35000บาท (โอ๊ย..เงินเดือนนี้ เด็กอายุ 29ปี ตอนนี้ก็ได้กันเยอะแยะ 555+)
เพราะคนกลุ่มนี้ (พวกผู้บริหาร อายุน้อยๆ) รักสบาย อัตตาสูง ยโส+โอหัง ไม่เรียนรู้ ขี้เกียจ ชอบมั่ว(งาน) งานของพวกเขาคือ นั่งเฝ้าemail (ตอบเมล์เร็วเท่าคนอินเดีย 55+) และประชุมเท่านั้น สรุปก็คือทำงานไม่เป็น ไม่รู้รอบ ไม่รู้ลึก ไม่ลงรายละเอียดของงาน รักแต่อวดตัวเองกับเพือนๆ ว่าเงินเดือนเยอะ มีงานดีๆทำ ผมเจอมาหลายที่ หลายกรรม+หลายวาระแล้ว.. 555+ เอาไว้อีกสักพัก ผมจะเล่าวีระเวร ขององค์กรองค์กรหนึ่งที่มีแต่ผู้บริหารเด็กๆ ว่าเขาทำให้บริษัท "ที่มีชื่อเสียง" อันดับต้นๆของอุตสาหกรรมแขนงหนึ่ง วอดวายได้ถึงเพียงไหน? 5555+.
ในทางกลับกัน องค์กรข้ามชาติหลายๆองค์กร ที่มีแต่ "คนแก่ 40+" ขึ้นไปอยู่เยอะๆ และเป็นทีมบริหาร กลับสามารถนำพาองค์กรให้มีกำไรและขยายกิจการได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ล้มลุกคลุกคลาน เพราะมีแนวทาง มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ใช้ความสุขุมรอบคอบ แต่มีความพยายามและความมานะสูง รู่ปัญหาและการแก้ปัญหา รู้รอบรู้จริงในงานของตนเอง มองปัญหาในมุมกว้าง คำนึงถึงผลกระทบกับภาพรวม-ไม่ได้มีแค่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น พลิกวิกฤติเป็นโอกาส รับฟังความคิดเห็นรอบข้าง และอื่นๆ ดังเช่น บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ บริษัทขนส่งอันดับ1ประเทศไทย บริษัทขายฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์อับต้นๆของไทย และอีกหลายๆองค์กร
แต่จริงๆ ผมต้องขอบคุณน้องๆเหล่านี้ ที่ทำตัว "ไม่เอาไหน" ที่ทำให้ผู้สูงอายุอย่างผมยังมีงานทำ และทำงานในตำหน่งระดับสูงได้อยู่ เพราะถ้าน้องๆ เก่ง.. เขาจ่าย 5หมื่นจ้างน้องๆพวกนี้ และส่งผมให้กลับบ้านกลับไปขับรถจับจ้าง+เข็นผัก+ขายของตลาดนัดไปนานแล้ว......
ความคิดเห็นที่ 9
มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าของวงจรมนุษย์เงินเดือน
ตอนเราเรียนจบมาใหม่ๆ โลกสว่างสดใส ไม่พอใจงานไหน ก็ลาออกเลย แต่ด้วยความที่เราชอบคุยชอบถาม
คนแก่ๆ ที่ทนเป็นป้าอยู่ตามออฟฟิศว่าทำไมถึงต้องทน ทำให้เราได้ฉุกคิดเลยว่า อนาคต เราต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้
จากตอนนั้นถึงตอนนี้ เกือบ 20 ปีเหมือนกัน (เวลาก็ผ่านไปไวเนอะ) มาถึงยุค ข้าวยากหมากแพง คนล้นงาน
ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้คน ฯลฯ ด้วยความที่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เรากล้าพูดได้เลยว่า ไม่เคยกลัวการโดนไล่ออกเลย
เว้นซะแต่จะเบื่อแล้วลาออกไปเอง ด้วยลักษณะงานที่เราทำ ความสามารถ
ต่อให้ธุรกิจบีบรัดแค่ไหน ถ้าเลวร้ายปิดกิจการ เราก็มีสินทรัพย์ที่เก็บสะสมไว้พอประมาณ ต่อให้ตกงานก็ไม่เครียด ประมาณนั้น
ตอนเราเรียนจบมาใหม่ๆ โลกสว่างสดใส ไม่พอใจงานไหน ก็ลาออกเลย แต่ด้วยความที่เราชอบคุยชอบถาม
คนแก่ๆ ที่ทนเป็นป้าอยู่ตามออฟฟิศว่าทำไมถึงต้องทน ทำให้เราได้ฉุกคิดเลยว่า อนาคต เราต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้
จากตอนนั้นถึงตอนนี้ เกือบ 20 ปีเหมือนกัน (เวลาก็ผ่านไปไวเนอะ) มาถึงยุค ข้าวยากหมากแพง คนล้นงาน
ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้คน ฯลฯ ด้วยความที่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เรากล้าพูดได้เลยว่า ไม่เคยกลัวการโดนไล่ออกเลย
เว้นซะแต่จะเบื่อแล้วลาออกไปเอง ด้วยลักษณะงานที่เราทำ ความสามารถ
ต่อให้ธุรกิจบีบรัดแค่ไหน ถ้าเลวร้ายปิดกิจการ เราก็มีสินทรัพย์ที่เก็บสะสมไว้พอประมาณ ต่อให้ตกงานก็ไม่เครียด ประมาณนั้น
แสดงความคิดเห็น
ใครอยู่ในวัย40-50เเล้วมีผลกระทบกับการถูกลดตำแหน่ง หางานยาก หรือไม่อยู่ในกลุ่มถูกเลือกให้ทำงานบ้าง?
เเเต่ในวันนี้(ปี2562) คือเวลาที่ล่วงมา20ปีกว่าๆ กำลังอยู่ในช่วงอายุ 40 up ตำแหน่งงานก็พนักงานทั่วไป ถึงเงินเดือนปรับขึ้นจาก 20 ปีก่อนไม่มาก
จะพบเจอเหตุการณ์หลักๆเกี่ยวกับกระเเสการทำงาน หางาน ดังนี้
1.ส่วนใหญ่เรียนปริญญาโท จะได้ตำแหน่งงานดีขึ้นหรือถูกเลือกเป็นเงื่อนไขเเรกซึ่งคนที่ไม่มีเงินเรียนมีภาระเยอะเเละไม่อยากกู้จะเเพ้เปรียบไป
2.เมื่อก่อนนี้สัก10-15ปี คุณสมบัติอายุที่รับสมัครงานคือ35-45 ปี ในขณะที่เรายังอายุ28เรากลับถูกลดลำดับในการเลือกลง
3.ยุคนี้พอเราอายุ 40upด้วยมากประสบการณ์ คุณสมบัติอายุที่รับสมัครงานคือ 25-35 ปี😏
4.ยุคนี้คนอายุ40upไปสมัครงานจะเห็นได้ว่าผู้สัมภาษณ์งานอายุรุ่นน้อง หรือหลานคุณก็มีเเละเป็นถึงระดับใหญ่โต
5.คนอายุมากๆต่อให้เข้าทำงานที่ใดที่หนึ่งได้เเล้วจะถูกเพ็งเล่ง เเละคัดออกได้ง่ายสุดเหตุจากอายุเยอะเป็นหลัก
6.จริงอยู่ อายุน้อย จบป.โทเก่งภาษามีความสามารถก็สมควรได้ตำแหน่งงานเเละเงินเดือนดีๆ เเต่มีหลายๆบริษัทที่จ้างคนอายุน้อยเพิ่งจบเพราะเงินเดือนถูก เเถมมาไวเคลมไวมากกว่าจ้างคนอายุเยอะมากประสบการณ์เเล้ว
....
บางคนอาจไม่เจอนะ เเต่ต้องยอมรับมันเกิดขึ้นจริงๆ จึงกลายเป็นว่า คนทำงานพออายุ40upต้องคิดแค่หาเงินเพื่อหาอาชีพอิสระลูกเดียวซึ่งจะสำเร็จมันยากคนตกงานเยอะเศรษฐกิจเเย่ เเต่ดูเหมือนสมัย20ปีก่อนยิ่งคนอายุ40-50เป็นที่ต้องการมากเพราะดูผู้ใหญ่ มากประสบการณ์เเละรับผิดชอบ🙂🤔
เซ็งเลย😅