พี่ผมเคยฝากลูกไว้ที่สถานสงเคราะห์หลายปีแล้ว ตอนนี้ผมทำเรื่องขอรับเด็กกลับมาอยู่ที่บ้านได้ไหมครับ (ขอด้านกฎหมาย)

พี่ชายผมเคยทำแฟนท้องตั้งแต่ม.3 คุณแม่วัยใสนั่นแหละ
แต่ตอนนั้นผมอยู่ประถม จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
ยายเล่าให้ฟังว่ากว่าที่บ้านเราจะรู้ เด็กก็คลอดออกมาแล้ว ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่รับเด็ก ผลักความรับผิดชอบมาให้พี่ชายผมคนเดียว
สุดท้ายปัญหาก็จบลงที่ทั้งคู่เลิกรากันไป ส่วนเด็กก็ถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่เท่าไหร่
แต่ตอนนั้นพวกเรามีกันแค่ 3 คน คือ ผม พี่ และยาย ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่พอจ่ายแล้ว เราไม่มีกำลังทรัพย์ในการเลี้ยงเด็กจริงๆ

ตอนนี้ผมมีงานทำแล้ว มีรายได้พอเลี้ยงยายและผ่อนห้อง
ส่วนพี่อยู่ต่างประเทศ มีงานประจำเหมือนกัน แต่รายได้อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่เพราะมีวุฒิแค่ม.6
ส่วนผมไม่มีแฟน ไม่มีหนี้ นอกจากยาย ผมก็ไม่มีภาระทางค่าใช้จ่ายอะไรอีกแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเองมั่นคงมากพอที่จะรับผิดชอบชีวิตคนคนหนึ่งได้แล้ว

ผมพอจะศึกษากฎหมายการอุปการะลูกบุญธรรมมาบ้าง แต่ปัญหาคือระยะห่างอายุของผมกับลูกของพี่ชายมันใกล้กันมากเกินไป
ตามกฎหมายลูกบุญธรรมและผู้อุปการะต้องอายุห่างกันอย่างน้อย 15 ปี
แต่พี่ผมมีลูกตอนอายุ 15 ซึ่งผมอายุน้อยกว่าพี่แค่ 6 ปี นั่นแปลว่าตอนนี้ผมอายุ 26 ลูกของพี่ผมก็อายุแค่ 17 เท่านั้น

แต่นอกจากนี้ยังมีกฎหมายวรรคหนึ่งที่ระบุว่าผู้อุปการะต้องได้รับคำยินยอมจากพ่อแม่ที่แท้จริง
ผมได้เอาประเด็นนี้ไปคุยกับพี่ชายและแฟนเก่าเป็นที่เรียบร้อย เขาไม่มีปัญหา

แต่ผมไม่แน่ใจว่าในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือเปล่า เพราะพี่ผมไม่ได้ติดต่อกับสถานสงเคราะห์มาหลายปีแล้ว
ผมอ่านเจอว่าถ้าครอบครัวไม่ได้ติดต่อกับสถานสงเคราะห์เป็นเวลามากกว่า 1 ปี สถานสงเคราะห์จะปิดเคส แล้วจัดหาครอบครัวบุญธรรมเลย
นั่นแปลว่าญาติหรือครอบครัวสายตรงอย่างผมจะไม่มีสิทธิในการดูแลเด็กแล้วถูกต้องไหมครับ?

ถ้าอย่างนั้น หากผมต้องการรับอุปการะ สามารถทำได้ด้วยวิธีอื่นไหมครับ?
เท่าที่ผมหาดู ไม่มีกำหนดอายุ maximum ของผู้อุปการะ หากผมใช้ชื่อยายในการทำเรื่องแทนจะเป็นไปได้ไหมครับ (อนึ่งยายผมอายุ 78 ครับ)

สรุปคำถาม
1. ถ้าครอบครัวขาดการติดต่อกับสถานสงเคราะห์มาเกิน 1 ปีแล้ว ญาติสายตรงยังมีสิทธิในการดูแลเด็กอยู่ไหมครับ?
2. หากผมใช้ชื่อยายในการอุปการะแทนจะเป็นไปได้ไหมครับ

สุดท้ายนี้ สาเหตุหลักที่ผมอยากให้หลานได้กลับมาอยู่บ้าน เพราะผมอยากให้เขารู้จักครอบครัวที่แท้จริง
แล้วก็ส่งเขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยครับ

แต่ผมเข้าใจดีว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเด็ก
ผมได้วางแผนติดต่อกับสถานสงเคราะห์เพื่อสอบถามความต้องการของเขาก่อนอยู่แล้วแน่นอนครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ไม่ต้องรับเป็นลูกบุญธรรมก็ได้ แค่ติดต่อ เยี่ยมเยียน ส่งเสียให้เรียนตามกำลังทรัพย์ที่เราพอไหว แค่นี้ก็พอ เด็กโตแล้ว เค้ามีความคิดของตัวเองแล้ว
ความคิดเห็นที่ 4
ให้พี่ชาย หรือ แม่เด็ก ติดต่อสถานสงเคราะห์ เช็คดูก่อนว่าตอนนี้เด็กมีครอบครัวใหม่ไปแล้วหรือยัง

ถ้าเขามีพ่อแม่ใหม่ไปแล้ว  แนะนำว่า อย่า ไป ทำให้ชีวิตครอบครัวเขามันซับซ้อนมากกว่าเดิมดีกว่าค่ะ
ความคิดเห็นที่ 7
ถามความต้องการตัวเองให้ชัดเจนนะคะ

เมื่อจะไปเกี่ยวข้องกับใคร มันมักมีความคาดหวังเกิดขึ้นนะคะ ถ้ายังจัดการกับตัวเองไม่ได้ และความคาดหวังของเราจะทำร้ายคนอื่น ก็อย่าพึ่งรีบตัดสินใจค่ะ  ยิ่งการมาอยู่ร่วมกัน มันไม่แปลกที่ต้องปรับตัว  คุณและครอบครัว พร้อมจะเรียนรู้และปรับตัวใหม่ กับสมาชิกใหม่แค่ไหนคะ

ถ้าเด็กไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง ถ้าเขาไม่ยินดียินร้ายต่อครอบครัวสายเลือด เรียนจบไม่ช่วยเหลือทางบ้านคุณที่มีคนแก่ต้องดูแล ต้องถามก่อน คุณและครอบครัวจะยอมรับได้ไหมว่า คุณทำตามความต้องการที่อยากส่งเสียโดยไม่หวังอะไรตอบแทนแต่แรกแล้ว

ถ้าแค่อยากช่วยเหลือ ส่งเสริมเขาจริงๆ มีหลายช่องทางที่ทำได้นะ ฝากทุนให้กับทางมูลนิธิก็ได้ หรือ แจ้งความประสงค์จะส่งเสียโดยให้มูลนิธิประสาน  และถ้าวันไหนเด็กอยากเจอหรือพร้อมจะรู้จักครอบครัว เขาก็อาจจะติดต่อกลับมา

เด็กรู้จักครอบครัวแท้จริงอยู่แล้วค่ะ  คิดว่า เลขบัตรประจำตัว 13 หลัก หล่นจากฟ้าหรือคะ เด็กคนนี้ถูกครอบครัวนำไปฝาก ไม่ใช่เก็บได้ข้างถนนนะ ที่จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ตนเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่