
ไบแซนดิอุม คือชื่อเมืองก่อนเข้ารีตเป็นคริสเตียนของนครคอนสแตนติโนเปิล จุดยุทธศาตร์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของจักรวรรดิโรมัน และเป็นสะพานเชื่อมต่อควบคุมการเข้าออกระหว่างยุโรป-เอเชียกลับมีข้อด้อยใหญ่หลวงอยู่ นั่นคือ การที่คอนสแตนติโนเปิลตั้งอยู่กึ่งกลางย่อมหมายความว่าสามารถถูกรุมล้อมและรุกรานได้จากทุกด้านนั่นเอง…

พระนครคอนสแตนติโนเปิลนับตั้งแต่ถูกสถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าคอนสแตนตินไม่เคยว่างเว้นที่จะถูกรุกรานโดยชนต่างชาติที่หมายปองในชัยภูมิทองนี้ ทั้งพวกชนเผ่าเร่ร่อนจากแถบทะเลสาบแคสเปียน พวกฮันส์จากเอเชีย วาเรงเจี้ยนจากแถบสแกนดิเนเวีย พวกรุสและบุลการ์ และที่รุนแรงและเขย่าเสาค้ำบัลลังก์ของบาซิเลอุส(จักรพรรดิ)แห่งโรมันตะวันออกที่สุดก็คือชาวอาหรับในร่มธงของกาหลิบแห่งราชวงศ์อุมัยยะห์ที่แผ่อิทธิพลครอบครองดินแดนตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำสินธุทางตะวันออกจรดเทือกเขาพิรินีอุสในคาบสมุทรไอบีเรีย
จักรวรรดิโรมันตะวันออกนี้มีของดีมากนักจึงสามารถตั้งจักรวรรดิและรักษาพระนครหลวงอันยิ่งใหญ่สืบต่อมาได้เนิ่นนานเกือบพันปีแม้กรุงโรมทางตะวันตกจะล่มสลายไปแล้วก็ตามที กล่าวกันว่าคอนสแตนติโนเปิลมีการทูตที่แยบคายพอจะไม่ต้องลงไม่ร่วมศึกเอง มีกำแพงธีโอโดซุสที่ยิ่งใหญ่ไม่ใครเคยตีแตก และหากข้าศึกเลี่ยงที่จะบุกภาคพื้นดินแล้วอาศัยกองเรือเข้าจู่โจมทางทะเล (ที่รายล้อมเป็นปราการให้พระนครถึงสามด้าน) ชาวเมืองก็ยังคงมีอาวุธลับมหาประลัยที่จะทำลายกองทัพข้าศึกทุกชนชาติที่มารุกราน
ชาวตะวันตกผู้พบเห็นได้ขนานนามอาวุธนี้ไว้ว่า “ไฟกรีก”
สิ่งที่เรียกว่าไฟกรีกนี้ก็อธิบายได้ตรงตามชื่อครับ คือ ไฟของชาวกรีก (คือพลเมืองหลักของโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ในตอนนั้น) เป็นประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของนักเล่นแร่แปรธาตุของราชสำนักคอนสแตนติโนเปิล ร่วมกับภูมิปัญญาของชาวกรีก-อาหรับโบราณ
อาวุธชนิดนี้เป็นของเหลวพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งสามารถ “ลุกติดไฟได้ทุกที่แม้กระทั่งบนน้ำและมหาสมุทร” ท่านผู้อ่านหากเคยดูภาพยนตร์หรืออ่านเรื่องสามก๊กตอนศึกผาแดงมา (ย้อนลงไปดูบทความตอนล่างๆของฟื้นฝอยฯก็ได้ครับมีเขียนไว้อยู่ แหะๆ) คงจะพอทราบอยู่บ้างแล้วว่า ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของกองทัพเรือสมัยโบราณคือการที่เรือลุกติดไฟนั่นเอง
ถ้าเกิดว่ามีกองเรือไหนไหม้ขึ้นมาก็ทำใจได้เลย
ว่าเเพ้ไปครึ่งสมรภูมิแล้ว ทว่าไอ้การจะทำให้เรืออีกฝ่ายไหม้ไฟนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ กลยุทธการใช้เรือไฟสามารถถูกสกัดได้ง่าย การยิงธนูไฟเองก็ต้องระดมยิงเเละเร่งความร้อนให้มากพอจนไม้ติดไฟสมบูรณ์(นั่นหมายถึงความร้อนราวสามร้อยองศาเซลเศียส) หรือยาเรือลุกไหม้ขึ้นเอง (อนึ่ง หากไม่คิดลองใช้วิธีเหล่านี้ ท่านสามารถใช้วิธีแปลกประหลาดกว่านี้ก็ได้ กองทัพไซราคิวส์ภายใต้การนำของอาร์คิเมดีสป้องกันเมืองในสงครามพิวนิคครั้งที่สองด้วยการ… ใช้คันฉ่องรวมแสงอาทิตย์เข้าเผาเรือของชาวโรมัน…) ภายใต้ความยากลำบากจนรากเลือดนี้ ด้วยไฟกรีก ชาวไบแซนไทน์สามารถสร้าง “ทะเลเพลิง” ที่ไม่ใช่แค่การเปรียบเปรยขึ้นมาทำลายกองเรือศัตรูได้อย่างง่ายดาย
ของเหลวพิเศษภายใต้ชื่อไฟกรีกสร้างขึ้นจากสูตรลับ ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เห็นจะไขกันออกแต่อย่างใด กระนั้นก็พอจะอนุมานส่วนประกอบได้ว่ามีส่วนผสมของกำมะถัน ปูนขาว และน้ำมันดินหรือ “แนฟธา” ซึ่งชาวกรีกและชาวตะวันออกกลางรู้จักใช้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะใช้ในชีวิตประจำวันและเอามาเคี่ยวราดหัวข้าศึกตอนถูกบุกป้อมแล้ว ยังสามารถเอามาใส่ไหทำเป็นระเบิดขวดอย่างง่ายได้อีกต่างหาก
นักเคมีชาวกรีกได้ปรับปรุงส่วนผสมและสร้างสูตรเฉพาะของตนขึ้นมา จากนั้นก็นำไปใช้ร่วมกับวิทยาการอีกประการของชาวกรีก นั่นคือท่อสูบน้ำ… อ๊ะๆ อย่าปรามาสไปเชียวครับ ด้วยการผสมผสานของของเหลวติดไฟและท่อสูบฉีด นั่นจะทำให้คุณได้อาวุธที่สามารถพ่นไฟ (อันมีประสิทธิภาพและความร้อนสูง) ได้เป็นระยะทางไกลพอที่ตัวผู้ฉีดจะไม่เป็นอันตราย เทียบเท่ากับสมัยนี้ก็เครื่องพ่นไฟนาปาล์มละกระมัง…
อาวุธมหากาฬ (ที่ดูจะสร้างลวกๆเหลือเกินแบบนี้) ถูกเสนอต่อราชสำนักโรมันตะวันออก โดย คาลลินิคอส แห่ง เฮลิโอโปลิสในช่วงปี ค.ศ. ๖๗๒ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตภายใต้การปิดล้อมเมืองทางทะเลของกองเรือชาวอาหรับ ส่วนผลที่ออกมาภายหลังกองทัพไบแซนไทน์เอาไปใช้คือ…
“…ได้คิดค้นไฟที่ลุกติดได้บนทะเล และเผาชาวอาหรับรวมถึงเรือของพวกนั้นไปจนสิ้น ด้วยเหตุนี้ชาวโรมัน (หมายถึงไบแซนไทน์) จึงกลับมาพร้อมกับชัยชนะ และการค้นพบทะเลเพลิง (หมายถึงไฟกรีก) ” – พงศาวดารของธีโอฟาเนส “ผู้สารภาพ” นักพงศาวดารชาวกรีก

นอกจากสงครามกู้กรุงฯจากการปิดล้อมในครั้งนั้นเเล้ว ชาวไบแซนไทน์ยังใช้ไฟกรีกของพวกเขาในการรบอีกหลายต่อหลายครั้งในการป้องกันตนเอง ทั้งสงครามกับชาวอาหรับครั้งที่สองในต้นศตวรรษที่ ๘ ป้องกันการปล้นสะดมจากชาวรุสในช่วงศตวรรษที่ ๙ รวมถึงขนขึ้นเรือลงแม่น้ำไปปิดกั้นการเคลื่อนทัพของพวกบุลการ์ในศตวรรษที่ ๑๐ ป้องกันการโจมตีของชาวปิซา และสงครามอื่นๆอีกสารพัดจนถึงศตวรรษที่ ๑๕ กันเลย แถมยังนำไปประยุกต์ใช้กับระเบิดมือ และนำไปใช้ในยุทธศาสตร์การโจมตีทางบกด้วยการให้ทหารถือไปฉีดใส่ข้าศึกเลยอีกต่างหาก
แต่ถึงไฟกรีกจะเป็นอาวุธที่เเข็งแกร่งเพียงไรมันก็ย่อมมีจุดด้อยรวมถึงของที่แก้ทางกันอยู่พอสมควร นั่นคือระยะการยิงของไฟกรีกแม้จะมีพอสมควร แต่หากรบทางบกมันก็ดูเป็นระยะกระชั้นมากเมื่อเทียบกับอาวุธยิงประเภทอื่น ทั้งของเหลวติดไฟนี้ก็สามาถถูกบรรเทาอานุภาพลงด้วยหนังสัตว์แช่น้ำส้มสายชู
และก็เช่นเดียวกันกับทุกๆอาณาจักร ที่แม้จะมีของวิเศษเพียงไร แต่ความอ่อนแอจากโครงสร้างภายในก็ทำให้อาวุธทรงอานุภาพนั้นไร้ค่าเมื่อจักรวรรดิล่มสลาย ความวุ่นวายทางสังคม ความเหลื่อมล้ำที่นำไปสู่การจลาจล การชิงอำนาจ และการแทรกแซงจากภายนอกทำให้นครคอนสแตนติโนเปิลที่ว่ากันว่า “ตีไม่แตก” และมี “อาวุธที่น่าสะพรึงกลัว” ก็จำต้องพ่ายแพ้และเสียเมืองไปถึงสองครั้งสองคราว…
บางที อาวุธที่อันตรายและน่ากลัวที่สุด อาจจะเป็นจิตใจของมนุษย์เอง
funfoyhistory.wordpress.com
@ ฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ไขความลับ ”ไฟกรีก” อาวุธพิฆาตอันน่าเหลือเชื่อของชาวยุโรปโบราณ
ไบแซนดิอุม คือชื่อเมืองก่อนเข้ารีตเป็นคริสเตียนของนครคอนสแตนติโนเปิล จุดยุทธศาตร์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของจักรวรรดิโรมัน และเป็นสะพานเชื่อมต่อควบคุมการเข้าออกระหว่างยุโรป-เอเชียกลับมีข้อด้อยใหญ่หลวงอยู่ นั่นคือ การที่คอนสแตนติโนเปิลตั้งอยู่กึ่งกลางย่อมหมายความว่าสามารถถูกรุมล้อมและรุกรานได้จากทุกด้านนั่นเอง…
พระนครคอนสแตนติโนเปิลนับตั้งแต่ถูกสถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าคอนสแตนตินไม่เคยว่างเว้นที่จะถูกรุกรานโดยชนต่างชาติที่หมายปองในชัยภูมิทองนี้ ทั้งพวกชนเผ่าเร่ร่อนจากแถบทะเลสาบแคสเปียน พวกฮันส์จากเอเชีย วาเรงเจี้ยนจากแถบสแกนดิเนเวีย พวกรุสและบุลการ์ และที่รุนแรงและเขย่าเสาค้ำบัลลังก์ของบาซิเลอุส(จักรพรรดิ)แห่งโรมันตะวันออกที่สุดก็คือชาวอาหรับในร่มธงของกาหลิบแห่งราชวงศ์อุมัยยะห์ที่แผ่อิทธิพลครอบครองดินแดนตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำสินธุทางตะวันออกจรดเทือกเขาพิรินีอุสในคาบสมุทรไอบีเรีย
จักรวรรดิโรมันตะวันออกนี้มีของดีมากนักจึงสามารถตั้งจักรวรรดิและรักษาพระนครหลวงอันยิ่งใหญ่สืบต่อมาได้เนิ่นนานเกือบพันปีแม้กรุงโรมทางตะวันตกจะล่มสลายไปแล้วก็ตามที กล่าวกันว่าคอนสแตนติโนเปิลมีการทูตที่แยบคายพอจะไม่ต้องลงไม่ร่วมศึกเอง มีกำแพงธีโอโดซุสที่ยิ่งใหญ่ไม่ใครเคยตีแตก และหากข้าศึกเลี่ยงที่จะบุกภาคพื้นดินแล้วอาศัยกองเรือเข้าจู่โจมทางทะเล (ที่รายล้อมเป็นปราการให้พระนครถึงสามด้าน) ชาวเมืองก็ยังคงมีอาวุธลับมหาประลัยที่จะทำลายกองทัพข้าศึกทุกชนชาติที่มารุกราน
ชาวตะวันตกผู้พบเห็นได้ขนานนามอาวุธนี้ไว้ว่า “ไฟกรีก”
สิ่งที่เรียกว่าไฟกรีกนี้ก็อธิบายได้ตรงตามชื่อครับ คือ ไฟของชาวกรีก (คือพลเมืองหลักของโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ในตอนนั้น) เป็นประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของนักเล่นแร่แปรธาตุของราชสำนักคอนสแตนติโนเปิล ร่วมกับภูมิปัญญาของชาวกรีก-อาหรับโบราณ
อาวุธชนิดนี้เป็นของเหลวพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งสามารถ “ลุกติดไฟได้ทุกที่แม้กระทั่งบนน้ำและมหาสมุทร” ท่านผู้อ่านหากเคยดูภาพยนตร์หรืออ่านเรื่องสามก๊กตอนศึกผาแดงมา (ย้อนลงไปดูบทความตอนล่างๆของฟื้นฝอยฯก็ได้ครับมีเขียนไว้อยู่ แหะๆ) คงจะพอทราบอยู่บ้างแล้วว่า ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของกองทัพเรือสมัยโบราณคือการที่เรือลุกติดไฟนั่นเอง
ถ้าเกิดว่ามีกองเรือไหนไหม้ขึ้นมาก็ทำใจได้เลยว่าเเพ้ไปครึ่งสมรภูมิแล้ว ทว่าไอ้การจะทำให้เรืออีกฝ่ายไหม้ไฟนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ กลยุทธการใช้เรือไฟสามารถถูกสกัดได้ง่าย การยิงธนูไฟเองก็ต้องระดมยิงเเละเร่งความร้อนให้มากพอจนไม้ติดไฟสมบูรณ์(นั่นหมายถึงความร้อนราวสามร้อยองศาเซลเศียส) หรือยาเรือลุกไหม้ขึ้นเอง (อนึ่ง หากไม่คิดลองใช้วิธีเหล่านี้ ท่านสามารถใช้วิธีแปลกประหลาดกว่านี้ก็ได้ กองทัพไซราคิวส์ภายใต้การนำของอาร์คิเมดีสป้องกันเมืองในสงครามพิวนิคครั้งที่สองด้วยการ… ใช้คันฉ่องรวมแสงอาทิตย์เข้าเผาเรือของชาวโรมัน…) ภายใต้ความยากลำบากจนรากเลือดนี้ ด้วยไฟกรีก ชาวไบแซนไทน์สามารถสร้าง “ทะเลเพลิง” ที่ไม่ใช่แค่การเปรียบเปรยขึ้นมาทำลายกองเรือศัตรูได้อย่างง่ายดาย
ของเหลวพิเศษภายใต้ชื่อไฟกรีกสร้างขึ้นจากสูตรลับ ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เห็นจะไขกันออกแต่อย่างใด กระนั้นก็พอจะอนุมานส่วนประกอบได้ว่ามีส่วนผสมของกำมะถัน ปูนขาว และน้ำมันดินหรือ “แนฟธา” ซึ่งชาวกรีกและชาวตะวันออกกลางรู้จักใช้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะใช้ในชีวิตประจำวันและเอามาเคี่ยวราดหัวข้าศึกตอนถูกบุกป้อมแล้ว ยังสามารถเอามาใส่ไหทำเป็นระเบิดขวดอย่างง่ายได้อีกต่างหาก
นักเคมีชาวกรีกได้ปรับปรุงส่วนผสมและสร้างสูตรเฉพาะของตนขึ้นมา จากนั้นก็นำไปใช้ร่วมกับวิทยาการอีกประการของชาวกรีก นั่นคือท่อสูบน้ำ… อ๊ะๆ อย่าปรามาสไปเชียวครับ ด้วยการผสมผสานของของเหลวติดไฟและท่อสูบฉีด นั่นจะทำให้คุณได้อาวุธที่สามารถพ่นไฟ (อันมีประสิทธิภาพและความร้อนสูง) ได้เป็นระยะทางไกลพอที่ตัวผู้ฉีดจะไม่เป็นอันตราย เทียบเท่ากับสมัยนี้ก็เครื่องพ่นไฟนาปาล์มละกระมัง…
อาวุธมหากาฬ (ที่ดูจะสร้างลวกๆเหลือเกินแบบนี้) ถูกเสนอต่อราชสำนักโรมันตะวันออก โดย คาลลินิคอส แห่ง เฮลิโอโปลิสในช่วงปี ค.ศ. ๖๗๒ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตภายใต้การปิดล้อมเมืองทางทะเลของกองเรือชาวอาหรับ ส่วนผลที่ออกมาภายหลังกองทัพไบแซนไทน์เอาไปใช้คือ…
“…ได้คิดค้นไฟที่ลุกติดได้บนทะเล และเผาชาวอาหรับรวมถึงเรือของพวกนั้นไปจนสิ้น ด้วยเหตุนี้ชาวโรมัน (หมายถึงไบแซนไทน์) จึงกลับมาพร้อมกับชัยชนะ และการค้นพบทะเลเพลิง (หมายถึงไฟกรีก) ” – พงศาวดารของธีโอฟาเนส “ผู้สารภาพ” นักพงศาวดารชาวกรีก
นอกจากสงครามกู้กรุงฯจากการปิดล้อมในครั้งนั้นเเล้ว ชาวไบแซนไทน์ยังใช้ไฟกรีกของพวกเขาในการรบอีกหลายต่อหลายครั้งในการป้องกันตนเอง ทั้งสงครามกับชาวอาหรับครั้งที่สองในต้นศตวรรษที่ ๘ ป้องกันการปล้นสะดมจากชาวรุสในช่วงศตวรรษที่ ๙ รวมถึงขนขึ้นเรือลงแม่น้ำไปปิดกั้นการเคลื่อนทัพของพวกบุลการ์ในศตวรรษที่ ๑๐ ป้องกันการโจมตีของชาวปิซา และสงครามอื่นๆอีกสารพัดจนถึงศตวรรษที่ ๑๕ กันเลย แถมยังนำไปประยุกต์ใช้กับระเบิดมือ และนำไปใช้ในยุทธศาสตร์การโจมตีทางบกด้วยการให้ทหารถือไปฉีดใส่ข้าศึกเลยอีกต่างหาก
แต่ถึงไฟกรีกจะเป็นอาวุธที่เเข็งแกร่งเพียงไรมันก็ย่อมมีจุดด้อยรวมถึงของที่แก้ทางกันอยู่พอสมควร นั่นคือระยะการยิงของไฟกรีกแม้จะมีพอสมควร แต่หากรบทางบกมันก็ดูเป็นระยะกระชั้นมากเมื่อเทียบกับอาวุธยิงประเภทอื่น ทั้งของเหลวติดไฟนี้ก็สามาถถูกบรรเทาอานุภาพลงด้วยหนังสัตว์แช่น้ำส้มสายชู
และก็เช่นเดียวกันกับทุกๆอาณาจักร ที่แม้จะมีของวิเศษเพียงไร แต่ความอ่อนแอจากโครงสร้างภายในก็ทำให้อาวุธทรงอานุภาพนั้นไร้ค่าเมื่อจักรวรรดิล่มสลาย ความวุ่นวายทางสังคม ความเหลื่อมล้ำที่นำไปสู่การจลาจล การชิงอำนาจ และการแทรกแซงจากภายนอกทำให้นครคอนสแตนติโนเปิลที่ว่ากันว่า “ตีไม่แตก” และมี “อาวุธที่น่าสะพรึงกลัว” ก็จำต้องพ่ายแพ้และเสียเมืองไปถึงสองครั้งสองคราว…
บางที อาวุธที่อันตรายและน่ากลัวที่สุด อาจจะเป็นจิตใจของมนุษย์เอง
funfoyhistory.wordpress.com
@ ฟื้นฝอยหาตะเข็บ