●●อดีตอาจารย์มธ.รับไม่ได้พฤติกรรม'อนาคตใหม่'เป็นเนื้อเดียวกับ'เพื่อไทย'●●

●●อดีตอาจารย์มธ.รับไม่ได้พฤติกรรม'อนาคตใหม่'เป็นเนื้อเดียวกับ'เพื่อไทย'●●

             
31พ.ค.62-รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์
ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ยิ่งวันยิ่งดูเหมือนว่าพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีการเทคะแนนให้กัน
มีการไปขอบคุณ ส.ส. เพื่อไทยที่เชียงใหม่ คุณสุรพล เกียรติไชยากร ที่โดนใบส้ม ไม่เคยมองท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในด้านดีเหมือนกัน โจมตีคสช ในทิศทางเดียวกัน

เพราะเหตุใดคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่เคยตั้งข้อรังเกียจพรรคเพื่อไทย
ที่เกิดขึ้นมาจากการสืบทอดอำนาจเช่นกัน

ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ที่เคยทำทุกอย่างที่พรรคพลังประชารัฐทำและมากกว่า ทั้งดูด ทั้งควบรวม จากที่
เคยบอกว่าพรรคไทยรักไทยคิดใหม่ทำใหม่ จะมีแต่สส น้ำดี กลายเป็นพรรคที่มีคนหลายพ่อพันแม่ หลายมุ้ง
เสือสิงห์ กระทิง แรด เต็มไปหมด

การสืบทอดอำนาจก็เช่นกัน จากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบ มาเป็นพรรคพลังประชาชน ให้คุณสมัคร สุนทรเวช
เป็นนายกรัฐมนตรี คุมคุณสมัครไม่ได้ ก็ส่งน้องเขยมาแทน พรรคพลังประชาชนถูกยุบ ตั้งพรรคเพื่อไทยและ
ให้น้องสาวลงมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยตัวเองบงการอยู่เบื้องหลัง

จะว่าพี่เขย น้องสาว มาจากการเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐก็มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน พลเอกประยุทธ์
แม้ไม่ได้เป็นสส แต่ก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามกติกาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

จะมีใครเชื่อบ้างว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ โดยไม่มีนายใหญ่ เจ้าของพรรคตัวจริงบงการ
อยู่เบื้องหลัง

และนายใหญ่คนนี้ เคยขายหุ้นบริษัทตัวเองที่ให้บุตรและภรรยาถือหุ้นแทน ที่เป็นบริษัทที่ได้สัมปทาน
ดาวเทียมจากรัฐ ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ โดยไม่แยแสว่าจะกระทบความมั่นคงของ
ประเทศหรือไม่

และเพื่อให้ขายได้ ก็ได้แก้กฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นบริษัทโทรคมนาคมได้จากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 50%
และยกเลิกสัดส่วนกรรมการบริษัทที่ต้องเป็นคนไทยไม่น้อยกว่า 3ใน 4 นอกจากนี้ยังเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการ
ที่ซับซ้อน ท้ายที่สุดไม่ต้องเสียภาษีเลย

นอกจากนี้นายใหญ่คนนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตอีกมากมาย กรณีแก้สัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือ
เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทตัวเอง

กรณีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งศาลตัดสินจำคุก 2 ปี

กรณีสั่งให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษฎามหานคร และจากนั้นมีเส้นทางการเงินจากกษฎา
มหานครจ่ายเข้าบัญชีลูกชายตัวเอง และคนในกลุ่มของตัวเอง

ล่าสุดเป็นเรื่องกรณี เอ็กซิมแบ้งค์ ที่ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า ซึ่งก่อนหน้านั้น ในการไปเยือนพม่าได้นำทีมจาก
บริษัทตัวเองไปด้วยเพื่อนำเสนอสินค้า จากนั้นรัฐบาลพม่ามาซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมจากบริษัทตัวเอง
และยังได้ให้เอ็กซิมแบ้งค์โอนเงินตรงให้กับบริษัทตัวเองโดยไม่ต้องโอนให้กับรัฐบาลพม่า กรณีนี้ศาลตัดสิน
จำคุก 3 ปี

และยิ่งไม่ต้องพูดถึงนโยบายจำนำข้าวว่ามีการทุจริต และทำความเสียหายต่อประเทศชาติแค่ไหน

สิ่งเหล่านี้คุณธนาธรมองข้ามไปหมด ไม่เคยตั้งข้อรังเกียจเลยแม้แต่น้อย พูดอย่างเดียวว่าคตส ที่ตรวจสอบ
เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเป็นผู้แต่งตั้ง และการพิจารณาของศาลก็ทำในระหว่างรัฐบาล
ที่มาจากการรัฐประหาร จึงอาจไม่เป็นธรรม

โดยไม่ได้ไปดูเลยว่า คตส ประกอบด้วยใครบ้าง เชื่อถือได้หรือไม่ รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารประกอบ
ด้วยใครบ้าง และไม่เคยดูเลยว่าความผิดเหล่านี้มีหลักฐานที่เชื่อถือได้หรือไม่

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คุณธนาธรอ้างแต่รูปแบบและที่มา จงใจที่จะมองข้ามข้อเท็จจริง ไปทั้งหมด

เมื่อวานนี้ก็เช่นกัน คุณธนาธรให้สัมภาษณ์ทำนองว่า หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ การเมืองจะถึงทางตัน ประชาธิปไตยจะไม่มีทางกลับมาได้อีก

คุณธนาธรจงใจไม่มองเลยว่าการที่พรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 110 บ้านบาท เป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่
มันเป็นการต่อสู้กันทางการเมือง คุณธนาธรเลือกข้าง และพยายามยัดเยียดให้ประชาชนเลือกข้าง
คุณธนาธรก็ต้องไม่สะดุดขาตัวเอง ไม่ทำอะไรที่เป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้าม ใช้เล่นงานได้

ผมเองก็ไม่ชอบวิธีการของพรรคพลังประชารัฐ และไม่ได้เลือกพรรคพลังประชารัฐ และไม่ได้อยากให้พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายรัฐมนตรี แต่ก็ยิ่งรับไม่ได้ที่จะให้พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล

ความจริงพรรคอนาคตใหม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนแบบเดียวกับผม

แต่ยิ่งติดตาม ยิ่งเฝ้าดูพฤติกรรมยิ่งไม่มั่นใจในความจริงใจ และยิ่งกลายเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยเช่นนี้
ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถรับได้เช่นกันครับ

Cr.  https://www.thaipost.net/main/detail/37301
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่