สวัสดีเพื่อนๆ ชาว tag น่ำหอมทุกท่านนะครับ ช่วงนี้ดูเงียบๆ ลงกว่าเมื่อก่อนเยอะเพราะผู้คนหันไปอยู่ในเพจหรือในกลุ่มกันหมด เลยไม่ค่อยมีรีวิวเยอะเท่าไร
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมเองเริ่มรู้สึก น้ำหอมที่มีอยู่เริ่มไม่ตอบโจทย์ เริ่มเบื่อกลิ่นเก่าๆ จมูกเริ่มหาเรื่องนั่นเอง ก็เลยได้ลองหาน้ำหอมแปลกๆใช้มากขึ้น ทั้งจากเวบแบ่งขายบ้าง หรือจากเพจซื้อขายบ้าง พอเหมาะพอเจาะได้เดินทางมากขึ้น เลยได้น้ำหอมกลิ่นที่คนไทยไม่ค่อยจะดมกันมาอยู่ในคลังเล็กๆ ของผมเพิ่มเติม วันนี้เลยจะมารีวิวน้ำหอม 5 กลิ่นที่โดนใจจนต้องซื้อขวดเต็มเก็บไว้กันครับ
มาที่กลิ่นแรกก่อนเลย น้ำหอมไม่นิชแต่ไม่ค่อยมีคนใช้
1. Just Rock! For Men by Zadig and Voltaire
น้ำหอมกลิ่นวู้ดดี้โอเรียลทอล กลิ่นนี้เกิดจากตอนนั้นผมพยายามตามหาน้ำหอมกลิ่น woody จ๋าๆ มาใช้ ตัวที่โดนใจที่สุดคือ Gucci Pour Homme ขวดน้ำสีเหลืองส้ม ซึ่งดิสคอนไปแล้ว อยากได้น้ำหอมกลิ่นดินสอมาก วันนึงได้มีโอกาสลองกลิ่นนี้ที่ห้าง ด้วยกลิ่นเปิดที่มีความเป็นดินสอหวานๆ อยู่ทำให้ตัดสินใจซื้อขวดเต็มมาครับ กลิ่นช่วงเปิดเป็นกลิ่นซ่าๆ เล็กน้อยของพริกไทย ตามมาติดๆ ด้วยกลิ่นดินสอเลย ช่วงนี้จะเริ่มได้กลิ่นหวานจากวานิลลาแล้ว ช่วงกลางตัวเล่นหลักคือวานิลลาและกลิ่นดินสอ มีพิมเสนทำให้อุ่นขึ้นและดูภูมิฐาน กลิ่นช่วงกลางและท้ายจะคล้ายๆ กัน ผมมีความรู้สึกว่า เป็นนำ้หอมที่มีโน้ตไม่เยอะ blend กันได้ไม่เนียนเท่าไรแต่ก็กลมกล่อมดี
คะแนน
คุณภาพกลิ่น 3.5/5
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 4.5/5 กลิ่นไม้ติดแป้งๆ หวานๆ ยังพบได้ไม่เยอะในตลาด
ความทน 5/5 ติดยาวนานถึงเย็น
การกระจาย 4/5 กลิ่นกระจายดีมากทั้งช่วงเปิดและกลาง
ความชอบโดยรวม 4/5 ถือเป็นกลิ่นที่ไม่ได้พบมากในตลาด ราคาโอเค ติดทน และหอมเกินราคาครับ
2. Coromandel by Chanel
น้ำหอม oriental gourmand จากคอลเลคชั่น Les Exclusif กลิ่นนี้ ถือเป็น 1 ใน 2 กลิ่นสุดฮิตขายดีของรุ่น เคียงคู่มากับ Sycomore (แต่อีกกลิ่นที่ผมชอบมากๆ คือ Cuir de Russie) สำหรับผม ถ้าแบรนด์น้ำหอมหรือคนรักน้ำหอมคนไหนอยากจะลองศึกษาในน้ำหอมกลุ่ม oriental แล้วละก็ Coromandel น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด อันที่จริงกลิ่นนี้สร้างขึ้นมาอาจจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ด้วยโน้ตของ white chocolate พิมเสน และโน้ตแป้งอันเป็นเอกลักษณ์ของบ้าน แต่ทว่า เสียงชื่นชมกลับมาจากฝั่งผู้ชายเสียมากกว่า Coromandel ขวดนี้ผมได้มาในช่วงคริสต์มาสที่นิวยอร์ก ปลายปีที่ผ่านมา ราคา sale ตอนนั้น 250ml คิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 111xx บาท แพคเกจหรูหรา มีกล่องครอบ มีฐานรองนุ่มๆ กลิ่นเปิดของ Coromandel เริ่มที่กลิ่นดอกส้มใสๆ ซึ่งผมจับได้อยู่นิดเดียว แล้วตามมาด้วยกลิ่นกลางอันหอมหวลชวนฝันทันที ทั้งพิมเสน ซึ่งเป็นหัวใจหลัก และกลิ่นหวานๆ ของ white chocolate ที่เบลนด์เข้ากับพิมเสนอย่างนวลเนียน ไม่มีกลิ่นไหนโดดออกมาให้ได้กลิ่นชัดๆ เลย กลิ่นอื่นๆ จมูกผมจับไม่ได้เลยเพราะเบลนด์ได้เนียนมาก มีช่วงเบสที่ถ้าดมที่ผิวจะได้กลิ่น white musc อยู่ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลิ่นสะอาดขึ้นและสบายตัว
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 น้ำหอมของผมทั้งหมด มีเพียงกลิ่นนี้ และ LIDGE เท่านั้น ที่ทำกลิ่นออกมาได้นวลเนียน แยกโน้ตแทบไม่ออก
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ยังหากลิ่นอื่นที่มีสไตล์ใกล้เคียงกันหรือทดแทนกันได้ยาก
ความทน 5/5 เกิน 10 ชั่วโมงสำหรับผิวผม
การกระจาย 5/5 กระจายดีมากทั้งตอนต้นและกลาง ช่วงปลายกระจายอ่อนๆ
ความชอบโดยรวม 5/5 กลิ่นหอมมากจริงๆ กลิ่นดีหาตัวจับยาก ราคาแพงมากกระอักเลือด
3. Opus VI by Amouage
ผมได้พยายามลองน้ำหอมแบรนด์นี้มาหลายตัว เนื่องจากกระแสในหมู่คนรักน้ำหอมทั่วโลกต่างชื่นชมในคุณภาพของเนื้อกลิ่น แต่กลับพบว่า กลิ่นความเป็นตะวันออกกลางกับผมยังคงไปด้วยกันลำบาก แม้ในบางรุ่นที่ไม่มี oud เป็นส่วนประกอบ ผมก็ยังคงได้กลิ่นอยู่ดี สำหรับ Opus VI นั้นถือเป็น 1 ใน 3 รุ่นของแบรนด์ Amouage ที่ใช้ง่ายที่สุดในความรู้สึกของผม (อีกสองรุ่นได้แก่ Bracken Man และ Reflection Man) เปิดมาด้วยกลิ่นที่หอมมากๆ ของยางไม้และ incense ซึ่งกลายเป็นกลิ่นควันๆ ที่หอมๆ หวานๆ หอมมาก เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ผมชอบกลิ่นเปิดที่สุดเลยก็ว่าได้ อีกสักแป๊บจะเริ่มมีกลิ่นซ่าๆ คมๆ ของพริกไทยตามมา ช่วงนี้จะเริ่มแปลกๆ จมูกหน่อยๆ เพราะกลิ่นพริกไทยนั้นโดดออกมาจากกลิ่นอื่นในสัมผัสของผม ช่วงกลางจะมีพิมเสนเพิ่มเข้ามาทำให้กลิ่นแน่นขึ้น ลดความคมของพริกไทยลง อุ่นขึ้น และนวลเนียน ก่อนจะตัดเข้าสู่เบสอย่างรวดเร็ว (สำหรับผม ไม่ถึง 2 ชั่วโมงดี กลิ่นก็ถึงเบสแล้ว) ช่วงเบสจะมีกลิ่นอุ่นๆ ของแอมเบอร์มาคลุมทุกกลิ่น พริกไทยจะอ่อนลง และพิมเสนจางลงจนเกือบหายไป กลายเป็นกลิ่นพริกไทยที่มาเร็ว อยู่นาน และแอมเบอร์ก็เป็นเบสที่มาเร็วและอยู่นานเช่นกัน แม้จะเข้าช่วงท้ายเร็ว แต่ช่วงนี้หอมที่สุด และทนที่สุด
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 4/5 โน้ตแต่ละตัวหอมมาก มีเพียงช่วงเปิดที่พริกไทยอาจจะแหลมขึ้นมา คนกลัวกลิ่นแขกจะหนีก็ช่วงนี้
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ยังหากลิ่นที่แม้จะแขกแต่หอมและง่ายขนาดนี้ได้ยาก
ความทน 5/5 เช้ายันดึก
การกระจาย 4/5 กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คนฉีดกับคนอยู่ใกล้จะได้กลิ่นคนละกลิ่น ซึ่งกลิ่นที่กระจายออกไปนั้นหอมมาก กระจายดีมาก ทั้งต้นและกลาง ส่วนกลิ่นติดตัวจะได้กลิ่นตลอดและจะเด่นที่พรกไทย
ความชอบโดยรวม 4/5 หอมมากจริงๆ แต่อาจจะไม่สามารถใส่ได้ทุกวัน เพราะกลิ่นแหลมของพริกไทยและแอมเบอร์ทำให้เนื้อกลิ่นดูแน่นพอควร
4. Eau Politesse Edition - Gris Clair by Serge Lutens
ผมได้ลองกลิ่นนี้ครั้งแรกจากน้ำหอมแบ่งขายร้านคุณเกียรติ ปรากฏว่า ชอบในเนื้อกลิ่นแปลกๆ มาก จึงไปหาซื้อขวดเต็ม ซึ่งเมืองไทยไม่มีชอปของแบรนด์นี้ ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้ไปญี่ปุ่น จึงกะจะไปหิ้วกลับมา แต่ดันเพิ่งรู้จากชอปว่า รุ่นนั้นดิสคอนไปตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ที่ชอปไม่มีของ ตอนนั้นก็หมดหวัง คงต้องสั่งจาก ebay ความโชคดีคือ ไปเปิดเวบ lucky scent เลยเจอว่า กลิ่นนี้ได้ออกมาขายใหม่ในคอลเลคชั่นที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือ Eau Politesse Edition แถมขายในราคารุ่นทั่วไปด้วย แต่ได้ขวดใหญ่กว่า (100ml แต่รุ่นปกติจะได้ 50ml ในราคาเดียวกัน) ก็ซื้อมาสิครับ Gris Clair เป็นน้ำหอมแนว aromatic ที่เกือบจะเป็น fougere เพราะมีทั้งลาเวนเดอร์ ถั่วตองกา ขาดแต่โอ๊คมอส ปกติผมจะไม่ชอบโน้ตลาเวนเดอร์ในน้ำหอมเลย รู้สึกมันแหลม มันคมไป มันดู too masculin แต่ Gris Clair ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด เปิดด้วยกลิ่น lavender ที่ธรรมชาติมากๆ หอม อวล ไม่คมเหมือน lavender ที่เจอในน้ำหอมตัวอื่น กลิ่นกลางมีแอมเบอร์ทำให้กลิ่นอุ่นขึ้น และมีถั่วตองกาหวานๆ มาตัด เสริมให้กลิ่นดูอ่อนหวาน ลดความแมนลง ช่วงเบสคือที่สุดของกลิ่นนี้ เป็นการทำให้ลาเวนเดอร์ไปถึงจุดที่คาดไม่ถึง ด้วยการใส่โน้ตควันเข้ามาเพิ่ม จากลาเวนเดอร์อุ่นๆ พอมีกลิ่น smoke เพิ่มเติมขึ้นมา มันทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่ในบ้านไม้ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวสุดๆ แต่มีเตาผิงที่มีกลิ่นไม้กลิ่นฟืนอ่อนๆ แล้วมีคนโยนช่อลาเวนเดอร์ลงมาเผา ทำให้ทั้งห้องอุ่นและหอมไปด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ไหม้ๆ หอมมาก หาตัวจับยากจริงๆ สิ่งเดียวที่เสียดายคือ พอกลิ่นนี้กลับมาอีกครั้งใน collection ใหม่ ปริมาณเยอะขึ้น แต่ความเข้มข้นกลับน้อยลง รุ่นก่อนผมฉีดที่ต้นคอนี่ถึงกับแสบเพราะเข้มข้นมาก แต่รุ่นนี้ไม่แสบ เนื้อกลิ่นบางลง ใสขึ้น กระจายน้อยลง แต่ยังดีที่ทนเหมือนเดิม อาจทำเพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้น เพราะกลิ่นเก่าลาเวนเดอร์เข้มมากจนหลายคนไม่ชอบเลยก็มี
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 นี่คือลาเวนเดอร์ที่ธรรมชาติที่สุดในประสบการณ์ของผม
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 กลิ่นเดียวที่เคยเจอที่ทำลาเวนเดอร์ออกมาได้อุ่นๆ แบบนี้
การกระจาย 3/5 พอความเข้มข้นลดลง ก็กระจายได้น้อยลง กระจายดีแค่ช่วงแรก หลังจากนั้นจะกระจายตอนขยับตัวหรือมีเหงื่อออก
ความทน 5/5 แม้จะบาง แต่ยังติดผิวเช้าจรดเย็น
ความชอบโดยรวม 4/5 ถ้าได้ตัวเก่ามา คงจะฟินกว่านี้ ผมคงต้องหาต่อไป เพราะชอบกลิ่นแน่นๆ แบบตัวเก่ามากกว่า
5. L’orpheline by Serge Lutens
น้ำหอมจาก Serge Lutens อีกตัวที่ผมซื้อมาจากญี่ปุ่น เป็นกลิ่นที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบ แต่พอไปลองดมที่เคาท์เตอร์แล้วรู้สึกเป็นกลิ่นที่ซ่อนอะไรไว้ด้านหลัง ที่ว่าซ่อนเพราะพีระมิดโน้ตไม่บอกข้อมูลอะไรเราเยอะ เปิดด้วยกลิ่นควันๆ แต่เป็นควันที่สะอาดๆ กลิ่นควันแห้งๆ ติดกลิ่นดิน ไม่ขโมง ไม่รู้สึกแน่นแต่รู้สึกซ่าๆ เย็นๆ ในควันนั้น มีความ metalic หน่อยๆ บางครั้งผมยังได้กลิ่นหญ้าแฝกด้วยแม้ในพีระมิดไม่ได้พูดถึง ยิ่งทำให้ควันดูสะอาดเข้าไปอีก กลิ่นกลางอุ่นและอ่อนลงด้วยพิมเสน เป็นพิมเสนแห้งๆ อ่อนๆ คล้ายใบพิมเสนสดๆ มากกว่าพิมเสนที่เราเคยได้กลิ่น อาจจะเป็นเพราะมี musc ที่อยู่ในเบสลอยมาก็ได้ ทำให้เรารู้สึกถึงความสะอาด และความ earthy ของกลิ่น musc ในช่วงท้ายติดผิว ขับกลิ่นควันให้บางลง และถ้าเหงื่อออกจะโชยกลิ่นสะอาดๆ ขึ้นมา ทำให้เราไม่รู้สึกสกปรกหรือเหนอะหนะ อันนี้ถือเป็นความพิเศษของกลิ่นนี้
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 การันตีด้วยแบรนด์ Serge Lutens ต้องคัดคุณภาพแน่นอน ทั้งมัสก์คุณภาพดีและพิมเสนกลิ่นที่ดูสดๆ
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ไม่มีกลิ่นควันสะอาดๆ แบบนี้ในตลาดแน่นอน
ความทน 4/5 อยู่ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง น้ำหอมที่มีเบสเป็น musc กับผิวผมไม่ถูกกันเท่าไร เหงื่อมาก็หายแล้ว
การกระจาย 2/5 เป็นน้ำหอมที่ไม่ offense ใครใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนรอบตัวจะได้กลิ่นจางๆ เวลาลมพัดไปหาหรือเราขยับตัว
ความชอบโดยรวม 5/5 ชอบในความ unique ของเนื้อกลิ่นและความ versatile จะใส่ไปไหนก็ได้หมดแม้ตอนออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่ไม่มีโน้ตสดชื่นเลยก็ตาม
จบแล้วครับสำหรับการรีวิวครั้งนี้ ตอนนี้ก็ใช้หนี้ไปพลางๆ มีเงินค่อยเจอกันใหม่ครับ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับทุกท่าน
[CR] Review น้ำหอมใหม่ในปีนี้ 5 กลิ่น เมื่อจมูกพยายามจะ Niche ไม่รู้จะนิชได้ไหม
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมเองเริ่มรู้สึก น้ำหอมที่มีอยู่เริ่มไม่ตอบโจทย์ เริ่มเบื่อกลิ่นเก่าๆ จมูกเริ่มหาเรื่องนั่นเอง ก็เลยได้ลองหาน้ำหอมแปลกๆใช้มากขึ้น ทั้งจากเวบแบ่งขายบ้าง หรือจากเพจซื้อขายบ้าง พอเหมาะพอเจาะได้เดินทางมากขึ้น เลยได้น้ำหอมกลิ่นที่คนไทยไม่ค่อยจะดมกันมาอยู่ในคลังเล็กๆ ของผมเพิ่มเติม วันนี้เลยจะมารีวิวน้ำหอม 5 กลิ่นที่โดนใจจนต้องซื้อขวดเต็มเก็บไว้กันครับ
มาที่กลิ่นแรกก่อนเลย น้ำหอมไม่นิชแต่ไม่ค่อยมีคนใช้
1. Just Rock! For Men by Zadig and Voltaire
น้ำหอมกลิ่นวู้ดดี้โอเรียลทอล กลิ่นนี้เกิดจากตอนนั้นผมพยายามตามหาน้ำหอมกลิ่น woody จ๋าๆ มาใช้ ตัวที่โดนใจที่สุดคือ Gucci Pour Homme ขวดน้ำสีเหลืองส้ม ซึ่งดิสคอนไปแล้ว อยากได้น้ำหอมกลิ่นดินสอมาก วันนึงได้มีโอกาสลองกลิ่นนี้ที่ห้าง ด้วยกลิ่นเปิดที่มีความเป็นดินสอหวานๆ อยู่ทำให้ตัดสินใจซื้อขวดเต็มมาครับ กลิ่นช่วงเปิดเป็นกลิ่นซ่าๆ เล็กน้อยของพริกไทย ตามมาติดๆ ด้วยกลิ่นดินสอเลย ช่วงนี้จะเริ่มได้กลิ่นหวานจากวานิลลาแล้ว ช่วงกลางตัวเล่นหลักคือวานิลลาและกลิ่นดินสอ มีพิมเสนทำให้อุ่นขึ้นและดูภูมิฐาน กลิ่นช่วงกลางและท้ายจะคล้ายๆ กัน ผมมีความรู้สึกว่า เป็นนำ้หอมที่มีโน้ตไม่เยอะ blend กันได้ไม่เนียนเท่าไรแต่ก็กลมกล่อมดี
คะแนน
คุณภาพกลิ่น 3.5/5
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 4.5/5 กลิ่นไม้ติดแป้งๆ หวานๆ ยังพบได้ไม่เยอะในตลาด
ความทน 5/5 ติดยาวนานถึงเย็น
การกระจาย 4/5 กลิ่นกระจายดีมากทั้งช่วงเปิดและกลาง
ความชอบโดยรวม 4/5 ถือเป็นกลิ่นที่ไม่ได้พบมากในตลาด ราคาโอเค ติดทน และหอมเกินราคาครับ
2. Coromandel by Chanel
น้ำหอม oriental gourmand จากคอลเลคชั่น Les Exclusif กลิ่นนี้ ถือเป็น 1 ใน 2 กลิ่นสุดฮิตขายดีของรุ่น เคียงคู่มากับ Sycomore (แต่อีกกลิ่นที่ผมชอบมากๆ คือ Cuir de Russie) สำหรับผม ถ้าแบรนด์น้ำหอมหรือคนรักน้ำหอมคนไหนอยากจะลองศึกษาในน้ำหอมกลุ่ม oriental แล้วละก็ Coromandel น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด อันที่จริงกลิ่นนี้สร้างขึ้นมาอาจจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ด้วยโน้ตของ white chocolate พิมเสน และโน้ตแป้งอันเป็นเอกลักษณ์ของบ้าน แต่ทว่า เสียงชื่นชมกลับมาจากฝั่งผู้ชายเสียมากกว่า Coromandel ขวดนี้ผมได้มาในช่วงคริสต์มาสที่นิวยอร์ก ปลายปีที่ผ่านมา ราคา sale ตอนนั้น 250ml คิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 111xx บาท แพคเกจหรูหรา มีกล่องครอบ มีฐานรองนุ่มๆ กลิ่นเปิดของ Coromandel เริ่มที่กลิ่นดอกส้มใสๆ ซึ่งผมจับได้อยู่นิดเดียว แล้วตามมาด้วยกลิ่นกลางอันหอมหวลชวนฝันทันที ทั้งพิมเสน ซึ่งเป็นหัวใจหลัก และกลิ่นหวานๆ ของ white chocolate ที่เบลนด์เข้ากับพิมเสนอย่างนวลเนียน ไม่มีกลิ่นไหนโดดออกมาให้ได้กลิ่นชัดๆ เลย กลิ่นอื่นๆ จมูกผมจับไม่ได้เลยเพราะเบลนด์ได้เนียนมาก มีช่วงเบสที่ถ้าดมที่ผิวจะได้กลิ่น white musc อยู่ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลิ่นสะอาดขึ้นและสบายตัว
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 น้ำหอมของผมทั้งหมด มีเพียงกลิ่นนี้ และ LIDGE เท่านั้น ที่ทำกลิ่นออกมาได้นวลเนียน แยกโน้ตแทบไม่ออก
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ยังหากลิ่นอื่นที่มีสไตล์ใกล้เคียงกันหรือทดแทนกันได้ยาก
ความทน 5/5 เกิน 10 ชั่วโมงสำหรับผิวผม
การกระจาย 5/5 กระจายดีมากทั้งตอนต้นและกลาง ช่วงปลายกระจายอ่อนๆ
ความชอบโดยรวม 5/5 กลิ่นหอมมากจริงๆ กลิ่นดีหาตัวจับยาก ราคาแพงมากกระอักเลือด
3. Opus VI by Amouage
ผมได้พยายามลองน้ำหอมแบรนด์นี้มาหลายตัว เนื่องจากกระแสในหมู่คนรักน้ำหอมทั่วโลกต่างชื่นชมในคุณภาพของเนื้อกลิ่น แต่กลับพบว่า กลิ่นความเป็นตะวันออกกลางกับผมยังคงไปด้วยกันลำบาก แม้ในบางรุ่นที่ไม่มี oud เป็นส่วนประกอบ ผมก็ยังคงได้กลิ่นอยู่ดี สำหรับ Opus VI นั้นถือเป็น 1 ใน 3 รุ่นของแบรนด์ Amouage ที่ใช้ง่ายที่สุดในความรู้สึกของผม (อีกสองรุ่นได้แก่ Bracken Man และ Reflection Man) เปิดมาด้วยกลิ่นที่หอมมากๆ ของยางไม้และ incense ซึ่งกลายเป็นกลิ่นควันๆ ที่หอมๆ หวานๆ หอมมาก เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ผมชอบกลิ่นเปิดที่สุดเลยก็ว่าได้ อีกสักแป๊บจะเริ่มมีกลิ่นซ่าๆ คมๆ ของพริกไทยตามมา ช่วงนี้จะเริ่มแปลกๆ จมูกหน่อยๆ เพราะกลิ่นพริกไทยนั้นโดดออกมาจากกลิ่นอื่นในสัมผัสของผม ช่วงกลางจะมีพิมเสนเพิ่มเข้ามาทำให้กลิ่นแน่นขึ้น ลดความคมของพริกไทยลง อุ่นขึ้น และนวลเนียน ก่อนจะตัดเข้าสู่เบสอย่างรวดเร็ว (สำหรับผม ไม่ถึง 2 ชั่วโมงดี กลิ่นก็ถึงเบสแล้ว) ช่วงเบสจะมีกลิ่นอุ่นๆ ของแอมเบอร์มาคลุมทุกกลิ่น พริกไทยจะอ่อนลง และพิมเสนจางลงจนเกือบหายไป กลายเป็นกลิ่นพริกไทยที่มาเร็ว อยู่นาน และแอมเบอร์ก็เป็นเบสที่มาเร็วและอยู่นานเช่นกัน แม้จะเข้าช่วงท้ายเร็ว แต่ช่วงนี้หอมที่สุด และทนที่สุด
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 4/5 โน้ตแต่ละตัวหอมมาก มีเพียงช่วงเปิดที่พริกไทยอาจจะแหลมขึ้นมา คนกลัวกลิ่นแขกจะหนีก็ช่วงนี้
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ยังหากลิ่นที่แม้จะแขกแต่หอมและง่ายขนาดนี้ได้ยาก
ความทน 5/5 เช้ายันดึก
การกระจาย 4/5 กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คนฉีดกับคนอยู่ใกล้จะได้กลิ่นคนละกลิ่น ซึ่งกลิ่นที่กระจายออกไปนั้นหอมมาก กระจายดีมาก ทั้งต้นและกลาง ส่วนกลิ่นติดตัวจะได้กลิ่นตลอดและจะเด่นที่พรกไทย
ความชอบโดยรวม 4/5 หอมมากจริงๆ แต่อาจจะไม่สามารถใส่ได้ทุกวัน เพราะกลิ่นแหลมของพริกไทยและแอมเบอร์ทำให้เนื้อกลิ่นดูแน่นพอควร
4. Eau Politesse Edition - Gris Clair by Serge Lutens
ผมได้ลองกลิ่นนี้ครั้งแรกจากน้ำหอมแบ่งขายร้านคุณเกียรติ ปรากฏว่า ชอบในเนื้อกลิ่นแปลกๆ มาก จึงไปหาซื้อขวดเต็ม ซึ่งเมืองไทยไม่มีชอปของแบรนด์นี้ ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้ไปญี่ปุ่น จึงกะจะไปหิ้วกลับมา แต่ดันเพิ่งรู้จากชอปว่า รุ่นนั้นดิสคอนไปตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ที่ชอปไม่มีของ ตอนนั้นก็หมดหวัง คงต้องสั่งจาก ebay ความโชคดีคือ ไปเปิดเวบ lucky scent เลยเจอว่า กลิ่นนี้ได้ออกมาขายใหม่ในคอลเลคชั่นที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือ Eau Politesse Edition แถมขายในราคารุ่นทั่วไปด้วย แต่ได้ขวดใหญ่กว่า (100ml แต่รุ่นปกติจะได้ 50ml ในราคาเดียวกัน) ก็ซื้อมาสิครับ Gris Clair เป็นน้ำหอมแนว aromatic ที่เกือบจะเป็น fougere เพราะมีทั้งลาเวนเดอร์ ถั่วตองกา ขาดแต่โอ๊คมอส ปกติผมจะไม่ชอบโน้ตลาเวนเดอร์ในน้ำหอมเลย รู้สึกมันแหลม มันคมไป มันดู too masculin แต่ Gris Clair ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด เปิดด้วยกลิ่น lavender ที่ธรรมชาติมากๆ หอม อวล ไม่คมเหมือน lavender ที่เจอในน้ำหอมตัวอื่น กลิ่นกลางมีแอมเบอร์ทำให้กลิ่นอุ่นขึ้น และมีถั่วตองกาหวานๆ มาตัด เสริมให้กลิ่นดูอ่อนหวาน ลดความแมนลง ช่วงเบสคือที่สุดของกลิ่นนี้ เป็นการทำให้ลาเวนเดอร์ไปถึงจุดที่คาดไม่ถึง ด้วยการใส่โน้ตควันเข้ามาเพิ่ม จากลาเวนเดอร์อุ่นๆ พอมีกลิ่น smoke เพิ่มเติมขึ้นมา มันทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่ในบ้านไม้ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวสุดๆ แต่มีเตาผิงที่มีกลิ่นไม้กลิ่นฟืนอ่อนๆ แล้วมีคนโยนช่อลาเวนเดอร์ลงมาเผา ทำให้ทั้งห้องอุ่นและหอมไปด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ไหม้ๆ หอมมาก หาตัวจับยากจริงๆ สิ่งเดียวที่เสียดายคือ พอกลิ่นนี้กลับมาอีกครั้งใน collection ใหม่ ปริมาณเยอะขึ้น แต่ความเข้มข้นกลับน้อยลง รุ่นก่อนผมฉีดที่ต้นคอนี่ถึงกับแสบเพราะเข้มข้นมาก แต่รุ่นนี้ไม่แสบ เนื้อกลิ่นบางลง ใสขึ้น กระจายน้อยลง แต่ยังดีที่ทนเหมือนเดิม อาจทำเพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้น เพราะกลิ่นเก่าลาเวนเดอร์เข้มมากจนหลายคนไม่ชอบเลยก็มี
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 นี่คือลาเวนเดอร์ที่ธรรมชาติที่สุดในประสบการณ์ของผม
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 กลิ่นเดียวที่เคยเจอที่ทำลาเวนเดอร์ออกมาได้อุ่นๆ แบบนี้
การกระจาย 3/5 พอความเข้มข้นลดลง ก็กระจายได้น้อยลง กระจายดีแค่ช่วงแรก หลังจากนั้นจะกระจายตอนขยับตัวหรือมีเหงื่อออก
ความทน 5/5 แม้จะบาง แต่ยังติดผิวเช้าจรดเย็น
ความชอบโดยรวม 4/5 ถ้าได้ตัวเก่ามา คงจะฟินกว่านี้ ผมคงต้องหาต่อไป เพราะชอบกลิ่นแน่นๆ แบบตัวเก่ามากกว่า
5. L’orpheline by Serge Lutens
น้ำหอมจาก Serge Lutens อีกตัวที่ผมซื้อมาจากญี่ปุ่น เป็นกลิ่นที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบ แต่พอไปลองดมที่เคาท์เตอร์แล้วรู้สึกเป็นกลิ่นที่ซ่อนอะไรไว้ด้านหลัง ที่ว่าซ่อนเพราะพีระมิดโน้ตไม่บอกข้อมูลอะไรเราเยอะ เปิดด้วยกลิ่นควันๆ แต่เป็นควันที่สะอาดๆ กลิ่นควันแห้งๆ ติดกลิ่นดิน ไม่ขโมง ไม่รู้สึกแน่นแต่รู้สึกซ่าๆ เย็นๆ ในควันนั้น มีความ metalic หน่อยๆ บางครั้งผมยังได้กลิ่นหญ้าแฝกด้วยแม้ในพีระมิดไม่ได้พูดถึง ยิ่งทำให้ควันดูสะอาดเข้าไปอีก กลิ่นกลางอุ่นและอ่อนลงด้วยพิมเสน เป็นพิมเสนแห้งๆ อ่อนๆ คล้ายใบพิมเสนสดๆ มากกว่าพิมเสนที่เราเคยได้กลิ่น อาจจะเป็นเพราะมี musc ที่อยู่ในเบสลอยมาก็ได้ ทำให้เรารู้สึกถึงความสะอาด และความ earthy ของกลิ่น musc ในช่วงท้ายติดผิว ขับกลิ่นควันให้บางลง และถ้าเหงื่อออกจะโชยกลิ่นสะอาดๆ ขึ้นมา ทำให้เราไม่รู้สึกสกปรกหรือเหนอะหนะ อันนี้ถือเป็นความพิเศษของกลิ่นนี้
คะแนน
คุณภาพของกลิ่น 5/5 การันตีด้วยแบรนด์ Serge Lutens ต้องคัดคุณภาพแน่นอน ทั้งมัสก์คุณภาพดีและพิมเสนกลิ่นที่ดูสดๆ
ความเฉพาะตัวของกลิ่น 5/5 ไม่มีกลิ่นควันสะอาดๆ แบบนี้ในตลาดแน่นอน
ความทน 4/5 อยู่ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง น้ำหอมที่มีเบสเป็น musc กับผิวผมไม่ถูกกันเท่าไร เหงื่อมาก็หายแล้ว
การกระจาย 2/5 เป็นน้ำหอมที่ไม่ offense ใครใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนรอบตัวจะได้กลิ่นจางๆ เวลาลมพัดไปหาหรือเราขยับตัว
ความชอบโดยรวม 5/5 ชอบในความ unique ของเนื้อกลิ่นและความ versatile จะใส่ไปไหนก็ได้หมดแม้ตอนออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่ไม่มีโน้ตสดชื่นเลยก็ตาม
จบแล้วครับสำหรับการรีวิวครั้งนี้ ตอนนี้ก็ใช้หนี้ไปพลางๆ มีเงินค่อยเจอกันใหม่ครับ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบครับทุกท่าน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้