สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอมารีวิวการกรอกระดูกเหงือก และตัดเหงือกเพิ่มความยาวฟัน
ก่อนอื่นต้องขอเล่ารายละเอียดของผมก่อนนะครับ ว่าทำไมถึงตัดสินใจให้คุณหมอทำการกรอกระดูกเหงือกและตัดเหงือกเพิ่มความยาวฟัน
ผมเป็นคนที่มีปุ่มเหงือกค่อนข้างเยอะครับ มันจะขึ้นปูดๆบริเวณด้านข้างของฟันด้านบนทั้ง 2 ข้างคือยิ้มทีเหงือกทั้งบานทั้งปูดครับ 555 ผมเลยตัดสินใจปรึกษาคุณหมอเพื่อจัดฟันตอนปี 2558
โดยที่คิดว่าเมื่อจัดฟันเสร็จแล้วไอ้กระดูกที่ปูดๆที่ว่ามันจะหายไป ซึ่งการจัดฟันครั้งนี้ผมเองไม่ได้คำนึงถึงความสะดวกในการพบแพทย์ เพราะปกติแล้วต้องเข้ามาให้คุณหมอตรวจเช็คและเปลี่ยนยางดึงฟันทุกเดือน เหตุก็คือผมเปลี่ยนที่ทำงานถึง 3 ที่ ในช่วงเวลาที่จัดฟัน ทำให้ต้องย้ายคลินิคจัดฟันถึง 3 ที่
ระยะเวลาในการจัดฟันเลยค่อนข้างนานพอสมควร (เริ่มจัดปี 2558 เสร็จปี 2562)
จนในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง 55555 เมื่อคุณหมอนัดถอดเครื่องมือจัดฟัน ครั้งแรกที่เอาเหล็กออกจากปาก มันเป็นความรู้สึกที่โล่งมากๆๆ คนที่เคยจัดฟันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี นึกถึงว่าถ้าต้องมีวัตถุอยู่ในปากเราถึง 4-5 ปีดูแล้วกันนะครับ : D มันจะรู้สึกรำคาญขนาดไหน
แต่ไม่จบแค่นั้นครับ เมื่อจัดฟันเสร็จ กระดูกเหงือกที่ว่ามันไม่ได้ยุบไปด้วย มันแค่เคลื่อนตามฟันที่มันขยับเฉยๆ ผมจึงตัดสินใจปรึกษาคุณหมอ
เรื่องตัดกระดูกที่มันนูนออกมา และเนื่องจากผมเป็นคนฟันค่อนข้างสั้น (ตามรูป)
ผมจึงได้ปรึกษาคุณหมอเรื่องตัดเหงือกเพื่อเพิ่มความยาวฟันด้วย คุณหมดบอกเวลาเคสของผมสามารถทำได้ จึงตัดสินใจทำเลยครับ
คุณหมอพูดเพราะ และใจดีมากๆครับ ทำให้เราคลายกังวลลงไปได้เยอะเลยครับ
มาเริ่มกันที่ห้องผ่าตัดเลยนะครับ ครั้งแรกที่เปิดประตูเข้าไปแอบตกใจนิดนึงครับ เห็นเครื่องมือคุณหมอวางเรียงกันเต็มถาด นึกในใจว่านี่เราจะโดนอะไรบ้างเนี้ย 5555
เริ่มแรกคุณหมอก็ใช้ยาชาชนิดทาป้ายบริเวณเหงือก จากนั้นรอสักพักคุณหมอจึงเริ่มฉีดยาเข้าที่เหงือก ริมฝีปาก และบริเวณเพดานด้านในครับ (เข็มนี้เจ็บสุด) จากนั้นคุณหมอก็ให้นั่งพักเพื่อรอให้ยาชาออกฤทธิ์ครับ เมื่อยาชาออกฤทธิ์คุณหมอก็คลุมผ่าและเริ่มจัดการกับเจ้ากระดูกเหงือกของผมครับ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าขั้นตอนอย่างละเอียดมีอะไรบ้าง เพราะผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ครับ ได้ยินแต่เสียงซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องกรอกระดูก และเสียงสนทนาระหว่างคุณหมอกับผู้ช่วย แต่เราจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยครับ แค่รู้สึกว่ามีการกระทำกับเหงือกเราเฉยๆ (ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดครับ)
จนทุกอย่างเรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กว่าๆ คุณหมอก็เปิดผ้าคลุมหน้าออก ผู้ช่วยยื่นกระจกมาให้ถือครั้งแรกที่เห็นคือถูกใจมากๆๆครับ
เพราะไอ้กระดูกปูดๆที่ว่ามันได้หายไปแล้วครับ เหลือแต่เหงือกเรียบๆ คือชอบมากครับ จากนั้นคุณหมอก็อธิบายว่าเคสของเราอาจจะไม่สามารถกรอให้จนเรียบแบบจนเนียนสนิทไปได้ เนื่องจากว่าอาจจะกระทบรากฟัน แค่แค่นี้ผมก็พอใจมากๆแล้วครับ หลังจากนั้นคุณหมอก็เย็บแผลให้ ช่วงนี้อาจจะมีรู้สึกจี๊ดๆบ้างครับ ผมเลยยกมือบอกคุณหมอ คุณหมอเลยเติมยาชาเพิ่มให้ครับ เมื่อเย็บเสร็จคุณหมอก็แจ้งเรื่องการรักษาความสะอาดของแผลและการดูแลตัวเอง และให้กัดผ้ากอซ 1 ชั่วโมงค่อยเอาออกครับ
ออกจากห้องนั่งสักพักผู้ช่วยคุณหมอก็เรียกไปเพื่อรับยา และนัดตัดไหม (จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้สึกเจ็บนะครับแค่ชาๆที่ปาก รู้สึกเหมือนปากเบินๆเฉยๆครับ555) ยาที่ได้มาจะเป็นยาแก้บวม ยาแก้อักเสบ และยาแก้ปวดครับ
มาดูแผลวันแรกกันครับ (ขออภัยรูปใหญ่นิดนึงนะครับ)
- - วันที่ 1 - -
วันแรกแผลยังไม่ค่อยบวมครับ มีเลือดซิบๆบ้าง (สีดำๆคือไหมที่ใช้เย็บครับ)
- - วันที่ 2 - -
วันนี้แผลเริ่มบวมกว่าวันแรกครับ แก้มบวมด้วยครับ
- - วันที่ 3 - -
เริ่มหายบวมกว่าวันที่ 2 นิดนึงครับ
- - วันที่ 4 - -
แผลเริมแห้งและปิดสนิทครับ
- - วันที่ 6 - -
ตัดไหมแล้ว
ตอนนี้แผลร้อยละ 90 เริ่มหายแล้วครับ จะยังเหลือแก้มบวมๆบ้าง ซึ่งกรณีนี้แล้วแต่เคสเลยครับ ว่าร่างกายใครตอบสนองมากแค่ไหน
อันนี้คือรอยเขียว-เหลือง จากรอบช้ำแรกๆครับ แต่ไม่เจ็บนะครับ
- - วันที่ 7 - -
ครบ 1 สัปดาห์แล้วครับ โดยรวมถือว่าแผลใกล้หายเกือบ 100% ครับ อาจจะยังเหลือรายเหลืองข้างแก้มและยังรู้สึกแก้มยังบวมอีกนิดนึงครับ
ส่วนเหงือกเองก็ยังไม่เข้าที่ 100% อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนครับ
ส่วนรูปนี้เป็นรูปเปรียบเปรียบระหว่างก่อนและหลังทำนะครับ จะสังเกตุว่าฟันดูยาวขึ้นและได้ทรงมากขึ้น ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ ปลื้มมากครับ : )
ในเคสของผมหมอนัดเข้าไปเช็คอีกทีหลังจาก 1 เดือนครับ เพื่อติดตามผล เดี๋ยวจะมารีวิวให้เพิ่มเติมให้อีกครั้งนะครับ
ใครที่คิดอยากจะทำแต่ยังไม่กล้าตัดสินใจ อยากจะบอกว่ามันไม่เจ็บและน่ากลัวเหมือนที่คิดเลยครับ
เพื่อรอยยิ้มและฟันสวยของเราครับผม ^^
Review : กรอกระดูกเหงือก และตัดเหงือกเพิ่มความยาวฟัน
ก่อนอื่นต้องขอเล่ารายละเอียดของผมก่อนนะครับ ว่าทำไมถึงตัดสินใจให้คุณหมอทำการกรอกระดูกเหงือกและตัดเหงือกเพิ่มความยาวฟัน
ผมเป็นคนที่มีปุ่มเหงือกค่อนข้างเยอะครับ มันจะขึ้นปูดๆบริเวณด้านข้างของฟันด้านบนทั้ง 2 ข้างคือยิ้มทีเหงือกทั้งบานทั้งปูดครับ 555 ผมเลยตัดสินใจปรึกษาคุณหมอเพื่อจัดฟันตอนปี 2558
โดยที่คิดว่าเมื่อจัดฟันเสร็จแล้วไอ้กระดูกที่ปูดๆที่ว่ามันจะหายไป ซึ่งการจัดฟันครั้งนี้ผมเองไม่ได้คำนึงถึงความสะดวกในการพบแพทย์ เพราะปกติแล้วต้องเข้ามาให้คุณหมอตรวจเช็คและเปลี่ยนยางดึงฟันทุกเดือน เหตุก็คือผมเปลี่ยนที่ทำงานถึง 3 ที่ ในช่วงเวลาที่จัดฟัน ทำให้ต้องย้ายคลินิคจัดฟันถึง 3 ที่
ระยะเวลาในการจัดฟันเลยค่อนข้างนานพอสมควร (เริ่มจัดปี 2558 เสร็จปี 2562)
จนในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง 55555 เมื่อคุณหมอนัดถอดเครื่องมือจัดฟัน ครั้งแรกที่เอาเหล็กออกจากปาก มันเป็นความรู้สึกที่โล่งมากๆๆ คนที่เคยจัดฟันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี นึกถึงว่าถ้าต้องมีวัตถุอยู่ในปากเราถึง 4-5 ปีดูแล้วกันนะครับ : D มันจะรู้สึกรำคาญขนาดไหน
แต่ไม่จบแค่นั้นครับ เมื่อจัดฟันเสร็จ กระดูกเหงือกที่ว่ามันไม่ได้ยุบไปด้วย มันแค่เคลื่อนตามฟันที่มันขยับเฉยๆ ผมจึงตัดสินใจปรึกษาคุณหมอ
เรื่องตัดกระดูกที่มันนูนออกมา และเนื่องจากผมเป็นคนฟันค่อนข้างสั้น (ตามรูป) ผมจึงได้ปรึกษาคุณหมอเรื่องตัดเหงือกเพื่อเพิ่มความยาวฟันด้วย คุณหมดบอกเวลาเคสของผมสามารถทำได้ จึงตัดสินใจทำเลยครับ
คุณหมอพูดเพราะ และใจดีมากๆครับ ทำให้เราคลายกังวลลงไปได้เยอะเลยครับ
มาเริ่มกันที่ห้องผ่าตัดเลยนะครับ ครั้งแรกที่เปิดประตูเข้าไปแอบตกใจนิดนึงครับ เห็นเครื่องมือคุณหมอวางเรียงกันเต็มถาด นึกในใจว่านี่เราจะโดนอะไรบ้างเนี้ย 5555
เริ่มแรกคุณหมอก็ใช้ยาชาชนิดทาป้ายบริเวณเหงือก จากนั้นรอสักพักคุณหมอจึงเริ่มฉีดยาเข้าที่เหงือก ริมฝีปาก และบริเวณเพดานด้านในครับ (เข็มนี้เจ็บสุด) จากนั้นคุณหมอก็ให้นั่งพักเพื่อรอให้ยาชาออกฤทธิ์ครับ เมื่อยาชาออกฤทธิ์คุณหมอก็คลุมผ่าและเริ่มจัดการกับเจ้ากระดูกเหงือกของผมครับ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าขั้นตอนอย่างละเอียดมีอะไรบ้าง เพราะผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ครับ ได้ยินแต่เสียงซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องกรอกระดูก และเสียงสนทนาระหว่างคุณหมอกับผู้ช่วย แต่เราจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยครับ แค่รู้สึกว่ามีการกระทำกับเหงือกเราเฉยๆ (ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดครับ)
จนทุกอย่างเรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กว่าๆ คุณหมอก็เปิดผ้าคลุมหน้าออก ผู้ช่วยยื่นกระจกมาให้ถือครั้งแรกที่เห็นคือถูกใจมากๆๆครับ
เพราะไอ้กระดูกปูดๆที่ว่ามันได้หายไปแล้วครับ เหลือแต่เหงือกเรียบๆ คือชอบมากครับ จากนั้นคุณหมอก็อธิบายว่าเคสของเราอาจจะไม่สามารถกรอให้จนเรียบแบบจนเนียนสนิทไปได้ เนื่องจากว่าอาจจะกระทบรากฟัน แค่แค่นี้ผมก็พอใจมากๆแล้วครับ หลังจากนั้นคุณหมอก็เย็บแผลให้ ช่วงนี้อาจจะมีรู้สึกจี๊ดๆบ้างครับ ผมเลยยกมือบอกคุณหมอ คุณหมอเลยเติมยาชาเพิ่มให้ครับ เมื่อเย็บเสร็จคุณหมอก็แจ้งเรื่องการรักษาความสะอาดของแผลและการดูแลตัวเอง และให้กัดผ้ากอซ 1 ชั่วโมงค่อยเอาออกครับ
ออกจากห้องนั่งสักพักผู้ช่วยคุณหมอก็เรียกไปเพื่อรับยา และนัดตัดไหม (จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้สึกเจ็บนะครับแค่ชาๆที่ปาก รู้สึกเหมือนปากเบินๆเฉยๆครับ555) ยาที่ได้มาจะเป็นยาแก้บวม ยาแก้อักเสบ และยาแก้ปวดครับ
มาดูแผลวันแรกกันครับ (ขออภัยรูปใหญ่นิดนึงนะครับ)
- - วันที่ 1 - -
วันแรกแผลยังไม่ค่อยบวมครับ มีเลือดซิบๆบ้าง (สีดำๆคือไหมที่ใช้เย็บครับ)
- - วันที่ 2 - -
วันนี้แผลเริ่มบวมกว่าวันแรกครับ แก้มบวมด้วยครับ
- - วันที่ 3 - -
เริ่มหายบวมกว่าวันที่ 2 นิดนึงครับ
- - วันที่ 4 - -
แผลเริมแห้งและปิดสนิทครับ
- - วันที่ 6 - -
ตัดไหมแล้ว
ตอนนี้แผลร้อยละ 90 เริ่มหายแล้วครับ จะยังเหลือแก้มบวมๆบ้าง ซึ่งกรณีนี้แล้วแต่เคสเลยครับ ว่าร่างกายใครตอบสนองมากแค่ไหน
อันนี้คือรอยเขียว-เหลือง จากรอบช้ำแรกๆครับ แต่ไม่เจ็บนะครับ
- - วันที่ 7 - -
ครบ 1 สัปดาห์แล้วครับ โดยรวมถือว่าแผลใกล้หายเกือบ 100% ครับ อาจจะยังเหลือรายเหลืองข้างแก้มและยังรู้สึกแก้มยังบวมอีกนิดนึงครับ
ส่วนเหงือกเองก็ยังไม่เข้าที่ 100% อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนครับ
ส่วนรูปนี้เป็นรูปเปรียบเปรียบระหว่างก่อนและหลังทำนะครับ จะสังเกตุว่าฟันดูยาวขึ้นและได้ทรงมากขึ้น ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ ปลื้มมากครับ : )
ในเคสของผมหมอนัดเข้าไปเช็คอีกทีหลังจาก 1 เดือนครับ เพื่อติดตามผล เดี๋ยวจะมารีวิวให้เพิ่มเติมให้อีกครั้งนะครับ
ใครที่คิดอยากจะทำแต่ยังไม่กล้าตัดสินใจ อยากจะบอกว่ามันไม่เจ็บและน่ากลัวเหมือนที่คิดเลยครับ
เพื่อรอยยิ้มและฟันสวยของเราครับผม ^^