[SR] Review: Ricoh GR III ยังจีอาร์เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมประสิทธิภาพ


GR III คือน้องลำดับที่ 14 ในซีรี่ส์ GR นับตั้งแต่ยุคฟิล์ม หรือลำดับที่ 7 ในยุคดิจิทัล สเป็คอะไรต่อมิอะไรส่วนใหญ่ก็ GR II นั่นแหละ มีการอัพเดตให้ทันสมัยและปรับปรุงอะไรขึ้นไปอีกเล็กน้อย ดูในสเป็คชีทเห็นมันเปลี่ยนไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเพิ่ม แต่พอใช้จริงการทำงานมันเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ

ผมว่าจะยืมริโค่ GR III จากบริษัท อิสท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เพื่อมารีวิวตั้งแต่ตอนที่กล้องออกใหม่ๆ ละ แต่ว่าเวลาว่างของผมกับเวลาว่างของกล้องไม่ตรงกันก็เลยเลื่อนมาเรื่อยๆ เพิ่งได้ยืมมาทดลองเดือนพฤษภาคมนี่เอง

…รีวิวช้าเป็นปกติของผมนั่นแหละ



ลักษณ์

ถ้าไม่ได้ดูเทียบกันอย่างละเอียดแล้วแทบดูไม่ออกเลยว่า GR รุ่นไหนเป็นรุ่นไหน ถ้าเอามาวางเทียบดู บอดี้ของรุ่น 3 จะสั้นกว่ารุ่นเก่าเล็กน้อยแต่สูงขึ้น ยังเป็นกล้องขนาดเล็กจิ๋วที่เหมาะมือจับถนัดเหมือนเดิม วางปุ่มแป้นแบบคิดมาดีแล้ว ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนก็ลงตัวกว่ากันมากอะไรที่ขัดไม้ขัดมือใช้ไม่สะดวกในรุ่นเก่าตอนนี้ก็ขัดเกลาให้ลงตัวมากขึ้น

วางปุ่ม Play ไว้ตรงสันกล้องที่ตำแหน่งนิ้วโป้ง กดถนัดและไม่ลั่นง่ายเป็นการวางตำแหน่งปุ่มที่ยอดเยี่ยม 
เปลี่ยนปุ่มบวกลบที่เกะกะและลั่นบ่อย มาใช้วงแหวนรอบปุ่มทิศทางแทน ก็เป็นทางออกที่ดีสำหรับกล้องเล็กๆ แบบนี้
ถอดคานโยกเลือกโฟกัสทิ้ง ที่จริงมันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอกเวลาใช้จริง แล้วเปลี่ยนเป็นปุ่มฟังก์ชั่นที่ตั้งค่าใช้งานได้สารพัดดีกว่า สำหรับคนส่วนใหญ่การใช้เป็นปุ่มล็อกค่าแสงหรือ AF-ON ดูจะเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย สำหรับใครที่ใช้ M เป็นหลักตั้งปุ่มนี้เป็น Auto AE เหมือนปุ่มเขียวสารพัดประโยชน์ของกล้องเพนแท็กซ์ได้เลยจะได้ไม่ต้องหมุนปรับค่าแสงให้เมื่อยนิ้ว

ปุ่มที่น่าเสียดายในกล้องนี้คือปุ่ม OK ที่มันทำหน้าที่โอเคอย่างเดียว ไม่สามารถให้มันเป็นอย่างอื่นได้ ที่จริงในโหมดถ่ายน่าจะเอามาใช้ทำอะไรได้มั่งนะ ไหนๆ ก็อยู่ว่างๆ


ลดความแออัดบนแป้นปรับโหมดลงเหลือแค่สิ่งที่คนถ่ายรูปเป็นแล้วจะใช้งาน แค่โหมดหลัก 4 โหมดกับโหมดที่ผู้ใช้ตั้งอีก 3 ตำแหน่ง ซึ่งกล้องสามารถบันทึกการตั้งค่ากล้องเก็บไว้ได้ 6 โหมดแล้วเราค่อยเลือกจากที่บันทึกไว้มาใส่ในแป้นได้ 3 ตำแหน่ง

การใช้สีตัวอักษรที่บอดี้ปรับเป็นสีขาวหม่นๆ อมเทาหมดทุกจุด ไม่มีสีเขียวสีแดงหรือขาวจ้าๆ ให้เห็นอีกแล้ว ทำให้กล้องดูไม่เป็นจุดเด่นเข้าไปอีก

สิ่งที่เหมือนกับรุ่นก่อนๆ คือวงแหวนหน้าเลนส์ถอดเปลี่ยนได้ เป็นชุดตกแต่งกล้องที่เป็นที่นิยมอย่างหนึ่ง คราวนี้เปลี่ยนขนาดวงแหวนทำให้ใช้แหวนรุ่นเก่าไม่ได้ เมื่อถอดออกก็จะมีเขี้ยวล็อก เปลี่ยนมาใส่ฮู้ดหรืออแดปเตอร์แปลงเป็นเลนส์มุมกว้างได้ ก็จะได้มุมมองเทียบเท่าเลนส์ 21 มม. แต่คราวนี้มีขั้วสัมผัสอิเลกทรอนิกส์เพื่อสื่อสารระหว่างกล้องกับเลนส์

และวงแหวนก็ยังหลุดหายง่ายเหมือนเดิมด้วย


ดูรวมๆ จากการออกแบบแล้ว GR III เป็นการเปลี่ยนแปลงห่างออกจากความเป็นกล้องคอมแพ็กต์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป เข้าใกล้ความเป็นกล้องแบบย่อส่วนสำหรับโปรฯ หรือนักถ่ายภาพมากขึ้นกว่าเดิม

นักถ่ายภาพสายสแนปหรือสายสตรีตแบบล่องหนกลมกลืนไปในฝูงชนน่าจะพอใจกว่าเดิม เพราะกล้องมันทำงานได้คล่องตัวพกง่ายถ่ายเร็วเก็บไวไม่เป็นจุดเด่น พร้อมที่จะพาช่างภาพหายตตัวไปจากจุดเกิดเหตุได้ทันที

คราวนี้แฟลชในตัวกล้องหายไป แฟลชใน GR เป็นแฟลชที่ทำงานดีบาล้านซ์แสงได้สวยเป็นที่นิยมใช้ไม่น้อย พอตัดทิ้งคนที่ใช้แฟลชคงไม่ชอบใจ แต่ผมไม่ได้ใช้อยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องแฟลช คนที่ใช้แฟลชน่าจะต้องปรับตัวหน่อย ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้างแต่ไม่น่าเป็นจุดตัดสินใจที่ทำให้ไม่ซื้อ

พอร์ตในกล้องมีแค่ USB-C ใช้ทุกอย่างสำหรับถ่ายโอนข้อมูลและชาร์จแบตได้ในตัว ข้อเสียคือไม่สามารถชาร์จไปถ่ายไปได้ เวลาชาร์จต้องปิดกล้องก่อน แต่ฟีเจอร์ที่ชาร์จด้วยพาวเวอร์แบงค์ได้ก็ช่วยได้มากเวลาออกทริป

จอสัมผัสขนาด 3 นิ้ว ที่ทำงานได้ดีทั้งการแตะหาโฟกัสและการเข้าเมนู การตอบสนองดี ความไวและความแม่นยำดี แต่ใช้เลื่อนเพื่อปรับค่าเปิดรับแสงอะไรแบบนี้ไม่ได้

สิ่งที่หาได้ยากในกล้องทั่วไปแต่ Ricoh GR III มีมาให้ ก็คือหน่วยความจำภายในตัวกล้อง ถึงปกติจะใช้ SD Card เป็นหลักแต่ในเวลาฉุกเฉินที่การ์ดเต็ม เสียหาย หรือลืมเอามา หน่วยความจำในตัวกล้องก็สามารถช่วยได้ในเวลาแบบนั้น

หน่วยความจำ 2GB ที่มีมาให้ก็ถ่าย RAW+JPG ได้สัก 40 รูป ถ้าเป็น jpeg ก็ได้ 150 รูป มากพอสำหรับใช้เวลาจำเป็น

เลนส์ออกแบบใหม่เพื่อใช้กับเซ็นเซอร์ใหม่ ให้ความคมชัดและรายละเอียดที่ดีกว่าเดิม ขนาดเลนส์สั้นกระทัดรัดกว่าเดิม ยังคงเรนเดอร์ฉากหลังสไตล์นุ่มนวลสวยงามเหมือนเก่า ไม่หมุนไม่มีเส้นสายวุ่นวาย
และยังโฟกัสได้ใกล้กว่าเดิมอีกด้วย จาก 10 เซ็นติเมตรเป็น 6 เซ็นติเมตร ถ่ายวัตถุขนาดเล็กได้ดีกว่าเดิม

เซ็นเซอร์ใหม่ 24 ล้านพิกเซลไม่มี AA Filter แต่มีระบบกันสั่นที่เซ็นเซอร์ ผมเดาว่าน่าจะเป็นเซ็นเซอร์รุ่นยอดนิยมที่ใช้ในกล้อง APS-C ทุกรุ่นทุกยี่ห้อยุคนี้นั่นแหละดังนั้นสบายใจได้ว่าคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้จะได้เทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านเสียที
ข้อดีคือเวลาครอปภาพก็เหลือพิกเซลมากพอใช้งาน จะตั้งครอปมุมมองที่ 35มม. (15 ล้านพิกเซล) หรือ 50มม. (7 ล้านพิกเซล)

ระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่เซ็นเซอร์ก็ทำงานได้ดีตามมาตรฐานของระบบนี้ ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษหรือด้อยจนต้องพูดถึง ใช้ได้ใช้ดีเหมือนยี่ห้ออื่นๆ ก็คงมาจากที่เดียวกันนั่นแหละและเอามาใช้แบบเดียวกับกล้องเพนแท็กซ์ คือสามารถสั่นเซ็นเซอร์จำลองการทำงานของ AA Filter ได้ เพื่อลด moiré ซึ่งที่จริงรุ่นนี้ต่อให้ปิดระบบนี้ผมไม่เคยเห็นมัวเร่เลยนะครับ รุ่นเก่าที่ใช้อยู่นี่ถ่ายอะไรลายตารางๆ จะมีลายเสื่อขึ้นจนบาดตา
ปิดกล้องแล้วเขย่าดังก็อกแก๊กตามปกติของกล้องที่มีเซ็นเซอร์กันสั่น แล้วจะมีปัญหากันสั่นล็อกเซ็นเซอร์เคลื่อนแบบกล้องบางรุ่นหรือเปล่าก็ยังคงต้องดูกันต่อไป
ฟิลเตอร์ของ GR III สั่นเพื่อเขย่าฝุ่นออกจากเซ็นเซอร์ได้ ในตอนเปิดปิดกล้องจะได้ยินเสียงฟิลเตอร์สั่นด้วยความถี่สูงดังวี๊ดดด
ใครไม่ได้ยินก็ไม่ต้องแปลกใจ การได้ยินเสียงความถี่สูงมันเสื่อมไปตามอายุ...

เซ็นเซอร์ใหม่ทำให้ใช้ความไวแสงได้มากกว่าเดิม บวกกันสั่นก็ช่วยให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้ดีมากขึ้นเวลาใช้งานแบบไม่มีแฟลช รวมทั้งวงจรประมวลผลภาพของกล้องด้วย
แต่ก็เป็นวงจรไม่ได้ใหม่ล่าสุดอะไร ยังใช้ถ่ายวิดีโอได้แค่ Full HD 60 fps และไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเน้นถ่ายวิดีโอด้วย มีไว้แค่ถ่ายคลิปเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัวมากกว่าจะเอาไปใช้อะไรจริงจัง

GR ก็ไม่ได้มีไว้ถ่ายวิดีโออยู่แล้วน่ะนะ ถ้าตัดฟีเจอร์วิดีโอออกแลกกับแฟลชหรือลดราคาผมว่าแฟนๆ ก็คงยินดี

วงจรพวกนี้ผมก็เดาว่าซื้อสำเร็จรูปมาเช่นกันก็เลยมาพร้อมกับแบตเตอรี่สหกรณ์ที่ใช้ร่วมกันกับกล้องยี่ห้ออื่นที่ซื้อวงจรมาจากแหล่งเดียวกัน ทำให้มีแบตฯ ให้เลือกซื้อหลากหลายยี่ห้อ ราคาไม่แพง และมีไปอีกนานหลายปี

ชื่อสินค้า:   RICOH GR III
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่