สวัสดีค่ะ เรื่องยาวหน่อยนะคะ อยากแชร์ประสบการณ์รังไข่หยุดทำงานก่อนวัย (primaryovarian insufficiency : POI)
หรือวัยทองก่อนวัย ตอนอายุ 33 ปี เพราะไม่ค่อยเจอข้อมูลสำหรับคนที่เป็นแบบนี้
เริ่มจากก่อนหน้านี้ เรามีประจำเดือนปกติ มาทุกเดือนแต่ไม่ได้ถึงขนาดมาตรงวันนะคะ
จนเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วบางทีประจำเดือนจะมามั่ง ไม่มามั่ง
พอไม่มา 1-2 เดือน เราก็จะไปหาหมอ ซึ่งหมอก็แค่ตรวจปัสสาวะว่าเราไม่ได้ท้อง (เป็นขั้นตอนพื้นฐาน)
จากนั้น ก็จะได้ยาฮอร์โมนมาทาน (ยากิน 7 วัน)แล้วก็จะมีประจำเดือนมาหลังจาก กินยา
1-2 อาทิตย์ และหมอแนะนำให้เราทานยาคุม เพื่อปรับฮอร์โมน หลังจากที่ประจำเดือนมา
หลังจากแต่งงานตอนอายุ 29 ปี เราก็ยังไม่พร้อมจะมีลูก จึงทานยาคุมมาตลอด
จนเมื่อต้นปีที่แล้ว( 2561) เราแพลนว่าจะมีลูก
จึงเลิกกินยาคุม ตรวจโรคเราและสามี บางครั้งมีที่ประจำเดือนขาดไปบ้าง คิดว่าจะท้อง
แต่พอตรวจก็ไม่ใช่ หมอก็มีตรวจภายในให้ ก็ปกติดี
แล้วหมอก็ให้ยาฮอร์โมนมาทาน พอทานก็จะมีประจำเดือน มา จนครั้งหลังสุด
ประจำเดือนหายไปอีก ตอนเดือน ตุลาคม 2561 เราไปหาหมอ ได้ยาฮอร์โมนมาทานอีก
(คราวนี้เป็นยา2 ตัว ทานประมาน 2 อาทิตย์) ประจำเดือนก็มาเดือน ตุลาคม, พฤศจิกายน,ธันวาคม
จากนั้นก็ไม่มาอีก เรารอจนต้นมีนาคม 2562 เราไปหาหมอที่โรงพยาบาลเดิมอีก (ร.พ.เอกชน แต่เปลี่ยนหมอตลอดนะคะ
เราเอาเวลาสะดวก ไม่ได้เจาะจงหาหมอคนไหน) คราวนี้หมอบอกว่า ลองเจาะเลือดดูดีกว่า ให้ไปฟังผลอีกอาทิตย์นึง
ปรากฏว่า ค่า FSH เราสูงมากกกก (คนอื่นที่ปกติ จะมีประมาน 10 แต่ของเราวัดได้118 )
ตอนนั้นคุณหมออธิบาย (คร่าวๆตามที่เราเข้าใจนะคะ อาจจะไม่ถูกต้องเป๊ะ ) ว่า ค่า FSH นี้ สั่งงานมาจากสมองให้ไข่ตก
ถ้าสั่งงานมาที่รังไข่ปุ๊บ แล้วไข่ตก ประจำเดือนมา หลังประจำเดือนมา จากนั้นค่านี้จะลดลง แต่ถ้าค่า FSH นี้สูง
แปลว่า สมองสั่งมาแล้ว แต่รังไข่หยุดทำงานแล้ว ไข่ไม่ตก เลยไม่มีประจำเดือน ค่านี้ก็เลยสะสมสูงขึ้นมาก)
ตอนนั้นเราเข้าไปฟังผลคนเดียวก็ยังงงๆมึนๆ หมอบอกต้องกินยาฮอร์โมนไปประมาน 10 ปี
ให้เท่ากับอายุคนอื่นที่หมดประจำเดือนตามปกติ ไม่งั้นเราจะเหี่ยวเร็ว จะแก่เร็วกว่าคนอื่น ,กระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดฯ
ส่วนเรื่องมีลูก หมอบอกเราว่า "จะมีลูกยากกว่าคนที่มีลูกยากตามปกติ"
(ตอนฟังเราก็ยังรู้สึกว่า ยังมีหวังนะคะ คิดไปเองว่าน่าจะทำIVF กระตุ้นไข่ อะไรพวกนี้ได้มั้ง)
ส่วนสาเหตุอาจเป็นมาจากพันธุกรรม (โครโมโซม) ซึ่งขั้นตอนการตรวจหาสาเหตุนั้นยุ่งยาก และถึงหาสาเหตุเจอก็ไม่มีทางทำอะไรได้แล้ว
(ซึ่งจริงๆเราอาจจะเป็นมาก่อนที่จะตรวจเจอ แต่ด้วยการที่กินยาคุมมาตลอด ทำให้ประจำเดือนมาทุกเดือน ทำให้ไม่รู้ว่าเป็น)
หมอก็ถามถึงแม่เราว่าหมดประจำเดือนอายุเท่าไหร่ของแม่เราหมดตอนอายุ 44 ปี
ส่วนน้าเราหมดตอนอายุ 36 ปี ซึ่งถือว่าเร็ว (แต่ก่อนหมดประจำเดือน น้ามีลูกแล้วค่ะ )
จากนั้นหมอบอกว่า ให้นัดอีก 1 เดือน ค่อยมาเจาะเลือดอีกทีละกัน เพราะอายุยังน้อยอยู่ แล้วค่อยว่ากัน
จากนั้นเราก็กลับบ้านมาหาข้อมูล แม่ก็แนะนำให้ไปหาหมอยาจีน อาจจะฝังเข็ม หรือกินยาบำรุงช่วยได้
เราก็ไป (เราหาข้อมูลเอง เป็นหมอชื่อดังเกี่ยวกับเรื่องลูกโดยเฉพาะ) เอาผลตรวจเลือดไปด้วย
ตอนที่เรานั่งรอคิว ผู้หญิง 4-5 คนที่มาก่อนคิวเรา พอพบหมอเสร็จ ได้ฝังเข็มทุกคนเลย (คลีนิคเล็กๆ ตรงที่นั่งรอจะเห็นเตียงเลย)
เราก็คิดว่าเราก็คงอาจจะได้ฝังเข็ม แต่พอหมอดูผลแล้วบอกว่า ค่าFSH สูงขนาดนี้ หากอยากมีลูกคงต้องคุยเรื่องใช้ไข่บริจาคเท่านั้น
(พอได้ยินแบบนี้ใจแป้วเลยค่ะ T^T) ก็ได้ยาบำรุงมาทาน แต่หมอก็บอกว่าคงช่วยอะไรไม่ได้มาก
แล้วหมอก็ไม่ได้พูดเรื่องฝังเข็มกับเราเลย ( เราคงเกินเยียวยา ) หมดค่ายาไปอีก 5,000 กว่าบาท
หลังจากปรึกษากับสามี เราก็ไปหาคลินิกผู้มีบุตรยาก มธ. เอาผลเลือดไปให้หมอด้วย
(ครั้งแรกจะไม่ได้เจอหมอนะคะ เค้าให้ไปตรวจเลือดทั้งคู่ทิ้งไว้ และผู้ชายให้เก็บน้ำเชื้อ นัดหมออีก 1อาทิตย์)
หลังจากพบหมอ หมอก็ให้ยาฮอร์โมนมาทาน (ทาน 7 วัน เช้า,เย็น) หลังทาน ผ่านไป 2 อาทิตย์ ประจำเดือนก็ไม่มา
หมอให้เจาะเลือดอีก ผลออกมา FSH ยังอยู่ที่ 113 ถ้ายังอยากมีลูก หมอบอกคงต้องใช้ไข่บริจาค เพื่อทำเด็กหลอดแก้ววิธีเดียวเท่านั้น
และจนกว่าจะหาไข่บริจาคได้ (ซึ่งขั้นตอนและรายละเอียดเยอะมาก ค่าใช้จ่ายก็เช่นกัน ประมาณ 2-300,000 บาท/ครั้ง
นี่ราคารพ.รัฐนะคะ และไม่รับรองผล ) และจากนี้เราต้องกินฮอร์โมนประคับประคองอาการวัยทองไปเรื่อยๆ
(อ้อ ทุกหมอ เค้าจะถามว่าเรามีอาการร้อนวูบวาบมั้ย แต่เราไม่มีอาการนะคะ มีน้ำหนักขึ้นแต่ไม่มาก แค่3 กิโล ผิวแห้งกับรู้สึกว่าช่องคลอดแห้งและระคายเคืองกว่าเมื่อก่อน)
เราเลยกลับไปรพ.แรก เพราะไม่อยากรอคิวที่ มธ.นาน และเรามีประกันสังคมที่ รพ.แรกด้วย (กลาง พ.ค. 2562) แต่พอไปแล้ว
พยาบาลมาบอกว่าประกันสังคมไม่ครอบคลุมโรคนี้นะคะ ปรึกษาได้ แต่รักษาไม่ได้ค่ะ
เราเลยตรวจแบบเสียตังค์เอง ไปหาหมอเฉพาะทาง หมอให้นัดเจาะเลือด ต้องอดอาหาร (ดูค่าการทำงานของตับ,ไต เบาหวาน )
ตรวจแมมโมแกรม (ตรวจดูก้อนเนื้อและมะเร็งเต้านม ) ตรวจมะเร็งปากมดลูก และตรวจมวลกระดูก ก่อนที่จะให้ยาฮอร์โมนค่ะ ตรวจวันอาทิตย์
วันพุธไปฟังผล ทุกอย่างปกติดีค่ะ หมอก็จ่ายยาฮอร์โมนให้ เป็นแผงคล้ายๆยาคุม แต่หมอบอกว่าไม่แรงเท่า แผงนึง มี 21 เม็ด กินครบแผง
แล้วเว้น 7 วัน ค่อยขึ้นแผงใหม่ (หากกินแล้วประจำเดือนมา หรือไม่มาก็ต้องกินไปตลอดนะคะ ) และได้แคลเซียม กินวันละ 1 เม็ด
หมอนัดอีกที 6 เดือนและต้องตรวจสุขภาพทุกปี ตอนนี้ก็กำลังทำใจ เรื่องมีลูกไม่ได้ (ไม่รู้จะหาไข่บริจาคจากไหน )
เราคิดอยู่ตลอดว่าเราบกพร่องต่อครอบครัวสามี ทางบ้านเค้าหวังกันมาก บ้านเราก็ผิดหวังเช่นกัน
/ทำไมต้องเป็นเรา เราอายุแค่นี้เอง วนเวียนอยู่ในหัว หมดความมั่นใจในตัวเอง พอเห็นคนท้อง เด็กๆหรือข่าวแม่ทิ้งลูกก็จะรู้สึกเศร้าขึ้นมา
แต่ดีที่สามีไม่เคยว่าเราและบอกตลอดว่า ไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร เราอยู่กัน 2 คนก็ได้ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะทำใจได้เร็วๆนี้ T^T
หากใครคิดว่าจะมีลูก แต่ยังไม่พร้อมแนะนำให้ฝากไข่ไว้ก่อนนะคะ อนาคตมันไม่แน่นอน
https://www.vibhavadi.com/fertility/knowledge.php?topic=&id=247
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ค่ะ
***เพิ่มเติมรายละเอียดสำหรับการบริจาคไข่นะคะ เห็นว่ามีคนไม่รู้กันเยอะ ***
ข้อมูลสำหรับผู้บริจาคไข่ ตามกฎหมาย ตอนนี้ ต้องเป็น ผญ.อายุ 20-35 ปี
ที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว หรือยิ่งมีลูกแล้ว จะง่ายกว่าค่ะ
(พยาบาลเน้นว่าต้องเป็นคู่ที่มีทะเบียนสมรสนะคะ หรือเคยจดแต่หย่าแล้วก็ได้ค่ะ)
ผู้รับบริจาค (ตัวเรา )สามารถรับไข่บริจาคได้ถึง อายุ 48 ปี
ผู้บริจาคไข่และคู่ (คู่ต้องยินยอมด้วยนะคะ เพราะเวลากระตุ้นไข่ อาจจะทำให้มีเพศสัมพันไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง)
ต้องมาหมอตรวจร่างกายและโรคต่างๆ (HIV , ซิฟิลิส ฯ)
พบจิตแพทย์ ทำการประเมินจากแพทย์ หากแพทย์อนุมัติแล้ว
ผู้บริจาคไข่ ต้องฉีดยา กระตุ้นไข่ (อาจจะเป็นยากิน หรือ ฉีดยาที่พุง ฉีดหลายครั้งนะคะ)
เพื่อเก็บไข่ให้ได้มากที่สุด เมื่อคัดได้ไข่ที่สมบูรณ์ นำมาผสมกับน้ำเชื้อสามีเรา
เก็บฟรีซไว้ 6 เดือน จากนั้นให้ผู้บริจาคไข่และคู่ มาตรวจโรคอีกครั้ง
ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะมาฉีดใส่มดลูกเราได้
ขั้นตอนทั้งหมด ไม่รวมตอนหาผู้บริจาคไข่ก็กินเวลาเป็นปีค่ะ
*** ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่สนใจอยากบริจาคไข่ให้นะคะ ซึ้งใจมากจริงๆค่ะ สำหรับเราคงต้องขอเวลาทำใจและปรึกษาแฟนไปอีกพักนึง
ว่าจะเอายังไงดี เพราะถ้าเรารับไข่บริจาค แม้เราจะตั้งท้องและคลอดเด็กเอง แต่เด็กจะไม่มี DNA ของเราเลย
จะมีแค่ของสามีเรากับของผู้บริจาคไข่เท่านั้น พยาบาลที่แนะนำก็บอกให้เราไปคิดดูก่อนว่า จะโอเคมั้ย จะสนิทใจมั้ย ไม่งั้นจะมีผลเสียกับเด็กค่ะ)
แชร์ประสบการณ์ ภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร หรือวัยทองก่อนวัย ตอนอายุ 33 ปี
ให้เท่ากับอายุคนอื่นที่หมดประจำเดือนตามปกติ ไม่งั้นเราจะเหี่ยวเร็ว จะแก่เร็วกว่าคนอื่น ,กระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดฯ
ส่วนเรื่องมีลูก หมอบอกเราว่า "จะมีลูกยากกว่าคนที่มีลูกยากตามปกติ"
(ตอนฟังเราก็ยังรู้สึกว่า ยังมีหวังนะคะ คิดไปเองว่าน่าจะทำIVF กระตุ้นไข่ อะไรพวกนี้ได้มั้ง)
ส่วนสาเหตุอาจเป็นมาจากพันธุกรรม (โครโมโซม) ซึ่งขั้นตอนการตรวจหาสาเหตุนั้นยุ่งยาก และถึงหาสาเหตุเจอก็ไม่มีทางทำอะไรได้แล้ว
(ซึ่งจริงๆเราอาจจะเป็นมาก่อนที่จะตรวจเจอ แต่ด้วยการที่กินยาคุมมาตลอด ทำให้ประจำเดือนมาทุกเดือน ทำให้ไม่รู้ว่าเป็น)
หมอก็ถามถึงแม่เราว่าหมดประจำเดือนอายุเท่าไหร่ของแม่เราหมดตอนอายุ 44 ปี
ส่วนน้าเราหมดตอนอายุ 36 ปี ซึ่งถือว่าเร็ว (แต่ก่อนหมดประจำเดือน น้ามีลูกแล้วค่ะ )
จากนั้นหมอบอกว่า ให้นัดอีก 1 เดือน ค่อยมาเจาะเลือดอีกทีละกัน เพราะอายุยังน้อยอยู่ แล้วค่อยว่ากัน
จากนั้นเราก็กลับบ้านมาหาข้อมูล แม่ก็แนะนำให้ไปหาหมอยาจีน อาจจะฝังเข็ม หรือกินยาบำรุงช่วยได้
เราก็ไป (เราหาข้อมูลเอง เป็นหมอชื่อดังเกี่ยวกับเรื่องลูกโดยเฉพาะ) เอาผลตรวจเลือดไปด้วย
ตอนที่เรานั่งรอคิว ผู้หญิง 4-5 คนที่มาก่อนคิวเรา พอพบหมอเสร็จ ได้ฝังเข็มทุกคนเลย (คลีนิคเล็กๆ ตรงที่นั่งรอจะเห็นเตียงเลย)
เราก็คิดว่าเราก็คงอาจจะได้ฝังเข็ม แต่พอหมอดูผลแล้วบอกว่า ค่าFSH สูงขนาดนี้ หากอยากมีลูกคงต้องคุยเรื่องใช้ไข่บริจาคเท่านั้น
(พอได้ยินแบบนี้ใจแป้วเลยค่ะ T^T) ก็ได้ยาบำรุงมาทาน แต่หมอก็บอกว่าคงช่วยอะไรไม่ได้มาก
แล้วหมอก็ไม่ได้พูดเรื่องฝังเข็มกับเราเลย ( เราคงเกินเยียวยา ) หมดค่ายาไปอีก 5,000 กว่าบาท
หลังจากปรึกษากับสามี เราก็ไปหาคลินิกผู้มีบุตรยาก มธ. เอาผลเลือดไปให้หมอด้วย
(ครั้งแรกจะไม่ได้เจอหมอนะคะ เค้าให้ไปตรวจเลือดทั้งคู่ทิ้งไว้ และผู้ชายให้เก็บน้ำเชื้อ นัดหมออีก 1อาทิตย์)
หลังจากพบหมอ หมอก็ให้ยาฮอร์โมนมาทาน (ทาน 7 วัน เช้า,เย็น) หลังทาน ผ่านไป 2 อาทิตย์ ประจำเดือนก็ไม่มา
หมอให้เจาะเลือดอีก ผลออกมา FSH ยังอยู่ที่ 113 ถ้ายังอยากมีลูก หมอบอกคงต้องใช้ไข่บริจาค เพื่อทำเด็กหลอดแก้ววิธีเดียวเท่านั้น
และจนกว่าจะหาไข่บริจาคได้ (ซึ่งขั้นตอนและรายละเอียดเยอะมาก ค่าใช้จ่ายก็เช่นกัน ประมาณ 2-300,000 บาท/ครั้ง
นี่ราคารพ.รัฐนะคะ และไม่รับรองผล ) และจากนี้เราต้องกินฮอร์โมนประคับประคองอาการวัยทองไปเรื่อยๆ
(อ้อ ทุกหมอ เค้าจะถามว่าเรามีอาการร้อนวูบวาบมั้ย แต่เราไม่มีอาการนะคะ มีน้ำหนักขึ้นแต่ไม่มาก แค่3 กิโล ผิวแห้งกับรู้สึกว่าช่องคลอดแห้งและระคายเคืองกว่าเมื่อก่อน)
เราเลยกลับไปรพ.แรก เพราะไม่อยากรอคิวที่ มธ.นาน และเรามีประกันสังคมที่ รพ.แรกด้วย (กลาง พ.ค. 2562) แต่พอไปแล้ว
พยาบาลมาบอกว่าประกันสังคมไม่ครอบคลุมโรคนี้นะคะ ปรึกษาได้ แต่รักษาไม่ได้ค่ะ
เราเลยตรวจแบบเสียตังค์เอง ไปหาหมอเฉพาะทาง หมอให้นัดเจาะเลือด ต้องอดอาหาร (ดูค่าการทำงานของตับ,ไต เบาหวาน )
ตรวจแมมโมแกรม (ตรวจดูก้อนเนื้อและมะเร็งเต้านม ) ตรวจมะเร็งปากมดลูก และตรวจมวลกระดูก ก่อนที่จะให้ยาฮอร์โมนค่ะ ตรวจวันอาทิตย์
วันพุธไปฟังผล ทุกอย่างปกติดีค่ะ หมอก็จ่ายยาฮอร์โมนให้ เป็นแผงคล้ายๆยาคุม แต่หมอบอกว่าไม่แรงเท่า แผงนึง มี 21 เม็ด กินครบแผง
แล้วเว้น 7 วัน ค่อยขึ้นแผงใหม่ (หากกินแล้วประจำเดือนมา หรือไม่มาก็ต้องกินไปตลอดนะคะ ) และได้แคลเซียม กินวันละ 1 เม็ด
หมอนัดอีกที 6 เดือนและต้องตรวจสุขภาพทุกปี ตอนนี้ก็กำลังทำใจ เรื่องมีลูกไม่ได้ (ไม่รู้จะหาไข่บริจาคจากไหน )
เราคิดอยู่ตลอดว่าเราบกพร่องต่อครอบครัวสามี ทางบ้านเค้าหวังกันมาก บ้านเราก็ผิดหวังเช่นกัน
/ทำไมต้องเป็นเรา เราอายุแค่นี้เอง วนเวียนอยู่ในหัว หมดความมั่นใจในตัวเอง พอเห็นคนท้อง เด็กๆหรือข่าวแม่ทิ้งลูกก็จะรู้สึกเศร้าขึ้นมา
แต่ดีที่สามีไม่เคยว่าเราและบอกตลอดว่า ไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร เราอยู่กัน 2 คนก็ได้ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะทำใจได้เร็วๆนี้ T^T
หากใครคิดว่าจะมีลูก แต่ยังไม่พร้อมแนะนำให้ฝากไข่ไว้ก่อนนะคะ อนาคตมันไม่แน่นอน
https://www.vibhavadi.com/fertility/knowledge.php?topic=&id=247
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ค่ะ
***เพิ่มเติมรายละเอียดสำหรับการบริจาคไข่นะคะ เห็นว่ามีคนไม่รู้กันเยอะ ***
ข้อมูลสำหรับผู้บริจาคไข่ ตามกฎหมาย ตอนนี้ ต้องเป็น ผญ.อายุ 20-35 ปี
ที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว หรือยิ่งมีลูกแล้ว จะง่ายกว่าค่ะ
(พยาบาลเน้นว่าต้องเป็นคู่ที่มีทะเบียนสมรสนะคะ หรือเคยจดแต่หย่าแล้วก็ได้ค่ะ)
ผู้รับบริจาค (ตัวเรา )สามารถรับไข่บริจาคได้ถึง อายุ 48 ปี
ผู้บริจาคไข่และคู่ (คู่ต้องยินยอมด้วยนะคะ เพราะเวลากระตุ้นไข่ อาจจะทำให้มีเพศสัมพันไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง)
ต้องมาหมอตรวจร่างกายและโรคต่างๆ (HIV , ซิฟิลิส ฯ)
พบจิตแพทย์ ทำการประเมินจากแพทย์ หากแพทย์อนุมัติแล้ว
ผู้บริจาคไข่ ต้องฉีดยา กระตุ้นไข่ (อาจจะเป็นยากิน หรือ ฉีดยาที่พุง ฉีดหลายครั้งนะคะ)
เพื่อเก็บไข่ให้ได้มากที่สุด เมื่อคัดได้ไข่ที่สมบูรณ์ นำมาผสมกับน้ำเชื้อสามีเรา
เก็บฟรีซไว้ 6 เดือน จากนั้นให้ผู้บริจาคไข่และคู่ มาตรวจโรคอีกครั้ง
ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะมาฉีดใส่มดลูกเราได้
ขั้นตอนทั้งหมด ไม่รวมตอนหาผู้บริจาคไข่ก็กินเวลาเป็นปีค่ะ
*** ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่สนใจอยากบริจาคไข่ให้นะคะ ซึ้งใจมากจริงๆค่ะ สำหรับเราคงต้องขอเวลาทำใจและปรึกษาแฟนไปอีกพักนึง
ว่าจะเอายังไงดี เพราะถ้าเรารับไข่บริจาค แม้เราจะตั้งท้องและคลอดเด็กเอง แต่เด็กจะไม่มี DNA ของเราเลย
จะมีแค่ของสามีเรากับของผู้บริจาคไข่เท่านั้น พยาบาลที่แนะนำก็บอกให้เราไปคิดดูก่อนว่า จะโอเคมั้ย จะสนิทใจมั้ย ไม่งั้นจะมีผลเสียกับเด็กค่ะ)