จุดเริ่มต้นความรักของผม ในวันที่ผมเจอเธอครั้งแรกเป็นช่วงวันสงกรานต์ปี2015 วันนั้นผมได้เจอเธอครั้งแรกในสถานที่เที่ยวกลางคืนแห่งหนึ่ง
ในคืนนั้นผมรู้สึกเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก เหมือนกับผมได้เจอกุหลายสีขาว ในสถานที่ที่มีแต่กุหลาบสีแดง ผมไม่แม้แต่จะหยุดคิดว่าเธอมากลับใครมีแฟนรึยังผมเดินตรงเข้าไปหาเธอกลางกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 5-6 คนทั้งๆที่ผมเป็นคนโคตรจะขี้อายต่อหน้าผู้หญิง แล้วผมก็พูดเสียงดังว่า
“ผมจะขอเบอร์คุณได้รึป่าวครับ”พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ที่ผมยืมเพื่อนมาให้ไปเธอตอบกลับมาว่า
“เอาlineไปแทนได้รึป่าวคะ”
ผมตอบว่า
“ไม่ครับ ขอเบอร์เท่านั้น” (เพราะผมไม่อยากบอกเธอเลยว่านั้นนะโทรศัพท์ของเพื่อนผมที่ไม่ใช้โทรศัพท์ของตัวเอง เพราะว่าของผมนั้นเป็นโทรศัพท์ที่โคตรจะเก่าแบบว่าถ้าขวดเบียร์ล้มกับโทรศัพท์ตกผมคงเลือกคว้าขวดเบียร์ก่อน) ในตอนที่เธอกำลังพิมพ์ๆอะไรในเครื่อง
ผมก็เห็นสายตาของเพื่อนเธอที่กำลังมองมาหาผม ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นผมก็มองกับมาที่ตัวผมเอง
ผมคิดในใจ
ละ!!! ผมใส่รองเท้าคีบ กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม
มาขอเบอร์สาวที่สวยที่สุดที่เคยเจอในผับเนียนะ (ต้องบอกว่าคือผมโดนเพื่อนลากมาเที่ยวพร้อมกับชุดที่ไปเล่นน้ำสงกรานต์มา ยังโกรธไม่หายที่เค้า
อนุโลมให้ใส่ชุดยังไงก็ได้เข้าผับเพราะเป็นช่วงสงการนต์) พอผมได้เบอร์ของเธอมาก็รีบกลับโต๊ะ
เอาเบอร์เข้าเครื่องผมอะไรเรียบร้อย และก็เมาต่อไม่นานก็กลับ
พอถึงตอนเช้าผมคิดได้ว่าเพื่อนผมมันก็ได้สาวกลับไปด้วย ผมก็เลยจะโทรหามันสะหน่อยว่ากลับถึงบ้านรึยัง พอโทรไปแล้วก็มีคนรับสาย..
ผมก็พูดชื่อเพื่อนตามด้วยฉายาที่หยาบๆพร้อมคำถาม “เพื่อนจอน...สาวคนเมื่อคืนเป็นไงบ่าง เด็ดรึป่าวเพื่อน”มันพีคมากตรงที่ผู้หญิงเป็นคนรับสายและ
พีคมากกว่าคือผู้หญิงที่รับคือคนที่ผมขอเบอร์ไปเมื่อคืนผมคิดในใจ
รอบสอง!! ผมโทรผิดเบอร์เป็นคำพูดการเริ่มจีบที่แย่ที่สุดในโลก
แต่สุดท้ายก็อย่างว่าละครับก็ได้มาเป็นแฟนกันจนได้^^ ดีใจที่สุดในโลกเลย
จากที่ได้อ่านมาถ้าให้หลายๆคนทายนิสัยผมคงไม่ผิดแน่ครับเที่ยวกลางคืน กินเหล้า ต่อยตี ผู้หญิง ใช่ครับไม่ผิดแน่ๆ ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ผมตามจีบผู้หญิงอยู่คนเกือบ4ปีที่เค้าไม่รับรักจากผม ผมเลยเป็นคนคบผู้หญิงให้พอผ่านๆไป ตลอดช่วงมหาลัยจนไปๆมาๆเจอผู้หญิงคนที่เหล่าไปก่อนหน้านี้ละครับเหมือนเป็นจุดจบสายแข็งเลยครับผมพลิกจากหน้าเท้าเป็นหลังมือเลย เปลี่ยนเป็นผมที่ไม่กินเหล้าจนเมา ไม่ใช้อารมณ์
มีเหตุผลมากขึ้น ตามหาความฝันสุดแรง ชีวิตมีแต่การไปท่องเที่ยวกับแฟนและมีความสุขทุกเวลาที่มีกันและกัน ในช่วงที่เธอมาฝึกสอนครูเธออยู่ปี5 ต้อนนั้นผมก็อยู่ปี4พอดีเป็นช่วงที่ต้องฝึกงานก่อนจบทั้งคู่ เลยมีโอกาสเข้ามาฝึกงานที่ กทม.เลยได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้น
หลายครั้งที่ผมกลับไปทำเรื่องเรียนจบที่มหาลัยต่างจังหวัด ผมจะเขียนจบหมายเล็กๆไว้ที่มุมห้องให้เธอได้อ่านเวลาเราอยู่ห่างกันหลายๆวัน
ตอนนั้นความสุขเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจริง ^^ แต่ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไปใช่รึป่าวครับ
จนถึงช่วงเรียนจบผมได้งานในที่ฝึกงานรอบที่1ของผมแต่ผมก็ได้ตอบปฏิเสธไป และเริ่มฝึกงานในตำแหน่งที่ชอบมากกว่าในอีกบริษัทที่2 แต่การเข้าฝึกงานรอบที่2 สองของผม ต้องรอคิวยาวถึง 4เดือนผมเลยต้องทำงานเป็นฟรีแลนซ์ไปก่อนรับงานเล็กๆ เงินก็ไม่ได้ดีนัก พอผมฝึกงานจบผมกลับไม่ได้เข้าทำงานเพราะตำแหน่งเต็ม ผมจึงต้องเริ่มหางานในอีกบริษัทและฝึกงานรอบที่3 ในตำแหน่งเดิมใหม่อีก6เดือน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมฝึกงานอย่างหนักกับบริษัทที่ขึ้นซื้อระดับประเทศ แต่เขาบอกว่าถ้ามาที่นี้ก็ต้องฝึกกันใหม่
เข้ากลับทีมให้ได้ แล้วยืนยันว่าถ้าฝึกจบจะได้งานทันที ผมก็ ตอบตกลงไป
แต่เรื่องร้ายยังไม่จบแค่นั้น เค้าบอกว่าต้องรอ 3เดือนก่อนเข้ารับการฝึก ผมแทบเป็นบ้าเพราะต้องกลับไปรับฟรีแลนซ์
ก่อนถึง3เดือน
เดี๋ยวผมขอย้อนกลับมาพูดถึงแฟนของผมกันบ่าง พอแฟนผมเรียนจบเค้าก็รอสอบบันจุครู โดยการอ่านหนังสือไป
หางานเล็กน้อยๆทำหนักสุดเราถึงขั้นต้องไปขายข้าวกล่องกันหน้าปากซอย ขายได้ไม่นานก็ต้องเลิกขายไป เพราะข้าวที่ขายเก็บได้ไม่ถึงเที่ยงวันก็เสีย
และพนักงานส่วนใหญ่ก็เก็บกับข้าวเราไว้กินกันตอนเที่ยง จนถึงวันที่เงินเราไม่พอใช้ ผมโทรไปขอเงินแม่บ่อยขึ้น แต่ผมเข้าใจเธอดีว่าทางบ้านเธอไม่ได้มีฐานะที่ดีมากนัก เลยต้องเป็นผมที่จ่ายทุกอย่างเองคนเดียว พอถึงวันประกาศผลสอบเธอก็ไม่ติด
เธอจึงต้องไปหาสมัครงานทำที่บริษัทแห่งหนึ่ง พอเธอได้ทำงานไม่นานทางบ้านเธอก็บอกว่า ผ่อนรถไม่ไหว เธอจึงต้องได้รถมาใช้โดยที่ต้องผ่อนเดือนละ 7000 ทั้งที่เงินเดือนเธอก็มีไม่เท่าไหร่ ผมหนักใจมาผ่อนรถเอง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากที่สุดและไม่เคยบอกเธอคือผมช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยT-T
ในช่วงรอการฝึกงานรอบที่สามของผมเราเริ่มมีปากเสียกันหนักขึ้นๆ เพราะแรงกดดันมันกายมาอยู่ที่ผม เพราะงานฟรีแลนซ์แถบหาเงินไม่ได้เลย
เธอต้องแบกภาระการผ่อนรถคนเดียวมาตลอด เดือนไหนที่ผมจ่ายได้แค่ค่าห้องเธอก็ต้องจ่ายค่ากินของเราทั้งสองด้วย
และวันนั้นผมจำได้ดี ถนนศรีนครินทร์ใกล้ๆกับ ร้านแมคโดนัลด์ เป็นวันที่รถติดมากๆ อากาศก็ร้อน เราก็เริ่มพูดถึงเรื่องเงินพอคุยกันได้ไม่นานผมก็ฟิวส์ขาดผมทั้งตะโกนดาเธอว่า “อย่ากดดันกันได้รึป่าว”และผมก็ทุบไปที่รถแรงๆหลายครั้ง หลังจากการกระทำนั้นเกิดขึ้นผมหันไปหาเธอ ผมเห็นน้ำตาเธอไหลเต็มหน้าไปหมดและเหมือนเธอก็ตะโกนกลับมาต่อว่าผม แต่ในหูผมกับไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงที่ผมคุยกับตัวเองว่า “ทำอะไรลงไปวะ”
หลังจากวันนั้นผมก็มีปากเสียงกันบ่างแต่ผม
สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมจึงตัดสินใจย้ายที่พักไปอยู่กับป้าและจากนั้นไม่นานเราก็ย้ายที่พักไปอยู่ที่ลาดกระบังเราต้องตื่นแต่เช้าทุกวันเพราะต้องไปให้ทันส่งเธอขึ้นรถไฟจากลาดกระบังไปที่พญาไทยโดยที่เธอจะหอบเอาหนังสือไปมากมาย เพื่อไปอ่านตอนพักเที่ยงหรือตอนนั้งรถไฟเพื่อที่จะสอบครูอีกรอบ
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอก็สอบติดและได้เข้าบันจุเป็นครูสมดังใจในขนาดที่รอการเรียกบัลจุเธอก็ได้ลาออก และมาเป็นแม่ค้าออนไลน์
ขายรองเท้าที่เธอออกแบบเองตามความฝันอีกอย่างของเธอ
เรากับมาพูดถึงผมกันต่อนะครับ พอช่วงที่เธอสอบติดเธอจึงเลือกโรงเรียนที่จะบัลจุที่ใกล้ๆที่ๆผมกำลังจะเข้าฝึกงานพอดี
จากนั้นชีวิตก็เริมมาดีอีกครั้งพอผมฝึกงานพร้อมกับรายได้อันน้อยนิดที่เขาให้มา ผมก็กัดฟันทนจนได้เข้าทำงาน พอผมทำงานได้ไม่นานผมมีเงินเก็บอย่างเร็วประมาณ1แสนในไม่กี่เดือนแต่จุดที่สำคัญกว่านั้นคือผมเริ่มทำงานไม่ไหวเพราะไม่ค่อยได้นอนมันเป็นงานที่ใช้กำลังเยอะและเหตุผลอื่นๆอีกหลายอย่างผมจึงตัดสินใจลาออกทันทีโดยที่ไม่ได้หางานรองรับไว้เลยและผมก็มาจริงจังกับความฝันอีกอย่างของผมตั้งแต่สมัยเรียนแบบไม่มีอะไรรองรับคือการเล่นforex และผ่านไปไม่นาน เงินใช้จ่ายของผมก็หมดลง
โดยที่ผมไม่ได้ไปทำงานหรือสมัครงานที่ไหนเลยจนวันที่ผมไม่มีตังจ่ายค่าห้องของเดือน4ปี62 ผมต้องยืมเงินจากร้านขายรองเท้าออนไลน์ของเธอมาเพื่อรอเงินจากการรับงานฟรีแลนซ์เล็กน้อยๆของผม…….
และในที่สุดก็ถึงวันที่เรากลับมาแย่อีกครั้งเพราะผมหลายครั้งตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา 4 ปี เธอจะพูดถึงการแต่งงาน
การมีความมั้นคงในชีวิตเสมอแต่ผมกับให้เธอไม่ได้เลยสักอย่างในทุกครั้งที่เธอพูดผมจะวาดฝันให้เธอฟังทุกครั้งและเราก็จะแต่งงานตอนอายุสามสิบ
ผมบอกเธอไปอย่างนั้น และตอนนี้เธออายุกำลังจะ 27 แล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้าในวันที่ 17/05/62
เรามีปากเสียงกันอีกครั้งและมันก็เป็นผมเช่นค่อยที่พูดไม่ดีเราพูดถึงความมั้นคงและงานแต่งอีกครั้ง ไม่นานคำพูดก็เริ่มแรงขึ้นแต่ไม่ได้ใช้อารมณ์ที่แรงมากนักแต่เป็นคำพูดที่แทงใจเธอมากคำสุดท้าย คือ “งานก็สมัครให้แล้วไง…..ก็บอกว่า30ไงจะแต่งงานจะอะไรอีก”ผมไม่รู้ว่าผมสรรหาคำพูดแย่ๆพวกนี้มาจากไหนการมีปากเสียงจบลงพร้อมน้ำตา เราเลยมาคุยกันใหม่อีกรอบใน30นาทีต่อมา
เธอพูดถึงเรื่องราวเก่าๆมากมายที่เธอเก็บมันไว้ในใจที่ทำให้เธอฝังใจตั้งแต่วันที่ผมตะโกนในรถหรือเรื่องต่างๆที่เธอพูดแล้วผมไม่เคยจะสนใจมันเลยจนถึงวันนี้เธอไม่มีความสุขเลยและในคืนเดียวกันเธอก็ได้ขอให้ผมไปจากชีวิตเธอ ผมเข้าใจในตอนนั้นเองว่าขาอ่อนมันเป็นยังไงผมไม่มีแรงยืนขึ้นเพื่อเดินไปร้องไห้ที่ห้องน้ำด้วยซ้ำผมนอนร้องไห้อยู่ข้างเธอทั้งคืน แต่ก็ต้องร้องให้เบาที่สุดเพราะกลัวเธอจะตื่น
เพราะเธอต้องไปทำธุรแต่เช้า
พอถึงตอนเช้าเราไม่คุยกันมากนัก ผมขอขับรถไปส่งเธอและเราก็คุยกันน้อยมากต่อจากวันนี้ไปเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อีกไม่กี่วันเราก็จะเริ่มงานในที่ใหม่แล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดเธอแล้ว 20/06/62
ถ้าวันนั้นเราไม่ได้อยู่ข้างๆเธอ ขอให้จดหมายนี้เป็นเหมือนตอนที่เราเริ่มคบกันเวลาที่เราห่างกันเค้าจะชอบเอาจดหมายแอบวางไว้ในมุมต่างๆของห้องเวลาคิดถึงกันจะได้มีมันไว้คอยอ่านจะได้ไม่ลืมกัน
และอยากจะบอกว่าเค้าเสียใจมากที่ละเลยในสิ่งสำคัญที่สุดไปคือใจของเฟิร์น
เค้ามองแต่เป้าหมายของตัวเองจนไม่ได้คิดถึงคนที่อยู่ข้างๆจนเค้ากายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมากมาตลอด
เมื่อถึงวันที่เฟิร์นพร้อมจะลืมสิ่งแย่ๆที่ผมทำ
ผมจะขอเก็บเรื่องแย่ๆพวกนั้นไว้แล้วจะไม่ทำแบบนั้นอีก
ผมไม่เชื่อหลอกว่าการกระทำของผมมันเปลี่ยนกันไม่ได้
แต่เวลาที่ผ่านมาเฟิร์นได้เห็นแล้วว่าผมเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
และผมเชื่ออย่างมากว่าสักวันผมจะเป็นคนที่เฟิร์นเชื่อใจได้อีกครั้ง
เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้รึป่าวครับ หรือถ้าวันนั้นเรายังอยู่ข้างๆกันอยากให้รู้ไว้ว่าผมไม่ได้ละเลยความรู้สึกของคุณผมรักคุณเสมอ
ขอบคุณที่ได้มีกันและกัน
รักที่ไม่รู้จะจบยังไง
ในคืนนั้นผมรู้สึกเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก เหมือนกับผมได้เจอกุหลายสีขาว ในสถานที่ที่มีแต่กุหลาบสีแดง ผมไม่แม้แต่จะหยุดคิดว่าเธอมากลับใครมีแฟนรึยังผมเดินตรงเข้าไปหาเธอกลางกลุ่มเพื่อนผู้หญิงประมาณ 5-6 คนทั้งๆที่ผมเป็นคนโคตรจะขี้อายต่อหน้าผู้หญิง แล้วผมก็พูดเสียงดังว่า
“ผมจะขอเบอร์คุณได้รึป่าวครับ”พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ที่ผมยืมเพื่อนมาให้ไปเธอตอบกลับมาว่า “เอาlineไปแทนได้รึป่าวคะ”
ผมตอบว่า “ไม่ครับ ขอเบอร์เท่านั้น” (เพราะผมไม่อยากบอกเธอเลยว่านั้นนะโทรศัพท์ของเพื่อนผมที่ไม่ใช้โทรศัพท์ของตัวเอง เพราะว่าของผมนั้นเป็นโทรศัพท์ที่โคตรจะเก่าแบบว่าถ้าขวดเบียร์ล้มกับโทรศัพท์ตกผมคงเลือกคว้าขวดเบียร์ก่อน) ในตอนที่เธอกำลังพิมพ์ๆอะไรในเครื่อง
ผมก็เห็นสายตาของเพื่อนเธอที่กำลังมองมาหาผม ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นผมก็มองกับมาที่ตัวผมเอง
ผมคิดในใจ ละ!!! ผมใส่รองเท้าคีบ กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม
มาขอเบอร์สาวที่สวยที่สุดที่เคยเจอในผับเนียนะ (ต้องบอกว่าคือผมโดนเพื่อนลากมาเที่ยวพร้อมกับชุดที่ไปเล่นน้ำสงกรานต์มา ยังโกรธไม่หายที่เค้า
อนุโลมให้ใส่ชุดยังไงก็ได้เข้าผับเพราะเป็นช่วงสงการนต์) พอผมได้เบอร์ของเธอมาก็รีบกลับโต๊ะ
เอาเบอร์เข้าเครื่องผมอะไรเรียบร้อย และก็เมาต่อไม่นานก็กลับ
พอถึงตอนเช้าผมคิดได้ว่าเพื่อนผมมันก็ได้สาวกลับไปด้วย ผมก็เลยจะโทรหามันสะหน่อยว่ากลับถึงบ้านรึยัง พอโทรไปแล้วก็มีคนรับสาย..
ผมก็พูดชื่อเพื่อนตามด้วยฉายาที่หยาบๆพร้อมคำถาม “เพื่อนจอน...สาวคนเมื่อคืนเป็นไงบ่าง เด็ดรึป่าวเพื่อน”มันพีคมากตรงที่ผู้หญิงเป็นคนรับสายและ
พีคมากกว่าคือผู้หญิงที่รับคือคนที่ผมขอเบอร์ไปเมื่อคืนผมคิดในใจ รอบสอง!! ผมโทรผิดเบอร์เป็นคำพูดการเริ่มจีบที่แย่ที่สุดในโลก
แต่สุดท้ายก็อย่างว่าละครับก็ได้มาเป็นแฟนกันจนได้^^ ดีใจที่สุดในโลกเลย
จากที่ได้อ่านมาถ้าให้หลายๆคนทายนิสัยผมคงไม่ผิดแน่ครับเที่ยวกลางคืน กินเหล้า ต่อยตี ผู้หญิง ใช่ครับไม่ผิดแน่ๆ ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ผมตามจีบผู้หญิงอยู่คนเกือบ4ปีที่เค้าไม่รับรักจากผม ผมเลยเป็นคนคบผู้หญิงให้พอผ่านๆไป ตลอดช่วงมหาลัยจนไปๆมาๆเจอผู้หญิงคนที่เหล่าไปก่อนหน้านี้ละครับเหมือนเป็นจุดจบสายแข็งเลยครับผมพลิกจากหน้าเท้าเป็นหลังมือเลย เปลี่ยนเป็นผมที่ไม่กินเหล้าจนเมา ไม่ใช้อารมณ์
มีเหตุผลมากขึ้น ตามหาความฝันสุดแรง ชีวิตมีแต่การไปท่องเที่ยวกับแฟนและมีความสุขทุกเวลาที่มีกันและกัน ในช่วงที่เธอมาฝึกสอนครูเธออยู่ปี5 ต้อนนั้นผมก็อยู่ปี4พอดีเป็นช่วงที่ต้องฝึกงานก่อนจบทั้งคู่ เลยมีโอกาสเข้ามาฝึกงานที่ กทม.เลยได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้น
หลายครั้งที่ผมกลับไปทำเรื่องเรียนจบที่มหาลัยต่างจังหวัด ผมจะเขียนจบหมายเล็กๆไว้ที่มุมห้องให้เธอได้อ่านเวลาเราอยู่ห่างกันหลายๆวัน
ตอนนั้นความสุขเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจริง ^^ แต่ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไปใช่รึป่าวครับ
จนถึงช่วงเรียนจบผมได้งานในที่ฝึกงานรอบที่1ของผมแต่ผมก็ได้ตอบปฏิเสธไป และเริ่มฝึกงานในตำแหน่งที่ชอบมากกว่าในอีกบริษัทที่2 แต่การเข้าฝึกงานรอบที่2 สองของผม ต้องรอคิวยาวถึง 4เดือนผมเลยต้องทำงานเป็นฟรีแลนซ์ไปก่อนรับงานเล็กๆ เงินก็ไม่ได้ดีนัก พอผมฝึกงานจบผมกลับไม่ได้เข้าทำงานเพราะตำแหน่งเต็ม ผมจึงต้องเริ่มหางานในอีกบริษัทและฝึกงานรอบที่3 ในตำแหน่งเดิมใหม่อีก6เดือน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมฝึกงานอย่างหนักกับบริษัทที่ขึ้นซื้อระดับประเทศ แต่เขาบอกว่าถ้ามาที่นี้ก็ต้องฝึกกันใหม่
เข้ากลับทีมให้ได้ แล้วยืนยันว่าถ้าฝึกจบจะได้งานทันที ผมก็ ตอบตกลงไป
แต่เรื่องร้ายยังไม่จบแค่นั้น เค้าบอกว่าต้องรอ 3เดือนก่อนเข้ารับการฝึก ผมแทบเป็นบ้าเพราะต้องกลับไปรับฟรีแลนซ์
ก่อนถึง3เดือน
เดี๋ยวผมขอย้อนกลับมาพูดถึงแฟนของผมกันบ่าง พอแฟนผมเรียนจบเค้าก็รอสอบบันจุครู โดยการอ่านหนังสือไป
หางานเล็กน้อยๆทำหนักสุดเราถึงขั้นต้องไปขายข้าวกล่องกันหน้าปากซอย ขายได้ไม่นานก็ต้องเลิกขายไป เพราะข้าวที่ขายเก็บได้ไม่ถึงเที่ยงวันก็เสีย
และพนักงานส่วนใหญ่ก็เก็บกับข้าวเราไว้กินกันตอนเที่ยง จนถึงวันที่เงินเราไม่พอใช้ ผมโทรไปขอเงินแม่บ่อยขึ้น แต่ผมเข้าใจเธอดีว่าทางบ้านเธอไม่ได้มีฐานะที่ดีมากนัก เลยต้องเป็นผมที่จ่ายทุกอย่างเองคนเดียว พอถึงวันประกาศผลสอบเธอก็ไม่ติด
เธอจึงต้องไปหาสมัครงานทำที่บริษัทแห่งหนึ่ง พอเธอได้ทำงานไม่นานทางบ้านเธอก็บอกว่า ผ่อนรถไม่ไหว เธอจึงต้องได้รถมาใช้โดยที่ต้องผ่อนเดือนละ 7000 ทั้งที่เงินเดือนเธอก็มีไม่เท่าไหร่ ผมหนักใจมาผ่อนรถเอง แต่สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากที่สุดและไม่เคยบอกเธอคือผมช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยT-T
ในช่วงรอการฝึกงานรอบที่สามของผมเราเริ่มมีปากเสียกันหนักขึ้นๆ เพราะแรงกดดันมันกายมาอยู่ที่ผม เพราะงานฟรีแลนซ์แถบหาเงินไม่ได้เลย
เธอต้องแบกภาระการผ่อนรถคนเดียวมาตลอด เดือนไหนที่ผมจ่ายได้แค่ค่าห้องเธอก็ต้องจ่ายค่ากินของเราทั้งสองด้วย
และวันนั้นผมจำได้ดี ถนนศรีนครินทร์ใกล้ๆกับ ร้านแมคโดนัลด์ เป็นวันที่รถติดมากๆ อากาศก็ร้อน เราก็เริ่มพูดถึงเรื่องเงินพอคุยกันได้ไม่นานผมก็ฟิวส์ขาดผมทั้งตะโกนดาเธอว่า “อย่ากดดันกันได้รึป่าว”และผมก็ทุบไปที่รถแรงๆหลายครั้ง หลังจากการกระทำนั้นเกิดขึ้นผมหันไปหาเธอ ผมเห็นน้ำตาเธอไหลเต็มหน้าไปหมดและเหมือนเธอก็ตะโกนกลับมาต่อว่าผม แต่ในหูผมกับไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงที่ผมคุยกับตัวเองว่า “ทำอะไรลงไปวะ”
หลังจากวันนั้นผมก็มีปากเสียงกันบ่างแต่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมจึงตัดสินใจย้ายที่พักไปอยู่กับป้าและจากนั้นไม่นานเราก็ย้ายที่พักไปอยู่ที่ลาดกระบังเราต้องตื่นแต่เช้าทุกวันเพราะต้องไปให้ทันส่งเธอขึ้นรถไฟจากลาดกระบังไปที่พญาไทยโดยที่เธอจะหอบเอาหนังสือไปมากมาย เพื่อไปอ่านตอนพักเที่ยงหรือตอนนั้งรถไฟเพื่อที่จะสอบครูอีกรอบ
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอก็สอบติดและได้เข้าบันจุเป็นครูสมดังใจในขนาดที่รอการเรียกบัลจุเธอก็ได้ลาออก และมาเป็นแม่ค้าออนไลน์
ขายรองเท้าที่เธอออกแบบเองตามความฝันอีกอย่างของเธอ
เรากับมาพูดถึงผมกันต่อนะครับ พอช่วงที่เธอสอบติดเธอจึงเลือกโรงเรียนที่จะบัลจุที่ใกล้ๆที่ๆผมกำลังจะเข้าฝึกงานพอดี
จากนั้นชีวิตก็เริมมาดีอีกครั้งพอผมฝึกงานพร้อมกับรายได้อันน้อยนิดที่เขาให้มา ผมก็กัดฟันทนจนได้เข้าทำงาน พอผมทำงานได้ไม่นานผมมีเงินเก็บอย่างเร็วประมาณ1แสนในไม่กี่เดือนแต่จุดที่สำคัญกว่านั้นคือผมเริ่มทำงานไม่ไหวเพราะไม่ค่อยได้นอนมันเป็นงานที่ใช้กำลังเยอะและเหตุผลอื่นๆอีกหลายอย่างผมจึงตัดสินใจลาออกทันทีโดยที่ไม่ได้หางานรองรับไว้เลยและผมก็มาจริงจังกับความฝันอีกอย่างของผมตั้งแต่สมัยเรียนแบบไม่มีอะไรรองรับคือการเล่นforex และผ่านไปไม่นาน เงินใช้จ่ายของผมก็หมดลง
โดยที่ผมไม่ได้ไปทำงานหรือสมัครงานที่ไหนเลยจนวันที่ผมไม่มีตังจ่ายค่าห้องของเดือน4ปี62 ผมต้องยืมเงินจากร้านขายรองเท้าออนไลน์ของเธอมาเพื่อรอเงินจากการรับงานฟรีแลนซ์เล็กน้อยๆของผม…….
และในที่สุดก็ถึงวันที่เรากลับมาแย่อีกครั้งเพราะผมหลายครั้งตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา 4 ปี เธอจะพูดถึงการแต่งงาน
การมีความมั้นคงในชีวิตเสมอแต่ผมกับให้เธอไม่ได้เลยสักอย่างในทุกครั้งที่เธอพูดผมจะวาดฝันให้เธอฟังทุกครั้งและเราก็จะแต่งงานตอนอายุสามสิบ
ผมบอกเธอไปอย่างนั้น และตอนนี้เธออายุกำลังจะ 27 แล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้าในวันที่ 17/05/62
เรามีปากเสียงกันอีกครั้งและมันก็เป็นผมเช่นค่อยที่พูดไม่ดีเราพูดถึงความมั้นคงและงานแต่งอีกครั้ง ไม่นานคำพูดก็เริ่มแรงขึ้นแต่ไม่ได้ใช้อารมณ์ที่แรงมากนักแต่เป็นคำพูดที่แทงใจเธอมากคำสุดท้าย คือ “งานก็สมัครให้แล้วไง…..ก็บอกว่า30ไงจะแต่งงานจะอะไรอีก”ผมไม่รู้ว่าผมสรรหาคำพูดแย่ๆพวกนี้มาจากไหนการมีปากเสียงจบลงพร้อมน้ำตา เราเลยมาคุยกันใหม่อีกรอบใน30นาทีต่อมา
เธอพูดถึงเรื่องราวเก่าๆมากมายที่เธอเก็บมันไว้ในใจที่ทำให้เธอฝังใจตั้งแต่วันที่ผมตะโกนในรถหรือเรื่องต่างๆที่เธอพูดแล้วผมไม่เคยจะสนใจมันเลยจนถึงวันนี้เธอไม่มีความสุขเลยและในคืนเดียวกันเธอก็ได้ขอให้ผมไปจากชีวิตเธอ ผมเข้าใจในตอนนั้นเองว่าขาอ่อนมันเป็นยังไงผมไม่มีแรงยืนขึ้นเพื่อเดินไปร้องไห้ที่ห้องน้ำด้วยซ้ำผมนอนร้องไห้อยู่ข้างเธอทั้งคืน แต่ก็ต้องร้องให้เบาที่สุดเพราะกลัวเธอจะตื่น
เพราะเธอต้องไปทำธุรแต่เช้า
พอถึงตอนเช้าเราไม่คุยกันมากนัก ผมขอขับรถไปส่งเธอและเราก็คุยกันน้อยมากต่อจากวันนี้ไปเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อีกไม่กี่วันเราก็จะเริ่มงานในที่ใหม่แล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดเธอแล้ว 20/06/62
ถ้าวันนั้นเราไม่ได้อยู่ข้างๆเธอ ขอให้จดหมายนี้เป็นเหมือนตอนที่เราเริ่มคบกันเวลาที่เราห่างกันเค้าจะชอบเอาจดหมายแอบวางไว้ในมุมต่างๆของห้องเวลาคิดถึงกันจะได้มีมันไว้คอยอ่านจะได้ไม่ลืมกัน
และอยากจะบอกว่าเค้าเสียใจมากที่ละเลยในสิ่งสำคัญที่สุดไปคือใจของเฟิร์น
เค้ามองแต่เป้าหมายของตัวเองจนไม่ได้คิดถึงคนที่อยู่ข้างๆจนเค้ากายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมากมาตลอด
เมื่อถึงวันที่เฟิร์นพร้อมจะลืมสิ่งแย่ๆที่ผมทำ
ผมจะขอเก็บเรื่องแย่ๆพวกนั้นไว้แล้วจะไม่ทำแบบนั้นอีก
ผมไม่เชื่อหลอกว่าการกระทำของผมมันเปลี่ยนกันไม่ได้
แต่เวลาที่ผ่านมาเฟิร์นได้เห็นแล้วว่าผมเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
และผมเชื่ออย่างมากว่าสักวันผมจะเป็นคนที่เฟิร์นเชื่อใจได้อีกครั้ง
เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้รึป่าวครับ หรือถ้าวันนั้นเรายังอยู่ข้างๆกันอยากให้รู้ไว้ว่าผมไม่ได้ละเลยความรู้สึกของคุณผมรักคุณเสมอ
ขอบคุณที่ได้มีกันและกัน