LEH LADAKH หนึ่งในสถานที่ในฝันของใครหลายคน แล้วก็คงจะมีเพื่อนๆในพันทิปรีวิวไว้เยอะมากกกกกกกกกกก เราก็อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ผ่านรูปและตัวอักษรในมุมมองของเราบ้าง หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้ใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปไหนดี 😁
ก่อนอื่นจะบอกว่าทริปนี้ไปมาปีกว่าเเล้ว พอดี FB แจ้งเตือนขึ้นมาแทบทุกวัน เลยเขียนกระทู้มันซะเลย รายละเอียดค่าใช่จ่ายก็ลืมไปหมดแล้ว แต่ก็พอจะจำได้คร่าวๆ ทริปนี้ไปกัน 4 คน ระยะเวลา 9 วัน ช่วง 27 Apr - 6 May ทริปนี้ไปกันเองเช่นเคย หลักคือ ติดต่อกับ Saleem ครบ จบ แบบ One stop service เลย ฮ่าๆๆๆ
ค่าใช้จ่ายต่อคน (ประมาณๆ ไม่เกินนี้)
ค่าตั๋ว 15,000 บาท
ค่าทำ VISA 1,500 บาท
ค่าที่พัก 4,000 บาท
ค่าเดินทาง+permit 6,000 บาท
ค่าอาหาร 5,000 บาท
รวม 31,500 บาท
แผนเที่ยวโดยสรุป
27-Apr BKK to DEL
28-Apr DEL to LEH, Leh city tour
29-Apr Lamayuru, Alchi
30-Apr Nubra Valley, Turtuk
1-May Hunder, Camel ridingb, Back to Leh
2-May To Pangong Lake
3-May From Pangong Lake to Leh
4-May To Moriri
5-May From Moriri to Leh
6-May LEH to DEL, DEL to BKK
Day 1 | Fly (Flight) to the HEAVEN ✈
หลังจากต่อเครื่องมาจาก Delhi Airport ก็ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง
แค่วิวจากหน้าต่างเครื่องก็รู้สึกฟิน มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน ก็ราวกับความฝันแล้ว
Day 1 | Arrival ✈
ในที่สุดก็มาถึง Leh Airport เป็นสนามบินเล็กๆ แบบว่าเล็กจริงๆ พอลงมาจากเครื่องเท่านั้นแหละ ด้วยความที่เรามาจากไทย แต่งตัวเเสนชิลล์ แถมไม่ได้เตรียมชุดกันหนาวไว้ คือโหลดลงเครื่องหมด สัมผัสแรกคือ หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกก แม้ว่าแสงแดดจะแผดแรงแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย นั่นแหละ... ก็ต้องรอจนได้กระเป๋าแล้วค่อยรีบหาเสื้อกันหนาวมาอย่างไว
Day 1 | Ree-Yul Guest House 🏡
เมื่อออกจาก Leh Airport ก็เดินทางไปยังที่พักที่ติดต่อไว้ ทางที่พักก็ส่ง Taxi มารับที่สนามบินแล้วก็ตรงไปยังที่พักในเมืองเลห์ทันที ก็พักผ่อนกันไปเนื่องจากมาถึงกันแต่เช้าเลย
รู้มาว่าที่นี่คือ Ree-Yul Guest House ค่อนข้างดังในหมู่คนไทย เพราะมีในรีวิวจากหลายๆที่เลย จากที่ได้สัมผัสก็สมราคาคุยจริงๆ ด้วยความที่มี Full service ทั้งที่พัก รถ และทำ permit ต่างๆ นอกจากนั้น มีน้ำอุ่นด้วย อันนี้ฟินสุด 555 อีกอย่างที่ยืนยันว่าป๊อบในหมู่คนไทยคือ ตลอดเวลาที่อยู่ที่ที่พักแห่งนี้ เจอแต่คนไทยจริงๆ
Day 1 | LEH City Part I 🏠🏰🏠
หลังจากพักผ่อนจนช่วงบ่าย ได้เวลาออกมาเที่ยวชมรอบๆเมืองเลห์ โดยขึ้นไปดูวิวเมืองนี้จาก Leh Palace ซึ่งอยู่บนเขา
เลห์ เป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นเมืองหลวงในแคว้นลาดักห์ ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่ ภูเขาหิมะก็มี เป็นเมืองเล็กๆที่ดูยิ่งใหญ่ด้วยโลเคชันมากๆ
Day 2 | Around the LEH 🌏🗻😄
เริ่มต้นกับวันที่สองของทริป แค่ขับรถออกมาจากเมืองก็ฟินกับวิวรอบๆแล้ว แต่เสียดายวันนี้เมฆเยอะไปนิด ส่วนอากาศก็หนาวตามเดิม
Route ของวันนี้คือ จะไป Lamayuru แล้วก็แวะเที่ยวตามรายทางไปเรื่อยๆ Landmark ที่จะไปก็เป็นจุดที่ไม่ได้ห่างจากเมืองมากเท่าไรนัก
ทีเด็ดของทริปนี้คือ ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางก็จะได้เจอกับวิวที่สวยแปลกตาตลอดทางไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม
นี่ก็เป็นอีก check point สุดฮิตของที่นี่ แม่น้ำสองสี แม้ว่าน้ำจะขุ่นไปซะหน่อยก็สวยไปอีกแบบ
Day 2 | Alchi 🎑⛪🌲
อีก Landmark นึงก็คือ Alchi Monastery วัดที่เก่าแก่อีกที่นึงของที่นี่ ซึ่งวัดแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนเขาเหมือนกับหลายๆที่ แต่จะอยู่ติดกับ Indus river หรือ แม่น้ำสินธุ ทำให้ให้เห็นอีกมุมสวยๆของที่นี่
เมื่อเดินเข้าไปสุดในวัดก็จะมีทางให้ไปดูวิวแม่น้ำสินธุ สวยมากกกกกก และก็เหนื่อยมาก เพราะต้องเดินเข้ามาไกลพอสมควร แต่ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกให้ได้แวะพักเหนื่อยบ้าง
Day 2 | Cheery Blossum 🌸🌸🌸
เรายังอยู่กันที่เดิมที่ Alchi Monastery หลังจากเดินไปดูวิวแม่น้ำ ระหว่างทางเดินขากลับก็เจอกับหมู่มวลต้น cherry blossum เต็มไปหมด จริงๆเราจะเห็นได้ตลอดทางที่มานะ แม้กระทั้ง Guest house ในเมืองเลห์นังมีเลย คิดว่าภูมิประเทศ และภูมิอากาศของที่นี่คงจะเหมาะกับการปลูกเจ้าต้นนี้
เลยได้เห็นโลเคชันที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่ประเทศอินเดีย เพราะถ้าไม่บอกว่าที่ไหน หลายคนก็คงจะคิดว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นแน่ๆ
Day 3 | Khardung La Pass 🗻🗻🗻
เป็นการนั่งรถที่วิ่งบนเขา และฝ่าหิมะที่ตื่นเต้นมาก ทั้งหนาว ทั้งหายใจลำบาก ทั้งหิว เพราะติดอยู่บนนั้นนานมากกกกกก
ในที่สุดเราก็ได้ผ่าน 'ถนนเส้นที่สูงที่สุดในโลก' โดยไม่ค่อยได้ดื่มด่ำบรรยากาศเท่าไร เพราะหิมะตกหนักมากจนไม่อยากลงจากรถกันเลย แต่ก็มีเหตุให้ต้องลง เพราะปวดฉี่ แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูป วันนี้เลยไม่มีภาพที่ Khardung La Pass
พอผ่านไปซักพักอากาศก็เริ่มดีขึ้น หิมะหยุดตก เมื่อมาถึงจุดพักรถก็เลยได้ลงมาถ่ายรูปบ้าง อิอิ
Day 3 | Snow Town ⛄
มาถึงอีกจุดที่ต้องเเวะเพื่อถอดโซ่ที่ล้อรถออก เพราะถนนไม่มีหิมะปกคลุมแล้ว ต่อจากนี้ไปเราจะได้ไม่ได้ลุ้นแล้วววววว
แถวนี้ก็คล้ายจุดพักรถอีกจุดหนึ่งให้รถที่กำลังจะไปถอดโซ่ออก ส่วนรถที่จะกลับก็เตรียมใส่โซ่รอเลย
Day 3 | After the crisis ❄
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ หลังจากผ่านมรสุมอันหนักหน่วงเราก็ได้มาแวะกินข้าวกลางวันกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง Khalsar village เป็นหมู่บ้านแรกที่เราเจอหลังจากผ่าน Khardung La Pass มานั่นเอง
มื้อนี้เราไม่ค่อยเจริญอาหารกันเท่าไร เลยสั่งอาหารเบาๆ ข้าวผัด กับไข่เจียว แล้วก็ของลับที่เราพกมาเอง น้ำพริกปลากรอบ และน้ำพริกกุ้งเสียบ ที่ได้ช่วยให้เราเจริญอาหารขึ้นมานิดนึงก่อนจะออกเดินทางกันต่อ เฮ้!
Day 4 | Morning with Camel
วันนี้เราตื่นเช้ากันมาก เพราะตื่นเต้นมากกกกก ตามแผนคือวันนี้เราจะมาขี่อูฐกัน ซึ่งที่ที่เราจะไปขี่ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พัก ขับรถมาประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
พอมาถึงก็เจอน้องอูฐเต็มไปหมด มีทั้งนั่งรออยู่แล้ว และกำลังเดินมาอีก จริงๆคนนำเที่ยวเราบอกว่าเค้าจะเปิดให้ขี่ได้ตอน 9 โมง แต่เรามาถึงกันประมาณ 8 โมงครึ่ง เลยได้ขี่กันก่อน 555
ในที่สุดเราก็ได้ขี่เจ้าอูฐกันแล้ววว.....
สิ่งที่น่ากลัวคือตอนขึ้น-ลงนี่แหละ น้องอูฐลุกขึ้นทีละข้างตอนลุกจะลุกจากข้างหลังก่อน เราก็หัวทิ่มไปสิ ยังดีที่มีโหนกของน้องอูฐกั้นไว้ มันงั้นคงมีกลิ้งกันบ้าง
ภาพที่เคยเห็นอูฐ ก็ต้องอยู่ในทะเลทราย แค่คิดภาพก็ร้อนแล้ว แต่ที่นี่ช่างแตกต่าง ถึงจะเป็นทะเลทราย แต่สภาพอากาศไม่ใช่อย่างที่ควรเป็น อากาศก็หนาวสุดๆอยู่ดี ยังดีหน่อยที่มีแดดช่วยให้หายหนาวนิดนึง
Day 4 | Side view 🚐🌊🗻
ได้เวลาเดินทางยิงตรงกลับเลห์แล้ว สิ่งที่มาที่นี่แล้วเห็นทุกๆวันคือวิวที่สวยงามตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนว่าสวยไปซะหมด มันก็เลยอดไม่ได้ที่จะเเวะถ่ายรูปกันตลอดทางเลย
Day 4 | Khardung La Pass (Return) 🗻❄⛄
ในส่วนของขากลับ เราได้มาถึง Khardung Pa Pass อีกครั้ง รอบนี้ไม่มีหิมะตก ทำให้เรามีสติกว่าขามา เลยได้ลงมาเดินเล่นกันบ้าง
ถนนเส้นนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 18,389 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล ที่ตัดผ่านเทือกเขาหิมาลัย ด้วยความสูงระดับนี้ทำให้อากาศหนาวมาก และมีหิมะเกือบจะทั้งปี
เนื่องจากสภาพอากาศอันหนักหน่วงของเมื่อวานทำให้สภาพถนนไม่สะดวกในการเดินทางซักเท่าไร รถสามารถสัญจรได้เพียงทางเดียว จึงต้องแบ่งกันไปคนละเที่ยว เลยต้องจอดรอกันเกือบชั่วโมงเลย
ไหนๆก็ต้องรอนานแล้ว เลยได้โอกาสลงมาถ่ายรูป เล่นหิมะซักหน่อยแล้วกัน (เมื่อวานตอนขามาเล่นไม่ไหวจริงๆ) ความพีคอยู่ตอนลงไปเล่นก็สนุกอยู่นะ แต่ซักพักนึงพอเหนื่อยแล้วเหมือนใจจะขาดเลยทีเดียว รู้อากาศไม่พอหายใจ ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นดีดเอง ฮ่าๆๆๆ
หนึ่งชั่วโมงนี่ผ่านไปนานจริงๆนะ แต่วันนี้ฟ้าใส โล่ง โปร่ง มากกกกกกก เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก
มาจุด check point กันซะหน่อย Khardung La Top มุมนิยมเลยทีเดียว คนยืนต่อคืวกันเต๊มเลย แต่ตอนที่เรามาถ่ายนี่ยังไม่มีคนเลยนะ โชคดีไปที่ไม่ต้องยืนคอยนาน อิอิ
Day 5 | Chang La Pass 🔝🔝🔝
ในที่สุดก็ถึง Chang La Pass เป็นถนนที่สูงอันดับสามของโลก รองจาก อันดับหนึ่ง Khardung La Pass (ไปมาแล้ว เจอหิมะตกหนักด้วย) และอันดับสอง Taglang La Pass
ด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 17,688 ฟุต ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศก็ไม่ได้ต่างกับอันดับหนึงซักเท่าไร
ฟ้าใสขนาดนี้ ลงมาเก็บภาพกับจุด check point กันซะหน่อย
Day 5 | ChangLa Cafeteria 🏪🍵
รอบนี้ระหว่างใส่โซ่ที่ล้อ ก็ได้มาหาชาร้อนๆดื่มที่ร้านที่อยู่บน ChangLa ช่วยคลายหนาวได้เยอะเลย แน่นอนว่าอยู่สูงขนาดนี้ไม่ได้มีตัวเลือกให้เยอะซักเท่าไร ก็มีอยู่ร้านเดียวนี่แหละ บรรยากาศข้างในก็ฟีลเดียวกับสภากาแฟเลย ต่างกันที่อากาศมันหนาวมากๆนี่แหละ
Day 5 | Pangong Tso - Splash ❄🌊❄
คุณทนความเย็นได้แค่ไหน ต้องกล้าแค่ไหนที่สามารถเอามือวักน้ำขึ้นมาได้แบบนี้ แล้วต้องทำกี่รอบถึงจะได้ภาพนี้ ผลที่ได้คือมือชาไปตามระเบียบ
ต่อที่ comment นะครับ
[CR] LEH LADAKH 9 วัน ณ ดินแดนแห่งขุนเขา ทิเบตน้อย
LEH LADAKH หนึ่งในสถานที่ในฝันของใครหลายคน แล้วก็คงจะมีเพื่อนๆในพันทิปรีวิวไว้เยอะมากกกกกกกกกกก เราก็อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ผ่านรูปและตัวอักษรในมุมมองของเราบ้าง หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้ใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปไหนดี 😁
ก่อนอื่นจะบอกว่าทริปนี้ไปมาปีกว่าเเล้ว พอดี FB แจ้งเตือนขึ้นมาแทบทุกวัน เลยเขียนกระทู้มันซะเลย รายละเอียดค่าใช่จ่ายก็ลืมไปหมดแล้ว แต่ก็พอจะจำได้คร่าวๆ ทริปนี้ไปกัน 4 คน ระยะเวลา 9 วัน ช่วง 27 Apr - 6 May ทริปนี้ไปกันเองเช่นเคย หลักคือ ติดต่อกับ Saleem ครบ จบ แบบ One stop service เลย ฮ่าๆๆๆ
ค่าใช้จ่ายต่อคน (ประมาณๆ ไม่เกินนี้)
ค่าตั๋ว 15,000 บาท
ค่าทำ VISA 1,500 บาท
ค่าที่พัก 4,000 บาท
ค่าเดินทาง+permit 6,000 บาท
ค่าอาหาร 5,000 บาท
รวม 31,500 บาท
แผนเที่ยวโดยสรุป
27-Apr BKK to DEL
28-Apr DEL to LEH, Leh city tour
29-Apr Lamayuru, Alchi
30-Apr Nubra Valley, Turtuk
1-May Hunder, Camel ridingb, Back to Leh
2-May To Pangong Lake
3-May From Pangong Lake to Leh
4-May To Moriri
5-May From Moriri to Leh
6-May LEH to DEL, DEL to BKK
Day 1 | Fly (Flight) to the HEAVEN ✈
หลังจากต่อเครื่องมาจาก Delhi Airport ก็ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง
แค่วิวจากหน้าต่างเครื่องก็รู้สึกฟิน มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน ก็ราวกับความฝันแล้ว
Day 1 | Arrival ✈
ในที่สุดก็มาถึง Leh Airport เป็นสนามบินเล็กๆ แบบว่าเล็กจริงๆ พอลงมาจากเครื่องเท่านั้นแหละ ด้วยความที่เรามาจากไทย แต่งตัวเเสนชิลล์ แถมไม่ได้เตรียมชุดกันหนาวไว้ คือโหลดลงเครื่องหมด สัมผัสแรกคือ หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกก แม้ว่าแสงแดดจะแผดแรงแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย นั่นแหละ... ก็ต้องรอจนได้กระเป๋าแล้วค่อยรีบหาเสื้อกันหนาวมาอย่างไว
Day 1 | Ree-Yul Guest House 🏡
เมื่อออกจาก Leh Airport ก็เดินทางไปยังที่พักที่ติดต่อไว้ ทางที่พักก็ส่ง Taxi มารับที่สนามบินแล้วก็ตรงไปยังที่พักในเมืองเลห์ทันที ก็พักผ่อนกันไปเนื่องจากมาถึงกันแต่เช้าเลย
รู้มาว่าที่นี่คือ Ree-Yul Guest House ค่อนข้างดังในหมู่คนไทย เพราะมีในรีวิวจากหลายๆที่เลย จากที่ได้สัมผัสก็สมราคาคุยจริงๆ ด้วยความที่มี Full service ทั้งที่พัก รถ และทำ permit ต่างๆ นอกจากนั้น มีน้ำอุ่นด้วย อันนี้ฟินสุด 555 อีกอย่างที่ยืนยันว่าป๊อบในหมู่คนไทยคือ ตลอดเวลาที่อยู่ที่ที่พักแห่งนี้ เจอแต่คนไทยจริงๆ
Day 1 | LEH City Part I 🏠🏰🏠
หลังจากพักผ่อนจนช่วงบ่าย ได้เวลาออกมาเที่ยวชมรอบๆเมืองเลห์ โดยขึ้นไปดูวิวเมืองนี้จาก Leh Palace ซึ่งอยู่บนเขา
เลห์ เป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นเมืองหลวงในแคว้นลาดักห์ ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่ ภูเขาหิมะก็มี เป็นเมืองเล็กๆที่ดูยิ่งใหญ่ด้วยโลเคชันมากๆ
Day 2 | Around the LEH 🌏🗻😄
เริ่มต้นกับวันที่สองของทริป แค่ขับรถออกมาจากเมืองก็ฟินกับวิวรอบๆแล้ว แต่เสียดายวันนี้เมฆเยอะไปนิด ส่วนอากาศก็หนาวตามเดิม
Route ของวันนี้คือ จะไป Lamayuru แล้วก็แวะเที่ยวตามรายทางไปเรื่อยๆ Landmark ที่จะไปก็เป็นจุดที่ไม่ได้ห่างจากเมืองมากเท่าไรนัก
ทีเด็ดของทริปนี้คือ ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางก็จะได้เจอกับวิวที่สวยแปลกตาตลอดทางไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม
นี่ก็เป็นอีก check point สุดฮิตของที่นี่ แม่น้ำสองสี แม้ว่าน้ำจะขุ่นไปซะหน่อยก็สวยไปอีกแบบ
Day 2 | Alchi 🎑⛪🌲
อีก Landmark นึงก็คือ Alchi Monastery วัดที่เก่าแก่อีกที่นึงของที่นี่ ซึ่งวัดแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนเขาเหมือนกับหลายๆที่ แต่จะอยู่ติดกับ Indus river หรือ แม่น้ำสินธุ ทำให้ให้เห็นอีกมุมสวยๆของที่นี่
เมื่อเดินเข้าไปสุดในวัดก็จะมีทางให้ไปดูวิวแม่น้ำสินธุ สวยมากกกกกก และก็เหนื่อยมาก เพราะต้องเดินเข้ามาไกลพอสมควร แต่ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกให้ได้แวะพักเหนื่อยบ้าง
Day 2 | Cheery Blossum 🌸🌸🌸
เรายังอยู่กันที่เดิมที่ Alchi Monastery หลังจากเดินไปดูวิวแม่น้ำ ระหว่างทางเดินขากลับก็เจอกับหมู่มวลต้น cherry blossum เต็มไปหมด จริงๆเราจะเห็นได้ตลอดทางที่มานะ แม้กระทั้ง Guest house ในเมืองเลห์นังมีเลย คิดว่าภูมิประเทศ และภูมิอากาศของที่นี่คงจะเหมาะกับการปลูกเจ้าต้นนี้
เลยได้เห็นโลเคชันที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่ประเทศอินเดีย เพราะถ้าไม่บอกว่าที่ไหน หลายคนก็คงจะคิดว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นแน่ๆ
Day 3 | Khardung La Pass 🗻🗻🗻
เป็นการนั่งรถที่วิ่งบนเขา และฝ่าหิมะที่ตื่นเต้นมาก ทั้งหนาว ทั้งหายใจลำบาก ทั้งหิว เพราะติดอยู่บนนั้นนานมากกกกกก
ในที่สุดเราก็ได้ผ่าน 'ถนนเส้นที่สูงที่สุดในโลก' โดยไม่ค่อยได้ดื่มด่ำบรรยากาศเท่าไร เพราะหิมะตกหนักมากจนไม่อยากลงจากรถกันเลย แต่ก็มีเหตุให้ต้องลง เพราะปวดฉี่ แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูป วันนี้เลยไม่มีภาพที่ Khardung La Pass
พอผ่านไปซักพักอากาศก็เริ่มดีขึ้น หิมะหยุดตก เมื่อมาถึงจุดพักรถก็เลยได้ลงมาถ่ายรูปบ้าง อิอิ
Day 3 | Snow Town ⛄
มาถึงอีกจุดที่ต้องเเวะเพื่อถอดโซ่ที่ล้อรถออก เพราะถนนไม่มีหิมะปกคลุมแล้ว ต่อจากนี้ไปเราจะได้ไม่ได้ลุ้นแล้วววววว
แถวนี้ก็คล้ายจุดพักรถอีกจุดหนึ่งให้รถที่กำลังจะไปถอดโซ่ออก ส่วนรถที่จะกลับก็เตรียมใส่โซ่รอเลย
Day 3 | After the crisis ❄
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ หลังจากผ่านมรสุมอันหนักหน่วงเราก็ได้มาแวะกินข้าวกลางวันกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง Khalsar village เป็นหมู่บ้านแรกที่เราเจอหลังจากผ่าน Khardung La Pass มานั่นเอง
มื้อนี้เราไม่ค่อยเจริญอาหารกันเท่าไร เลยสั่งอาหารเบาๆ ข้าวผัด กับไข่เจียว แล้วก็ของลับที่เราพกมาเอง น้ำพริกปลากรอบ และน้ำพริกกุ้งเสียบ ที่ได้ช่วยให้เราเจริญอาหารขึ้นมานิดนึงก่อนจะออกเดินทางกันต่อ เฮ้!
Day 4 | Morning with Camel
วันนี้เราตื่นเช้ากันมาก เพราะตื่นเต้นมากกกกก ตามแผนคือวันนี้เราจะมาขี่อูฐกัน ซึ่งที่ที่เราจะไปขี่ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พัก ขับรถมาประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
พอมาถึงก็เจอน้องอูฐเต็มไปหมด มีทั้งนั่งรออยู่แล้ว และกำลังเดินมาอีก จริงๆคนนำเที่ยวเราบอกว่าเค้าจะเปิดให้ขี่ได้ตอน 9 โมง แต่เรามาถึงกันประมาณ 8 โมงครึ่ง เลยได้ขี่กันก่อน 555
ในที่สุดเราก็ได้ขี่เจ้าอูฐกันแล้ววว.....
สิ่งที่น่ากลัวคือตอนขึ้น-ลงนี่แหละ น้องอูฐลุกขึ้นทีละข้างตอนลุกจะลุกจากข้างหลังก่อน เราก็หัวทิ่มไปสิ ยังดีที่มีโหนกของน้องอูฐกั้นไว้ มันงั้นคงมีกลิ้งกันบ้าง
ภาพที่เคยเห็นอูฐ ก็ต้องอยู่ในทะเลทราย แค่คิดภาพก็ร้อนแล้ว แต่ที่นี่ช่างแตกต่าง ถึงจะเป็นทะเลทราย แต่สภาพอากาศไม่ใช่อย่างที่ควรเป็น อากาศก็หนาวสุดๆอยู่ดี ยังดีหน่อยที่มีแดดช่วยให้หายหนาวนิดนึง
Day 4 | Side view 🚐🌊🗻
ได้เวลาเดินทางยิงตรงกลับเลห์แล้ว สิ่งที่มาที่นี่แล้วเห็นทุกๆวันคือวิวที่สวยงามตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนว่าสวยไปซะหมด มันก็เลยอดไม่ได้ที่จะเเวะถ่ายรูปกันตลอดทางเลย
Day 4 | Khardung La Pass (Return) 🗻❄⛄
ในส่วนของขากลับ เราได้มาถึง Khardung Pa Pass อีกครั้ง รอบนี้ไม่มีหิมะตก ทำให้เรามีสติกว่าขามา เลยได้ลงมาเดินเล่นกันบ้าง
ถนนเส้นนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 18,389 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล ที่ตัดผ่านเทือกเขาหิมาลัย ด้วยความสูงระดับนี้ทำให้อากาศหนาวมาก และมีหิมะเกือบจะทั้งปี
เนื่องจากสภาพอากาศอันหนักหน่วงของเมื่อวานทำให้สภาพถนนไม่สะดวกในการเดินทางซักเท่าไร รถสามารถสัญจรได้เพียงทางเดียว จึงต้องแบ่งกันไปคนละเที่ยว เลยต้องจอดรอกันเกือบชั่วโมงเลย
ไหนๆก็ต้องรอนานแล้ว เลยได้โอกาสลงมาถ่ายรูป เล่นหิมะซักหน่อยแล้วกัน (เมื่อวานตอนขามาเล่นไม่ไหวจริงๆ) ความพีคอยู่ตอนลงไปเล่นก็สนุกอยู่นะ แต่ซักพักนึงพอเหนื่อยแล้วเหมือนใจจะขาดเลยทีเดียว รู้อากาศไม่พอหายใจ ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นดีดเอง ฮ่าๆๆๆ
หนึ่งชั่วโมงนี่ผ่านไปนานจริงๆนะ แต่วันนี้ฟ้าใส โล่ง โปร่ง มากกกกกกก เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก
มาจุด check point กันซะหน่อย Khardung La Top มุมนิยมเลยทีเดียว คนยืนต่อคืวกันเต๊มเลย แต่ตอนที่เรามาถ่ายนี่ยังไม่มีคนเลยนะ โชคดีไปที่ไม่ต้องยืนคอยนาน อิอิ
Day 5 | Chang La Pass 🔝🔝🔝
ในที่สุดก็ถึง Chang La Pass เป็นถนนที่สูงอันดับสามของโลก รองจาก อันดับหนึ่ง Khardung La Pass (ไปมาแล้ว เจอหิมะตกหนักด้วย) และอันดับสอง Taglang La Pass
ด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 17,688 ฟุต ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศก็ไม่ได้ต่างกับอันดับหนึงซักเท่าไร
ฟ้าใสขนาดนี้ ลงมาเก็บภาพกับจุด check point กันซะหน่อย
Day 5 | ChangLa Cafeteria 🏪🍵
รอบนี้ระหว่างใส่โซ่ที่ล้อ ก็ได้มาหาชาร้อนๆดื่มที่ร้านที่อยู่บน ChangLa ช่วยคลายหนาวได้เยอะเลย แน่นอนว่าอยู่สูงขนาดนี้ไม่ได้มีตัวเลือกให้เยอะซักเท่าไร ก็มีอยู่ร้านเดียวนี่แหละ บรรยากาศข้างในก็ฟีลเดียวกับสภากาแฟเลย ต่างกันที่อากาศมันหนาวมากๆนี่แหละ
Day 5 | Pangong Tso - Splash ❄🌊❄
คุณทนความเย็นได้แค่ไหน ต้องกล้าแค่ไหนที่สามารถเอามือวักน้ำขึ้นมาได้แบบนี้ แล้วต้องทำกี่รอบถึงจะได้ภาพนี้ ผลที่ได้คือมือชาไปตามระเบียบ
ต่อที่ comment นะครับ