โดนกักตัวที่ ตม.สิงคโปร์ 22 ชั่วโมง โดยไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น!!!!

คิดตั้งหลายวันว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีมั้ย มันเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์เลยสำหรับเรา ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้

**เราต้องขอออกตัวก่อนว่า เราเจอประสบการณ์แย่ๆ กับคนแย่ๆ ไม่ได้หมายความว่า ประเทศนี้เค้าจะแย่ไปหมดทุกคน ส่วนตัวเรายังชอบประเทศนี้อยู่ เพื่อนหลายคนที่อยู่ที่นี้ก็ nice กันทุกคน ย้ำว่าเฉพาะบางคนเท่านั้น และการปฏิบัติของบางคนเท่านั้น**

เรื่องมีอยู่ว่า.....

เรากับเพื่อนวางแผนกันว่าจะไปเที่ยวที่สิงคโปร์ ความใฝ่ฝันคืออยากไปเล่นรถไฟเหาะที่ universal studio ซักครั้ง เลือกวันเป็นวันที่ 3-6 พค. เพราะหยุดยาว 3 วันพอดี

คุยกันว่าไปกันแบบลุยๆ backpack ไม่ต้องโหลดกระเป๋าจะได้ประหยัดค่าตั๋วด้วย เลิกงานตอนเย็นแล้วบินไฟท์ซัก4-5ทุ่ม ไปถึงสิงคโปร์ก็น่าจะตี1-2 พอดี รอไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า พอเช้าเราก็ไปลุยกันเลย

คุยกับเสร็จก็แยกกันจองตั๋ว 

เราจองตั๋ว จากดอนเมืองไปสิงคโปร์ เป็นของ scoot ตั๋วกลับจอง thai lion air (ไม่จองไป-กลับสายการบินเดียวกันเพราะเวลาบินมันไม่โอเคสำเราพวกเราคน ตจว.) เพราะเราต้องจองตั๋วไป-กลับจากจังหวัดที่เราอยู่ด้วย ช่วงที่จองเป็นช่วงสงกรานต์พอดี เพื่อนก็เล่นน้ำ

จะถามข้อมูลเพื่อมาจองตั๋ว booking เดียวกันก็ลำบาก เลยแยกกันจองดีที่สุด บอกว่าจะจองไฟท์นี้ สายการบินนี้นะ ประมาณนั้น

เรากับเพื่อน ปกติก็ชอบเที่ยวกันอยู่แล้ว ทั้งในไทยและต่างประเทศ ในเอเชียเรียกได้ว่าเคยไปมาหลายประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ก็ไม่ใช่การไปครั้งแรกด้วย!!!!  และต้องลางาน ต้องเก็บเงินหลายเดือนเพื่อไปเที่ยวแต่ละที่

เราทำแผนการเที่ยวมาอย่างสวยงาม รวบรวมข้อมูลจากการรีวิวมาจากหลายที่ พวกเราเลยตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตารอทริปนี้เป็นพิเศษ

ในหัวไม่มีความคิดว่าเราจะมีปัญหาอะไรกับ ตม.มั้ย เพราะอย่างที่บอก เราไปเที่ยวมาแล้วหลายประเทศ เรามีงานประจำทำ 

มีเงินที่แลกมาเพียงพออยู่ได้สบายๆ  รวมถึงบัตรเครดิตต่างๆเผื่อต้องจ่ายอะไรฉุกเฉิน กระเป๋าเป้ backpack  ก็มีแค่ใบเดียวที่สะพายมา ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนหนีเข้าประเทศหรือทำผิดกฎหมายซักนิด

พอถึงสิงคโปร์ เช้ามืดวันที่ 4 ประมาณตี 2กว่า เรากับเพื่อนก็เดินไป ตม. ปกติเหมือนๆนักท่องเที่ยวทั่วๆไป เรามีแค่กระเป๋าแบ็คแพ็คกันคนละใบ 

เพื่อนเราผ่านไปได้สบายๆ ติดที่เรา ถูกเชิญไปที่ออฟฟิต เจ้าหน้าที่ที่คุยด้วยคนแรก เป็นผู้หญิงอินเดีย  น้ำเสียงและหน้าตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ถามเราว่า 

: ตอนมาปีที่แล้วมีเจ้าหน้าที่ถามอะไรมั้ย? 

.....ใช่ปีที่แล้วเราก็มากับเพื่อนสองคน ช่วงปลายเดือน มิย. ก็ปกติดี

เราก็ตอบไปว่า ไม่ได้ถามอะไร (เรามาเที่ยวแค่ 2 วันด้วยซ้ำวันที่ 3 เราก็กลับ)

: มากับใคร มาเที่ยวคนเดียวรึป่าว?

: จะอยู่กี่วัน และพักที่ไหน?

: ได้จองตั๋วกลับไว้มั้ย? ขอดูหน่อย

บลา บลา บลา.....

ซึ่งเราตอบคำถามเบสิกๆแบบนี้ได้อยู่แล้ว ภาษาก็พูดได้ Booking ก็มี พูดง่ายๆคือถามอะไรมา ตอบได้หมด !!!

เรายืนอยู่เคาเตอร์ แล้วนางอินเดียก็เช็คๆอะไรที่หน้าจอ อยู่ประมาณ 20 นาที เห็นทีจะนาน เราเลยไลน์ไปบอกเพื่อนว่าให้หาที่นั่งรอก่อนนะ 

คุยกับ ตม. ยังไม่เสร็จ แต่คิดว่าไม่น่าจะนานหรอก รอก่อน...

จากนั้น นางอินเดียคนเดิม ก็บอกเราว่า ต้องเช็คอะไรอีหนิดหน่อย เข้ามารอในห้องรับรองได้มั้ย เราก็ตอบได้ ใช้เวลานานมั้ย เพราะเพื่อนรออยู่ข้างนอก นางก็บอก  wait la!! 

โอเค รอก็รอ.... เราก็เลยนั่งรอ
1 ชม. ผ่านไป.... เริ่มคิดว่า ไม่ใช่ล่ะ ต้องมีอะไรแน่ๆ แต่เราก็ยังไม่ถามเพราะคิดว่า น่าจะเช็คอะไรอยู่จริงๆ จากนั้นไม่นาน 

ก็มี จนท.อีกคน เป็นลุงคนจีนอายุน่าจะ 50 กว่าๆเข้ามาในห้องที่เราอยู่และเรียกเราให้ตามไป โดยยังไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้นว่าเรามานั่งโง่ๆอยู่ตรงนี้ทำไม 

ลุงแกเรียกเราไปอีกห้องนึง แล้ว ให้เรา สแกนลายนิ้วมือ เริ่มจากนิ้ว หัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง ก้อย ทั้งสองข้าง และถ่ายรูปเราไว้ด้วย เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น?

อีลุงคนจีนก็ยังไม่ตอบ เราก็งงว่า เฮ้ย... ลุงแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือยังไง ไม่ตอบ ไม่พูดไม่จา!!

หลังจากนั้น อีลุงคนจีนก็ให้เรากลับมานั่งที่เดิม แล้วบอกว่า รอแป๊บ!!! ซึ่งมันก็เช้า ชม. ที่ 2 แล้วที่เรามานั่งเอ๋อๆเบลอๆอยู่ตรงนี้

เราทนไหวเลยเคาะประตูถาม ลืมบอก!!! ห้องรับรองเป็นห้องที่เปิดได้จากด้านนอกเท่านั้น หมายถึง เราโดนขังเหรอ??? 

เราทนไม่ไหวก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น นางอินเดีย ก็เลยตอบเราหวนๆว่า

 "you can not entry la you waiting the airline go back thailand la."

พ*****ตาย !!!!!

เราหน้าชา เราช็อค เราสตั้น!!! มือสั้นเพราะความมึนและความงง เหมือนมีคนเอาไม้เบสบอลมาฟาดหน้า ว่าไงนะ ทำไมเป็นแบบนั้น 

เราทำอะไรผิด คำถามมากมายยิงใส่ นางอินเดียไม่ตอบไม่พอ ไม่ฟังเราอธิบายด้วย เฮ้ย... คุณจะทำแบบนี้กับนั่งท่องเที่ยวไม่ได้ !!!

เราจองตั๋วมา ที่พักก็จอง ตั๋วเที่ยว USS เราก็จองไว้หมดแล้ว เงินนะที่จ่ายไปไม่ใช่กรวดไม่ใช่ทราย จะมาบอกว่า รอไฟท์กลับง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็มาอธิบายก่อนว่าเพราะอะไร!!! 

เราเห็นท่าไม่ดีล่ะ ต้องหาคนช่วย คิดได้ว่า สถานฑูตไทยน่าจะคุยให้เราได้ ได้เบอร์แต่ดันโทรออกไม่ได้เพราะซิมที่ใช้ดันเป็นซิมที่ใช้เน็ตได้อย่างเดียว

เวรกำเคราะห์ซ้ำกับซัด จะใช้ซิมของตั๋วเองแล้ว เปิด roaming ก็ไม่มีอะไรแหลมๆมาจิ้มซิมเดิมออกอีก พูดง่ายๆคือ อะไรก็ดูซวยไปหมด!!!!

เพื่อนเราที่มาด้วย โทรหาสถานฑูตได้ความว่า "ถ้าเพื่อนน้องอยู่ตรงนั้นเกิน 3 ชม.คงได้กลับจริงๆได้กลับแน่ๆแหละ" แค่นั้น แลดูเหมือนช่วยอะไรเราไม่ได้เลย! 

ความรู้สึกที่ว่า เฮ้ย อะไรว่ะ แบบนี้มันไม่แฟร์นี่หว่า!!! เราพยายามติดต่อ host ที่เป็นเจ้าของ service apartment ที่เราจองไว้ 

พยายามโทรหาเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่นี่ ขอความช่วยเหลือ แต่ก็อย่างว่า ตี4กว่า ใครจะไปตื่นมารับโทรศัพท์!!! 

**นี่เล่าไปยังรู้สึกโกรธ และโมโหอยู่เลย ***

ตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์อันเลวร้ายของตัวเองล่ะ แต่ประเด็นคือ สงสารเพื่อนต้องมาโดนเราเทแบบนี้ เราโทรไลน์ไปบอกเพื่อนว่า

***น้องมี 3 ออฟชั่นตอนนี้นะ พี่มั่นใจแล้วล่ะว่ายังไงเค้าก็ไม่ปล่อยพี่ไปแน่ๆ 

1. คือรอกลับพร้อมกัน ไฟท์ที่พวกนั้นบอกคือ 4 ทุ่ม แต่จะนั่งรอก็คงนาน เพราะตอนนี้เพิ่ง ตี 4 เอง ต้องรอพี่อีก 18 ชม. ไหวมั้ย พี่ว่าไม่ไหวว่ะ 

2. ซื้อตั๋วกลับไฟท์เช้าสุดเลย เช็คดูแล้วมี รอบ 10 โมง แต่คนละ termimal 

สุดท้าย คือ ไปเที่ยวคนเดียวตามเพลนที่วางไว้ แต่คิดว่าตอนนี้คงไม่สนุกล่ะ***

สรุปเพื่อนที่มาด้วย เลือกที่จะกลับไฟท์เช้าสุด เราว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วจะให้เพื่อนมันรอเรา คงไม่ไหว อีกอย่างเราละอายใจและเสียใจ ที่ทำให้เพื่อนต้องมาเจอสถานะการณ์เลวร้ายแบบนี้กับเราด้วย คิดดูว่ามันจะรู้สึกเฟลแค่ไหน?

ตอนนั้นเราคิดว่า จะให้รอไฟท์ 4 ทุ่มเพื่อกลับกรุงเทพ เรารอขนานนั้นไม่ได้หรอก จะไปอยู่ไหน รอในห้องนี้เหรอ นั่งอยู่นี้ เกือบ 20 ชม. เนี้ยนะ?

เราเลยเคาะประตูเพื่อถาม นางอินเดียคนเดิม บอกว่า เดี๋ยวไปรอที่ห้อง Rest room ไม่ใช่รอที่นี่

เราบอกว่า ไหนๆยังไงก็จะถูกส่งกลับแล้วนิ เราเลยบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอกลับไฟท์เช้าที่สุดได้มั้ย เราจ่ายเองก็ได้ค่าตั๋วไม่ต้องรอถึง 4 ทุ่ม นางอินเดียก็บอกไม่ได้ บอกแค่ว่า

the airline will take care you la

พ*****ตาย อีกรอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!

จะซื้อตั๋วกลับเองก็ไม่ได้อีก สรุปมันต้องการอะไรว่ะ เราว่ามันไม่ make sense เลยนะ มากักตัวเราไว้ แล้วให้เรากลับประเทศแบบไม่บอกอะไรไม่พอ เราต้องการกลับตอนนี้ก็ไม่ได้อีก!!

หลังจากนั้นไม่นาน นางอินเดียก็เดินมาบอกเราว่า เราต้องไปห้อง Rest room แล้ว ให้ตามเจ้าหน้าที่อีกคนนึงไป 

เจ้าหน้าที่คนนั้นถือเอกสารที่มีตราของ ICA (Immigration & Checkpoints Authority) ประมาณ 2-3 แผ่น แล้วก็ Passport ของเรา เราพยายามดูว่ามันเขียนว่าอะไร แต่ก็มองไม่ชัด เห็นแต่ชื่อของตัวเองในนั้น

เราเดินตาม เจ้าหน้าที่ขึ้นลิฟท์ไปอีกชั้น ผ่านตรงที่เป็น Duty Fee เราจำได้ว่า ตอนเราลงเครื่องมาเราเดินผ่านตรงนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ แล้วก็เข้าไปห้องนึง ด้านหน้าเขียนว่า "เฉพาะเจ้าหน้าที่" ห้องนั้นต้องใช้บัตรผ่านเข้าไปประตูที่ 1  เข้าไปอีกประตูที่ 2 กดกริ่งก็จะมีคนข้างในกดเปิดประตูให้อีกรอบ

เราไปถึงตรงนั้น ตี 4 เกือบ ตี 5 ถามว่าง่วงมั้ย ไม่ง่วงเลยซักนิด มันมึนๆตึงๆ งงๆ เบลอๆ กึ่งช็อคด้วย เจ้าหน้าที้ข้างในที่รับเคสเราต่อ เป็นนางอินเดียผมยาว อายุราวๆ45-50ปี พูดจาไม่เข้าหูอีกล่ะ น้ำเสียงเหมือนเราเพิ่งฆ่าคนตายมาอย่างงั้นแหละ เราถามว่าทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนั้น เราทำอะไรผิด

นางก็ตอบว่า "นางไม่รู้ นางบอกไม่ได้ แต่ยูต้องอยู่ที่นี่ รอจนกว่าไฟท์ยูพรุ่งนี้ ค่อยกลับได้" 

สตั้นอีกรอบ!!!!!

ในห้องนั้น มีห้องที่เป็นส่วนกลางเป็นห้องกระจก ส่วนของนักท่องเที่ยวแยกระหว่างชายหญิง เค้าให้เราเอาของมีค่า กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือออกมาไว้ในล็อคเกอร์ กุญแจจะมีสองดอก ให้เราเก็บไว้ดอกนึง อีกดอกเป็น Master Key เจ้าหน้าที่เก็บไว้ ส่วนกระเป๋าเราเค้าให้แยกเอาไปเก็บไว้อีกห้องนึง ซึ่งห้องนั้นก็มีกุญแจล็อคอีกที (สรุปว่าโดนยึดทุกอย่างมีแต่เสื้อผ้าที่ใส่มาเท่านั้น)

เราบอกว่า เราต้องการใช้โทรศัพท์ นางก็บอก ได้ แต่ให้ตามมาดูห้องก่อน เราเดินตามไป ห้องนอนผู้หญิง มี 2 ห้องภายในห้อง มีเตียง 2 ชั้นอยู่ประมาณ 5-7 เตียง แล้วก็มีคนนอนอยู่เต็มหมดแล้ว มีห้องสำหรับสูบบุหรีด้านนอก ส่วนห้องน้ำแยกชายหญิงมีห้องอาบน้ำในนั้น1ห้อง 

หลังจากนั้น นางอินเดียก็เอา หมอนเหี่ยวๆกับผ้าห่มผืนเล็กๆ และผ้าปูที่นอนหยาบๆมาให้เรา บอกว่า เลือกเอาเลยจะนอนตรงไหน เราบอกว่าใช้โทรศัพท์ได้รึยัง 

นางบอกว่า ได้แต่ยูคุยได้แค่ 5 นาที จากนั้นให้เอาเก็บไว้ในล็อกเกอร์ ให้ไปคุยในห้องเล็กๆห้องนึง

เราโทรหาเพื่อน.... 

เราขอโทษเพื่อน วินาทีนั้น เราเกือบร้องไห้ล่ะ แต่เรารู้ว่า ถ้าเราปล่อยโหออกมาตอนนี้ อารมณ์เราไม่จบแน่นอน เราพยายามแข็งใจ และบอกเพื่อนว่า เราขอโทษนะ เราขอโทษจริงๆ เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ เราวางแผนกันมาดีมากเพื่อจะมาเที่ยว เรารู้ว่าเพื่อนก็เฟล แต่เราทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ ต่อจากนี้เราคงไม่มีหน้าไปชวนใครเค้าเที่ยวอีกแล้ว

มีต่อ.....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่