นายเอ มีนิสัยเป็นคนไม่รักษาคำพูด รับปากอะไรใครไว้ไม่ทำตาม
ก่อนที่นายเอจะสมัครเข้าทำงาน ได้ไปบนบานกับศาลพระภูมิแห่งหนึ่ง บอกว่าถ้าได้ทำงานจะเอาของมาถวาย และในที่สุด นายเอก็ได้เข้าทำงานจริงๆ
แต่พอได้ทำงานแล้ว นายเอไม่ได้เอาของไปถวายตามที่บนบานไว้ ซึ่งหลังจากทำงานไปไม่นาน นายเอก็ถูกไล่ออก
หลังจากนั้นก็สมัครเข้าทำงานอีกหลายที่ รับบ้าง ไม่รับบ้าง เข้าๆ ออกๆ ทำงานไม่ประสบความสำเร็จ
นายเอ เชื่อว่า ที่ตนเองเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะเคยไปบนศาลพระภูมิไว้แล้วไม่ได้ไปแก้บน เลยถูกฟ้าดินลงโทษ
ถามว่า เป็นอย่างที่นายเอบอกไว้จริงหรือไม่ เหตุผลที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้แก้บน?
สังเกตที่บรรทัดแรกนะครับ ผมบอกว่า "นายเอ มีนิสัยเป็นคนไม่รักษาคำพูด รับปากอะไรใครไว้ไม่ทำตาม"
นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นายเอไม่ประสบความสำเร็จ
คนที่ไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาคำพูด ไม่มีสัจจะ ปลี้นปล้อน หลอกลวง ฯลฯ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามย่อมไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ไม่เกี่ยวกับการยนยานหรือศาลพระภูมิใดๆ ยิ่งถ้าศาลพระภูมินั้นมีเทวดาอยู่จริง เทวดาที่มีพรหมวิหารสี่ มีความรัก ความเมตตา กรุณา จะเกิดมาหมั่นไส้มนุษย์ ไม่ยอมรักษาสัญญา แล้วสร้างเวรกรรมให้ตัวเองจะได้หมดบุญจากสวรรค์เร็วๆ ด้วยการกลั่นแกล้งคนอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเทวดาจะช่วยเหลือมนุษย์ได้จริง มนุษย์คนนั้นต้องเป็นคนที่รักษาศีล 5 และคนที่รักษาศีล 5 ที่จริงไม่ต้องรอเทวดามาช่วย อานิสงส์หรือผลบุญจากการรักษาศีล 5 ก็เกินพอแล้ว
แล้วถ้าถามว่า ตามหลักพระพุทธศาสนา การบนบานศาลกล่าว ขอโน่นขอนี่จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำได้จริงหรือไม่?
มีสิ่งหนึ่งที่คนที่เป็นอริยบุคคล หรือคนที่บรรลุธรรมแล้ว จะละจากสิ่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เด็ดขาด (ที่ละได้เพราะท่านได้เห็นความจริงแล้ว ไม่ใช่เพราะตัวท่านมีอิทธิฤทธิ์ อภิหารใดๆ) ภาษาบาลีเรียกว่า "สีลัพพตปรามาส" ซึ่งหมายถึง ความเชื่อพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดลบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้า พิธีกรรมต่างๆ ของศาสนาอื่น ฯลฯ ท่านจะเชื่อแต่กฏแห่งกรรม ทุกอย่างล้วนเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น
สังเกตในวงเล็บย่อหน้าข้างต้นนะครับ ที่ผมบอกว่า ท่านละจากสิ่งนี้ได้เพราะท่าน "เห็นความจริง" แล้ว นั่นหมายความว่า มันเป็นอย่างนี้ของมันอยู่แล้ว
ส่วนการที่หลายคนที่ได้บนบานไว้ และรู้สึกว่าชีวิตประสบความสำเร็จตามที่ขอจริง หรือชีวิตล้มเหลวจากการที่ไม่ไปแก้บน นั่นไม่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวของตนเองทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องการรักษาสัญญา รักษาคำพูด รับปากใครไว้แล้วทำตามหรือไม่ทำตาม ความรับผิดชอบ ฯลฯ ซึ่งจะนำไปสู่การกระทำอื่นๆ หรือการสร้างกรรมอื่นๆ ตามมา
ก็ฝากไว้ให้พิจารณากันนะครับ สิ่งสำคัญก็คือ หากอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ทำแต่กรรมดี ทำสิ่งที่เป็นกุศล ละสิ่งที่เป็นอกุศล
แม้วันนี้เราจะทำชั่วแต่ยังได้ดี นั่นเพราะกรรมดียังส่งผลอยู่ แต่เมื่อใดที่กรรมดีหมดลงไป ผลกรรมชั่วก็จะแสดงให้เห็น
ไม่ทันชาตินี้ ก็ไปต่อชาติหน้า
ศาสนาพุทธกับการสาบานหรือการบนบานศาลกล่าว
ก่อนที่นายเอจะสมัครเข้าทำงาน ได้ไปบนบานกับศาลพระภูมิแห่งหนึ่ง บอกว่าถ้าได้ทำงานจะเอาของมาถวาย และในที่สุด นายเอก็ได้เข้าทำงานจริงๆ
แต่พอได้ทำงานแล้ว นายเอไม่ได้เอาของไปถวายตามที่บนบานไว้ ซึ่งหลังจากทำงานไปไม่นาน นายเอก็ถูกไล่ออก
หลังจากนั้นก็สมัครเข้าทำงานอีกหลายที่ รับบ้าง ไม่รับบ้าง เข้าๆ ออกๆ ทำงานไม่ประสบความสำเร็จ
นายเอ เชื่อว่า ที่ตนเองเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะเคยไปบนศาลพระภูมิไว้แล้วไม่ได้ไปแก้บน เลยถูกฟ้าดินลงโทษ
ถามว่า เป็นอย่างที่นายเอบอกไว้จริงหรือไม่ เหตุผลที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้แก้บน?
สังเกตที่บรรทัดแรกนะครับ ผมบอกว่า "นายเอ มีนิสัยเป็นคนไม่รักษาคำพูด รับปากอะไรใครไว้ไม่ทำตาม"
นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นายเอไม่ประสบความสำเร็จ
คนที่ไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาคำพูด ไม่มีสัจจะ ปลี้นปล้อน หลอกลวง ฯลฯ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามย่อมไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ไม่เกี่ยวกับการยนยานหรือศาลพระภูมิใดๆ ยิ่งถ้าศาลพระภูมินั้นมีเทวดาอยู่จริง เทวดาที่มีพรหมวิหารสี่ มีความรัก ความเมตตา กรุณา จะเกิดมาหมั่นไส้มนุษย์ ไม่ยอมรักษาสัญญา แล้วสร้างเวรกรรมให้ตัวเองจะได้หมดบุญจากสวรรค์เร็วๆ ด้วยการกลั่นแกล้งคนอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเทวดาจะช่วยเหลือมนุษย์ได้จริง มนุษย์คนนั้นต้องเป็นคนที่รักษาศีล 5 และคนที่รักษาศีล 5 ที่จริงไม่ต้องรอเทวดามาช่วย อานิสงส์หรือผลบุญจากการรักษาศีล 5 ก็เกินพอแล้ว
แล้วถ้าถามว่า ตามหลักพระพุทธศาสนา การบนบานศาลกล่าว ขอโน่นขอนี่จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำได้จริงหรือไม่?
มีสิ่งหนึ่งที่คนที่เป็นอริยบุคคล หรือคนที่บรรลุธรรมแล้ว จะละจากสิ่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เด็ดขาด (ที่ละได้เพราะท่านได้เห็นความจริงแล้ว ไม่ใช่เพราะตัวท่านมีอิทธิฤทธิ์ อภิหารใดๆ) ภาษาบาลีเรียกว่า "สีลัพพตปรามาส" ซึ่งหมายถึง ความเชื่อพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดลบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้า พิธีกรรมต่างๆ ของศาสนาอื่น ฯลฯ ท่านจะเชื่อแต่กฏแห่งกรรม ทุกอย่างล้วนเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น
สังเกตในวงเล็บย่อหน้าข้างต้นนะครับ ที่ผมบอกว่า ท่านละจากสิ่งนี้ได้เพราะท่าน "เห็นความจริง" แล้ว นั่นหมายความว่า มันเป็นอย่างนี้ของมันอยู่แล้ว
ส่วนการที่หลายคนที่ได้บนบานไว้ และรู้สึกว่าชีวิตประสบความสำเร็จตามที่ขอจริง หรือชีวิตล้มเหลวจากการที่ไม่ไปแก้บน นั่นไม่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวของตนเองทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องการรักษาสัญญา รักษาคำพูด รับปากใครไว้แล้วทำตามหรือไม่ทำตาม ความรับผิดชอบ ฯลฯ ซึ่งจะนำไปสู่การกระทำอื่นๆ หรือการสร้างกรรมอื่นๆ ตามมา
ก็ฝากไว้ให้พิจารณากันนะครับ สิ่งสำคัญก็คือ หากอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ทำแต่กรรมดี ทำสิ่งที่เป็นกุศล ละสิ่งที่เป็นอกุศล
แม้วันนี้เราจะทำชั่วแต่ยังได้ดี นั่นเพราะกรรมดียังส่งผลอยู่ แต่เมื่อใดที่กรรมดีหมดลงไป ผลกรรมชั่วก็จะแสดงให้เห็น
ไม่ทันชาตินี้ ก็ไปต่อชาติหน้า